X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ห้า

หลังจากอูอีเสวี่ยพบว่าแม้ตนเองจะกลายเป็นเด็กหญิงอายุหกขวบ ก็ยังสามารถทำให้สิงฟู่อวี่สยบอยู่ใต้กระโปรงทับทิม* ของนางได้ แน่นอนนางย่อมใช้ประโยชน์จาก ‘รูปโฉม’ ของตนอย่างไม่เกรงใจ

ทุกครั้งที่มีโอกาสนางก็จะเกาะติดสิงฟู่อวี่ประจบออดอ้อน ทำตัวใกล้ชิดเขาอย่างเปิดเผย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะสิงฟู่อวี่กับลูกน้องปรึกษาหารือกันอยู่ในเรือนพัก นางจงใจจะวิ่งเข้าไปข้างใน แต่ทหารที่เฝ้าอยู่นอกประตูขวางนางไว้ นางก็เค้นน้ำตาเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วร้องไห้ให้พวกเขาดู ในที่สุดก็ร้องไห้จนสิงฟู่อวี่ที่อยู่ในเรือนต้องออกมาดู

นางแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตากลมโตสุกใสดุจลูกกวางน้อยกะพริบปริบๆ มองเขาอย่างน่าสงสาร หยาดน้ำตาร่วงเผาะๆ เป็นเม็ดๆ ส่วนเขาก็ก้มลงมองนางด้วยสีหน้าสับสนยุ่งยากใจ ในดวงตายังมีประกายดิ้นรนต่อสู้กันอยู่ภายใน สุดท้ายเขาก็ต้านทานต่อหยาดน้ำตาของนางไม่ไหว ถอนหายใจออกมา แล้วอุ้มนางขึ้นมาพาเดินเข้าไปในเรือนพัก

ตั้งแต่นั้นมานางก็สามารถเข้าออกเรือนพักของสิงฟู่อวี่ได้อย่างอิสระ แม้ในเวลาที่เขากำลังปรึกษางาน ทหารที่อยู่นอกประตูก็ไม่กล้าขวางนางไว้

วันนี้นางยังคงฉวยโอกาสตอนสิงฟู่อวี่กำลังปรึกษางานแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เล่นอย่างเพลิดเพลินอยู่ในเรือนของเขา สิงฟู่อวี่เคยชินจนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก สุดท้ายก็จำต้องปล่อยตามใจนาง

นางนั่งเล่นอยู่บนตั่งพลางลอบปรายตามอง เห็นสิงฟู่อวี่กับที่ปรึกษาทัพกำลังถกปัญหากันอยู่ ไม่ได้ใส่ใจนาง นางจึงแอบปีนลงจากตั่ง ย่องเข้าไปในห้องด้านใน

ครั้งก่อนเหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วงถูกเขาเก็บคืนไปแล้ว ไม่ได้วางอยู่บนโต๊ะ นางคิดไปคิดมา ไม่แน่เขาอาจเอาไปเก็บไว้ในห้องแล้ว จึงแอบเข้าไปในห้องด้านใน มองหาบนโต๊ะเตี้ย รื้อๆ ดูในหีบ ค้นตรงนั้นหาตรงนี้ สุดท้ายก็หาไปถึงบนเตียงและพบเหอเปาอยู่ใต้หมอน

นางเปิดออกดู ข้างในมีป้ายหยกม่วงของนางอยู่ เพิ่งจะดีใจก็พบว่าตนเองจู่ๆ ก็ถูกคนอุ้มขึ้นมา

“นางหนู ซุกซนอีกแล้ว ของนี่เอาไปไม่ได้” ฝ่ามือใหญ่ของสิงฟู่อวี่ยื่นมาคว้าสิ่งของยืนยันในมือนางไปอีกครั้ง

อูอีเสวี่ยสะดุ้งตกใจ เขาไม่ใช่กำลังปรึกษางานอยู่หรือ ไม่นึกว่านางแอบมาค้นบนเตียงเขาก็ยังสังเกตเห็น

อูอีเสวี่ยได้แต่มองป้ายหยกม่วงที่หาพบแล้วถูกเขาคว้าเอาไปตาปริบๆ นางเสียดายยิ่งนัก นั่นก็ช่างเถิด นางยังถูกเขาพาตัวไปนั่งอยู่ห้องด้านนอก ส่วนเขาก็ปรึกษางานกับที่ปรึกษาทัพต่อ

