อูอีเสวี่ยหลับสนิทและสบายใจ กระทั่งเที่ยงของวันถัดมาจึงตื่นขึ้นและพบว่าท้องหิวมาก ในถ้ำแห่งนี้แม้จะมีข้าวของมากมายแต่ไม่มีของกิน ดีที่นางยังมีอาหารแห้งติดตัวมาบ้าง จึงกินอาหารแห้งรองท้องไปก่อน กินไปพลางพลิกดูสมุดบันทึกของอาจารย์ ในนั้นบันทึกเรื่องเกี่ยวกับป่าแห่งนี้อยู่มากมาย
อาจารย์เขียนอธิบายไว้ว่าในป่าแห่งนี้ผลไม้ใดกินได้ ผลไม้ใดมีพิษ เรื่องนี้สำหรับอูอีเสวี่ยแล้วสำคัญมาก เพราะนางในเวลานี้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งไม่มีพลังวัตร คิดจะใช้วิชาตัวเบาล่าสัตว์ป่าสักตัวมาย่างกินก็ทำไม่ได้ ดีที่ในป่าแห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย ดังนั้นบนพื้นดินจึงมีผลไม้สุกร่วงหล่นอยู่มาก เก็บขึ้นมาก็กินได้แล้ว
ทุกวันนางจะวิ่งออกไปหาของกิน ขณะเดียวกันก็ตระเวนหาหลักฐานยืนยันของนาง หลังจากหามาสี่วันสวรรค์ก็ไม่ทำให้คนตั้งใจจริงต้องผิดหวัง ในที่สุดนางก็พบเหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วงห้อยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
กล่าวสำหรับนางที่ไม่มีวิชาตัวเบา ทั้งยังกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ แล้ว การปีนขึ้นต้นไม้เป็นงานที่ยากเย็น ตอนนางปีนขึ้นมาถึงที่สูงด้วยความยากลำบาก เห็นสิ่งของอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า เรื่องเศร้าก็บังเกิดขึ้นแล้ว
นกสีดำตัวโตตัวหนึ่งถึงกับคาบเหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วงไปต่อหน้าต่อตานาง อูอีเสวี่ยแทบจะร้องไห้ออกมา ความจริงนางรักสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาก แม้แต่รังนกบนต้นไม้ยังไม่อาจตัดใจไปทำลาย ทว่าในห้วงเวลานี้นางอยากจะจับเจ้านกใหญ่ตัวนั้นมาย่างกินเสียจริง!
นางอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่นั่งเหม่ออยู่บนต้นไม้ คราวนี้จะทำอย่างไรดี ป้ายหยกม่วงของนางถูกนกตัวโตคาบไปแล้ว เรื่องแบบนี้ถ้าแพร่ออกไป นางยังจะมีหน้าไปพบผู้คนในหุบเขาของนางหรือ
ในเวลานี้เองเสียงคนที่ด้านล่างจากไกลเข้ามาใกล้ทำให้นางตื่นจากภวังค์ นางรีบปิดกั้นลมหายใจด้วยความระแวดระวัง
“ดูจากตำแหน่งทิศทาง นางมารน่าจะตกลงมาแถวนี้จึงจะถูก”
นางจำเสียงนี้ได้ เป็นเหลยหู่ นางตึงเครียดไปทั้งร่างทันที พลางรออย่างเตรียมพร้อม
“ตกลงมาจากที่สูงปานนั้น น่ากลัวร่างคงแหลกกระจายเป็นหลายชิ้น แต่ก็แปลก เหตุใดจึงหาศพไม่พบ”
“หรือว่าถูกสัตว์ป่าคาบไปแล้ว”
พวกเขากำลังหาศพของนาง อูอีเสวี่ยลอบตื่นตระหนกในใจ คนพวกนี้เหตุใดยังไม่ตายใจ นางกระโดดหน้าผาแล้วยังต้องลงมาดูให้แน่ใจอีกหรือ
เหลยหู่แค่นเสียงเย็นชา “ต่อให้ถูกสัตว์ป่ากินก็ต้องมีรอยเลือดจึงจะถูก พวกเจ้ารีบแยกย้ายกันหา ต้องหาให้ข้าให้พบ!”
