โชคดีโอกาสของนางมาถึงในไม่ช้า ตอนตันหานเลี่ยอุ้มนางเดินกลับไปก็เจอกับจางเสี่ยวเฟิงเข้า เขาจึงมอบนางให้จางเสี่ยวเฟิงพลางบอกเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ
“คนในหมู่บ้านช่างเหี้ยมโหด ถึงกับเอาเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเช่นนี้มาทิ้งบนภูเขา จอมยุทธ์ตันวางใจ มอบให้ข้าเถิด ข้าจะพานางกลับไปที่ปราสาทเขาปี้เจี้ยน ดีกว่ามอบให้คนในหมู่บ้านที่โง่เขลากลุ่มนั้น” จางเสี่ยวเฟิงกล่าวอย่างมีเหตุผลและเต็มไปด้วยสัจธรรม ต่อหน้าตันหานเลี่ยผู้หล่อเหลาเลิศล้ำยากจะหาใครเทียม ยากนักที่นางจะมีโอกาสได้แสดงท่าทีของตน ย่อมต้องแสดงท่วงท่าของจอมยุทธ์หญิงออกมาเต็มที่
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางจางแล้ว” ตันหานเลี่ยประสานมือให้นาง แล้วหมุนตัวเดินจากไปเพื่อตามหาร่องรอยอูอีเสวี่ยต่อ
อูอีเสวี่ยเงยหน้ามองสีหน้าท่าทางของจางเสี่ยวเฟิงขณะมองส่งตันหานเลี่ย เห็นสองแก้มของนางแดงระเรื่อ สีหน้าขวยเขิน ดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาก็อดลอบส่ายหน้าไม่ได้
แม่นางจาง คนเราไม่อาจมองกันที่รูปโฉมภายนอก บุรุษไม่อาจมองเพียงใบหน้า คนแซ่ตันดูเหมือนซื่อตรง ความจริงแล้วภายในชั่วร้ายยิ่ง
จางเสี่ยวเฟิงหวนนึกถึงน้ำเสียงและลักษณะท่าทางตอนตันหานเลี่ยพูดกับนางเมื่อครู่ เขาน่าจะมีความรู้สึกที่ดีต่อนางกระมัง แม้จะบอกว่าลิ่นชังโยวก็น่าหลงใหล แต่ตันหานเลี่ยที่ตลอดเวลาไม่เคยมองนางตรงๆ เลยกลับทำให้นางห้ามใจไม่อยู่อยากจะปรายตามองให้มากหน่อย
ดีที่แม่หนูน้อยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ทำให้นางกับตันหานเลี่ยมีโอกาสได้พูดคุยกัน คิดมาถึงตรงนี้นางก็ยิ้มด้วยความปีติ หันมาจะจับจูงมือแม่หนูน้อย พลันพบว่าคนหายไปแล้ว
แม่หนูน้อยเล่า!
นางเดินหาไปทั่วบริเวณด้วยความตื่นตระหนกกลับไม่เห็นแม้แต่เงา กระทั่งแม่หนูน้อยหายตัวไปได้อย่างไรก็ยังไม่รู้
จางเสี่ยวเฟิงลนลานยิ่ง ทำเด็กหายไปเช่นนี้แล้วนางจะมองหน้าตันหานเลี่ยได้อย่างไร นอกจากนี้นางถึงกับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย
นางรีบร้อนออกไปตามหา อูอีเสวี่ยรอนางเดินไปไกลแล้วจึงคลานออกมาจากใต้พื้นดิน ปัดๆ ใบไม้และเศษดินบนร่างออก
ความจริงแล้วนางไม่ได้ไปไหน เพียงบังเอิญเห็นที่พื้นดินมีโพรงเล็กๆ อยู่จึงแอบมุดเข้าไปในนั้น จากนั้นก็ฉวยจังหวะที่จางเสี่ยวเฟิงกำลังนึกถึงตันหานเลี่ยเอาใบไม้มาปิดกลบ นางก็ซ่อนตัวได้แล้ว
นางพบว่าร่างกายเล็กๆ ร่างนี้ความจริงแล้วก็มีข้อดี บวกกับนางตัวอ่อนสามารถหลบซ่อนตัวในที่เล็กแคบที่คนอื่นไม่แม้แต่จะนึกถึง ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนนางไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้อีก รีบกลับไปที่ถ้ำศิลาโดยเร็ว
หลังจากพักฟื้นอยู่ในถ้ำศิลาห้าวัน ในที่สุดอูอีเสวี่ยก็ตัดสินใจจะออกเดินทางให้เร็วที่สุด ไม่ว่าอย่างไร นางต้องรีบไปรวมตัวกับผู้คุมกฎทั้งสี่ที่เมืองชิงหูภายในเวลาหนึ่งเดือนให้ได้
หลังจากเก็บห่อสัมภาระที่จะเอาติดตัวไปเสร็จนางก็เริ่มไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนขึ้นมา
เวลานี้นางสูญเสียพลังวัตรไปจนหมดสิ้น กอปรกับป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป เดินอยู่ในป่าตามลำพังคนเดียวคงไม่เหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกจางเสี่ยวเฟิงน่าจะยังตามหานางอยู่ มีเพียงวิธีเดียวคือต้องข้ามยอดเขาไป
โชคดีที่นางมีดวงวิญญาณบนสวรรค์ของอาจารย์คุ้มครอง ถ้ำศิลาแห่งนี้ยังมีความลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถเชื่อมถึงยอดเขาอีกด้านหนึ่ง
นางเดินลดเลี้ยวไปตามเส้นทางที่ระบุไว้ในแผนที่ ยิ่งใกล้ถึงสุดปลายทางอีกด้านหนึ่ง เสียงน้ำไหลก็ยิ่งดังชัด ที่แท้ทางออกอีกด้านหนึ่งของทางเดินซ่อนอยู่ด้านหลังน้ำตกบนภูเขา
นางมองไปข้างหน้า นอกถ้ำศิลาเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภูเขาเขียวน้ำใส นกร้องขับขานบุปผาส่งกลิ่นหอมกรุ่น ยังเห็นควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยเป็นเกลียวอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ
ก่อนจะก้าวเท้าออกจากถ้ำ นางหยุดฝีเท้าลง มองแผนที่ในมือ นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ตกทอดมา ไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเด็ดขาด
หรือจะเผาทิ้ง?!
อย่าโง่ไปหน่อยเลย ความจำของนางไม่ได้ดีเพียงนั้น ผ่านตาไม่ลืมมีแต่ในตำนานเท่านั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นกับนางได้ คราวหน้ายังต้องใช้อีก
ครั้นแล้วนางจึงเอาแผนที่ซ่อนไว้ในโพรงเล็กๆ บนผนังถ้ำ จากนั้นก็เอาก้อนหินอุดไว้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ร่างน้อยๆ จึงก้าวย่างออกสู่ยุทธภพ เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่
โปรดติดตามตอนต่อไป…