คล้ายว่าเพื่อจะป้องกันไม่ให้นางเที่ยวซุกซนไปทั่ว นางจึงถูกบังคับให้นั่งอยู่บนตักของเขา ยังถูกแขนข้างหนึ่งของเขากักตัวไว้ นางรู้ต่อให้จะเอาแต่ใจก็ต้องมีขอบเขต หาไม่เกิดทำให้สิงฟู่อวี่รำคาญขึ้นมา ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาในเรือนของเขาอีก

นางจำต้องนั่งอยู่บนตักเขาแต่โดยดี หยิบหยกประดับที่สายรัดเอวเขามาเล่นด้วยท่าทางเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ไม่เป็นไร ครั้งนี้ล้มเหลวยังมีครั้งต่อไป นางจะเพียรพยายามต่อไปอย่างไม่ระย่อท้อถอย

ครั้งต่อมานางฉวยโอกาสตอนสิงฟู่อวี่อาบน้ำแอบเข้ามาในเรือนพักอีกครั้ง นางรื้อค้นในเสื้อผ้าที่เขาถอดออกมาแล้วก็เจอเหอเปา ครั้งนี้นางไม่กล้าโอ้เอ้ รีบจะดอดหนี ใครจะรู้นางเพิ่งก้าวออกไปได้ก้าวเดียว เท้าพลันถูกดึงรั้งมีอะไรพันไว้

ฉับพลันนั้นฟ้าหมุนแผ่นดินพลิก ร่างทั้งร่างของนางถูกแขวนห้อยอยู่กลางอากาศ

“นางหนู เหตุใดจึงมาซุกซนอีกแล้ว”

สิงฟู่อวี่เปลือยร่างท่อนบนเดินออกจากห้องอาบน้ำหลังฉากบังลม มองนางแล้วส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา จากนั้นก็ยื่นมือมาหิ้วร่างนางให้ตรง

อูอีเสวี่ยใช้แววตาราวกับเห็นผีมองจ้องเขา

“ตั้งใจจะจับหนู กลับจับได้เจ้า หนูตัวเล็กตัวนี้ ดีที่ข้าไม่ได้วางกับดัก หาไม่เจ้าต้องถูกยิงจนร่างเป็นรังผึ้งแล้ว หากเป็นเช่นนั้นอาคงจะปวดใจแย่” สิงฟู่อวี่ถอนใจอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับจนปัญญา

อูอีเสวี่ยอยากจะด่าออกมายิ่งนัก มีคนทำอะไรเกินเหตุเช่นเขาบ้าง เวลาอาบน้ำยังต้องวางกับดัก

“นางหนู เวลาอาอาบน้ำอยู่ ห้ามเข้ามาในเรือนรู้หรือไม่”

อูอีเสวี่ยค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่ในใจ

ใครอยากดูท่านอาบน้ำกัน!

นางจ้องหน้าเขา ทำหน้าตูมไม่พูดไม่จา แต่พอนึกถึงว่าหลักฐานยืนยันอยู่ในมือแล้ว คงได้แต่กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนี้เอาไว้ อย่างไรเสียนางก็ยังเล็ก

สิงฟู่อวี่วางนางลง เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ออกไปเล่นข้างนอกเถิด รออาอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยไปเล่นกับเจ้า”

พอได้รับอิสระอีกครั้งนางก็รีบวิ่งออกไป แอบดีใจว่าตนไม่ถูกจับได้…เอ๋? ช้าก่อน เหตุใดเหอเปาจึงหายไปแล้ว

นางคลำหาไปทั่วตัว ในที่สุดก็คิดอะไรขึ้นมาได้ วิ่งกลับไปก็เห็นสิงฟู่อวี่เก็บเหอเปาใบนั้นขึ้นพอดี ที่แท้เหอเปาก็ถูกเขาเอาไปแล้ว นางโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

สิงฟู่อวี่เห็นนางวิ่งกลับมาอีก ทั้งยังถลึงตามองเขา คล้ายไม่คิดจะจากไป เขาพลันเกิดความคิดบางอย่าง แสร้งหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้ว หรือว่าอยากอาบน้ำกับอา ก็ได้ มานี่เถิด” เขาพูดพลางทำท่าจะไปจับตัวนาง นางตกใจจนกระทืบเท้า