“ขอรับ!”
หลังจากลูกน้องของเหลยหู่แยกย้ายกันไปบริเวณรอบๆ เหลยหู่ยังคงอยู่ที่เดิมเดินหาไปมา อูอีเสวี่ยอดดีใจไม่ได้ ดีที่ตนปีนขึ้นมาบนต้นไม้ใหญ่ รอบตัวมีใบไม้หนาทึบ กอปรกับนางตัวเล็กไม่ถูกพบเห็นได้ง่าย ทว่าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด นางยังคงพยายามปิดกั้นลมหายใจด้วยกลัวจะถูกเขาสังเกตพบ
“ฮ่าๆ นางมาร ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบแล้ว!”
อูอีเสวี่ยสะดุ้งเฮือก เป็นไปได้อย่างไรที่เหลยหู่พบเห็นนาง
นางเขม้นตามอง พบว่าในมือเหลยหู่ถือเศษเสื้อผ้าที่นางตัดออกไปในวันนั้น เขากำลังพูดกับเศษผ้าเหล่านั้น
นางเอาเศษผ้าเหล่านั้นฝังดินไว้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเหลยหู่หาพบแล้ว
“แปลกจริง เสื้อผ้านี่เหตุใดจึงไม่มีคราบโลหิต ทั้งยังถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง แม้แต่รองเท้าก็ใช่ หรือว่า…นางมารผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่”
อูอีเสวี่ยในใจแอบร้องแย่แล้ว ถ้าให้พวกเขาพบว่าตนยังไม่ตายจะต้องส่งกองกำลังจำนวนมากมาค้นหาจับกุมตัวนางแน่นอน นางย่อมตกอยู่ในฐานะลำบากมากขึ้น ในเวลานี้เองเสียงฝีเท้าอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มีคนมาอีกแล้ว
“ผู้อาวุโสเหลย”
“จอมยุทธ์ตัน น้องชาย เจ้ามาได้จังหวะพอดี”
เป็นตันหานเลี่ย ครานี้ยิ่งย่ำแย่หนัก ดูท่ากระดาษไม่อาจห่อไฟได้ แล้ว อูอีเสวี่ยกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
“น้องชาย เจ้าดูข้าเจออะไร นี่เป็นเสื้อผ้าของนางมาร บนเสื้อผ้าไม่มีคราบโลหิต ทั้งจงใจฝังเอาไว้ในดิน เห็นชัดว่ากลัวถูกคนพบเจอ ข้ากล้าพูดด้วยความมั่นใจ นางมารผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!”
ตันหานเลี่ยหยิบเสื้อผ้าจากมือเหลยหู่มาพิจารณาดู เป็นของอูอีเสวี่ยจริง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าคืนให้เหลยหู่
“ผู้อาวุโสเหลย ในเมื่ออูอีเสวี่ยยังไม่ตาย เราก็แยกย้ายกันหา บางทีอาจจับตัวนางได้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ถ้านางมารตกอยู่ในกำมือของข้า จะต้องให้นางได้น่าดูชม!”
ตันหานเลี่ยพยักหน้า พลันมองไปที่ด้านหลังเหลยหู่แล้วตวาดเสียงเฉียบขาด “ผู้ใด!”
เหลยหู่รีบหมุนตัวไปเพราะคำพูดของเขา ทว่าตันหานเลี่ยกลับฟาดฝ่ามือลงไปที่กะโหลกศีรษะของอีกฝ่าย เหลยหู่กระทั่งจะร้องให้คนช่วยก็ยังไม่ทัน ร่างอ่อนระทวยล้มลงกับพื้นทันที