“หลงตัวเอง! ข้าไม่อาบน้ำกับท่านหรอก” อูอีเสวี่ยแลบลิ้นทำหน้าทะเล้น จากนั้นก็วิ่งหนีไปด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด แอบด่าเขาอยู่ในใจไปหลายรอบ

สิงฟู่อวี่ที่อยู่ด้านหลังอดหัวเราะไม่ได้ ในที่สุดก็ทำให้นางหนูตกใจจนหนีไปแล้ว

อูอีเสวี่ยยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ในเมื่อใช้วิธีขโมยไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้ว

ตกค่ำพอถึงเวลาเข้านอน อูอีเสวี่ยตั้งใจไปหาสิงฟู่อวี่เพื่อประจบออดอ้อน

“ท่านอา ข้ากลัวผี” นางเดินเข้ามาชิดข้างเตียงด้วยท่าทางน่าสงสาร กะพริบดวงตาที่ชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำตาคลอขัง

สิงฟู่อวี่งงงวย “ผีหรือ”

นางรีบพยักหน้า “มีผีกำลังร้อง น่ากลัวมาก”

สิงฟู่อวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจว่าผีที่นางหนูเสวี่ยพูดถึงน่าจะเป็นเสียงลม ค่ำคืนนี้ลมค่อนข้างแรงจริงๆ

เขาใจอ่อนยวบ คิดในใจว่านางยังเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง มิน่าถึงได้กลัว ก่อนจะบอก “ขึ้นมาสิ อาจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

อูอีเสวี่ยดีใจมาก ที่นางรออยู่ก็คือคำพูดประโยคนี้! นางรีบปีนขึ้นไปบนเตียง ซุกตัวอยู่ข้างกายเขา ท่าทางหาที่พึ่งพิง

สิงฟู่อวี่ช่วยห่มผ้าให้นาง พลางเอ่ยปลอบ “นอนเถิด”

“ท่านอา ข้าไม่ง่วง เล่านิทานให้ข้าฟังหน่อย” นางเอาปลายคางวางแนบไปบนหน้าอกของสิงฟู่อวี่ นัยน์ตาสุกใสคู่นั้นเบิกกว้าง กะพริบปริบๆ มองจ้องเขา

ท่าทางยามออดอ้อนคนของเจ้าตัวน้อยน่ารักเกินไปแล้ว สิงฟู่อวี่ใจไม่แข็งพอจะปฏิเสธ จึงเล่านิทานให้นางฟังเรื่องหนึ่ง

ทว่าอูอีเสวี่ยหรือจะอยากฟังนิทาน นางเพียงคิดจะฉวยโอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเขา จะได้ลอบวางยาเขาได้

เวลานี้ที่นางจงใจนอนคว่ำอยู่บนตัวเขาก็เพื่อสะดวกแก่การวางยา ยานี้ไร้สีไร้กลิ่น ทาอยู่บนเสื้อผ้าของนาง สูดดมแล้วทำให้คนหมดสติ ไม่ใช่ทันทีทันใด หากแต่ช้าๆ ทีละน้อย

คนที่ถูกวางยาจะคิดว่าตนง่วงและสูญเสียความระแวดระวังตัว ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกวางยาในเวลานี้ ส่วนนางเองได้กินยาถอนพิษไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่กลัว

นางแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง รอให้สิงฟู่อวี่หมดสติไปแล้ว นางไม่เพียงจะเอาหลักฐานยืนยันของนางคืน ยังจะดูดพลังวัตรของนางกลับคืนมาอีกด้วย

นางเข้าใจว่าวางแผนได้รัดกุม ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนาง ใครจะรู้ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อนางก็พบว่าหนังตาของตนเริ่มหนัก

ไม่กระมัง ถึงกับง่วงนอนในเวลานี้หรือ ไม่ได้ๆ ไม่อาจหลับเด็ดขาด หลับแล้วจะจัดการงานสำคัญได้อย่างไร

นางพยายามถ่างหนังตาไว้ กลับยิ่งง่วงมากขึ้นทุกที ยิ่งไม่อาจครุ่นคิดมากขึ้นทุกที กระทั่งเสียงของสิงฟู่อวี่คล้ายยิ่งไกลออกไป ฟังไม่ได้ยิน

“นางหนู”

สิงฟู่อวี่เขย่าตัวนางเบาๆ เห็นแม่หนูน้อยนอนคว่ำอยู่บนหน้าอกของเขาหลับปุ๋ยไปแล้ว ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แม้แต่น้อย

เขาลุกขึ้นมานั่ง อุ้มนางขึ้นมาอย่างนุ่มนวลวางลงที่ข้างกาย ห่มผ้าให้นาง สีหน้าที่อ่อนโยนพลันหม่นขรึมลง

“เข้ามา”

พอได้ยินใต้เท้าเรียก คนที่เฝ้ายามช่วงกลางคืนรีบเข้ามาในเรือน

“ใต้เท้า”

“เรียกซูจิ่งเข้ามา”

“ขอรับ”

ซูจิ่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของสิงฟู่อวี่ พอได้ยินว่าใต้เท้าเรียกหาในยามค่ำคืนก็รีบเร่งรุดมาทันที

สิงฟู่อวี่แสดงท่าทีให้ซูจิ่งเข้ามาใกล้ๆ กระซิบสั่งการ “มีคนเอายาสลบทาบนเสื้อผ้าอาเสวี่ย ใช้นางเป็นเครื่องมือมาทำให้ข้าหมดสติ ก่อนจะจับคนผู้นั้นได้ ไม่อาจให้ใครรู้เรื่องนี้ เจ้าไปตรวจสอบดูเงียบๆ ว่ามีคนแอบปะปนเข้ามาหรือว่ามีคนทรยศ”

ซูจิ่งฟังแล้วสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงต่ำ “ผู้น้อยจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”

หลังจากซูจิ่งออกไปแล้ว สิงฟู่อวี่ก็เอาตัวนางหนูเสวี่ยที่ถูกเขาจี้จุดหลับมาซ่อนไว้ใต้เตียง ตนเองกลับไปนอนบนเตียงแสร้งทำเป็นหลับ ความจริงแล้วตื่นอยู่ตลอดทั้งคืน รอผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏตัวขึ้น

คนที่คิดจะใช้ยาทำให้เขาหมดสติคงไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการจะสังหารเขา หรือไม่ก็จับตัวเขา แต่รอจนฟ้าสว่างก็ไม่มีใครบุกเข้ามา ลูกน้องของเขาก็ซุ่มซ่อนตัวอยู่รอบเรือนพัก รอมาทั้งคืนก็ไม่พบอะไรผิดปกติ แม้แต่ซูจิ่งที่ตรวจสอบมาทั้งคืนก็ไม่พบใครน่าสงสัย

ผล็อยหลับไปครั้งนี้อูอีเสวี่ยหลับรวดเดียวถึงเช้า

หลังจากตื่นขึ้นมานางก็นั่งงง รอจนได้สติกลับคืนมาก็โมโหจนทุบหน้าอกกระทืบเท้าอยู่บนเตียง ไม่เข้าใจเหตุใดตนจึงหลับไปได้ บนหน้ายังถูกยุงกัดสองตุ่ม อีกทั้งเสื้อผ้าบนตัวก็ถูกเปลี่ยนไปแล้ว

แผนการล้มเหลวก็ช่างเถิด ยังจะถูกสิงฟู่อวี่ถอดเสื้อผ้าออกหมด อีกทั้งยังนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับเขามาทั้งคืน นางเป็นสาวพรหมจารีอยู่นะ!

ความจริงแล้วเรื่องจริงก็คือกระทั่งฟ้าสว่างนางจึงถูกสิงฟู่อวี่อุ้มขึ้นมาจากใต้เตียง ส่วนยุงก็ฉวยจังหวะตอนที่นางนอนอยู่ใต้เตียงจุมพิตใบหน้านางไปสองที

ตอนสิงฟู่อวี่เดินเข้ามาในห้อง ภาพที่เห็นก็คือนางกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่ว่านางจะถลึงตาด้วยความโกรธอย่างไร ในสายตาของสิงฟู่อวี่ก็ไม่ต่างอะไรกับแมวน้อยกำลังเดือดดาล ดูน่ารักน่าชังยิ่ง

“ใครกันที่ทำให้นางหนูเสวี่ยโกรธ”

อูอีเสวี่ยโกรธจนชี้หน้าเขา “ท่าน”

“ข้า?”

“ใครอนุญาตให้ท่านถอดเสื้อผ้าข้า!” ทำให้นางในเวลานี้ต้องหลบอยู่ในผ้าห่มไม่อาจลงจากเตียง

สิงฟู่อวี่งงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นางเพิ่งจะอายุเท่าไร ถึงกับรู้จักอาย เขาก็แค่ถอดเสื้อตัวนอกของนางออก เสื้อตัวในก็ยังอยู่ หาใช่ถอดออกจนหมด

อูอีเสวี่ยโมโหมาก เขาถึงกับยังกล้าหัวเราะ ช่างน่าแค้นใจเกินไปแล้ว! แผนการที่นางวางไว้ก็คือจะฉวยโอกาสตอนเขาหมดสติดูดพลังวัตรของเขา นางจะได้กลับคืนสู่รูปโฉมเดิม เอาหลักฐานยืนยันมาได้แล้วก็จะจากไป ครานี้ดีเลย นางไม่เพียงถูกเขาถอดเสื้อผ้า ยังนอนกับเขามาทั้งคืน เสียเปรียบย่อยยับแล้ว!

สิงฟู่อวี่ถูกท่าทางโกรธและอายของนางก่อกวนจนคิดจะกลั้นหัวเราะก็ยังกลั้นไม่อยู่ เขานั่งลงที่ขอบเตียง คิดจะอุ้มนางมาปลอบโยน

“อย่าแตะต้องข้า!” นางปัดมือเขาที่ยื่นมาหา จับผ้าห่มไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือด้วยท่าทางหวงแหนความบริสุทธิ์ผุดผ่องสูงกว่าท้องฟ้า

สิงฟู่อวี่ชะงักอึ้ง เห็นสองแก้มนางแดงซ่าน ทั้งอายทั้งร้อนใจ สีหน้าท่าทางนั่น แววตานั่น…ช่างดูคล้ายหญิงสาวเสียจริง

เขามองจนตะลึงลาน หัวใจเต้นโครมครามอย่างประหลาด จากนั้นก็รีบกระแอมไอออกมาคำหนึ่ง คิดในใจว่าตนเป็นอะไรไป นางเพิ่งจะหกขวบ คิดเหลวไหลอันใดกัน

“ได้ๆ อาไม่เข้าใกล้ เดี๋ยวจะหาคนมาปรนนิบัติเจ้า” สิงฟู่อวี่ส่ายหน้าหัวเราะ คิดในใจว่าตนตามใจนางจนเหลิงแล้ว นางหนูนี่ถึงกับกล้าตีเขาแล้ว

เขาหมุนตัวเดินไปที่ห้องด้านนอก เรียกองครักษ์หญิงคนหนึ่งให้เอาเสื้อผ้าใหม่มาปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนให้แม่หนูน้อยสวมใส่ หวีผมและล้างหน้า

อูอีเสวี่ยแม้จะรู้สึกอัดอั้นตันใจไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ที่มากกว่านั้นคือความฉงนสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงหลับไปได้ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยนางก็นึกถึงอาหงขึ้นมา หลายวันมานี้อาหงไม่ได้มาติดตามนาง นางรู้สึกแปลกใจ จึงไปหาคนถามดู แล้วเพลิงโทสะของนางก็พวยพุ่งขึ้นมาอีก

อาหงถึงกับกราบอาจารย์ฝึกวรยุทธ์แล้ว อีกทั้งคนที่เขากราบเป็นอาจารย์ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของนาง สิงฟู่อวี่!

“ก่อนที่เจ้าจะกราบเขาเป็นอาจารย์ เพราะเหตุใดจึงไม่บอกข้า” พอเจอหน้าอาหง นางก็ต่อว่าด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด

อาหงเกาศีรษะอย่างขัดเขิน “เจ้ารู้แล้วหรือ ข้าคิดจะทำให้เจ้าตื่นเต้นดีใจ”

มิน่าเขาถึงไม่ได้บอกนางก่อน แต่นางไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจแม้แต่น้อย

“เจ้าเห็นว่าข้าดูแล้วเหมือนดีใจหรือ”

“อืม…ไม่เหมือน…”

เดิมอูอีเสวี่ยตั้งใจว่ารอให้ตนฟื้นคืนวรยุทธ์แล้วก็จะรับเจ้าหนูนี่เป็นลูกศิษย์ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกสิงฟู่อวี่ชิงตัดหน้าไปก่อน ครานี้นางกับสิงฟู่อวี่ก็ยิ่งอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว

อาหงเห็นอาเสวี่ยโกรธเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ “อาเสวี่ย ถ้าเจ้าไม่ชอบข้าก็จะไม่ฝึกวรยุทธ์กับเขาแล้ว”

อูอีเสวี่ยมองจ้องอาหง เห็นสีหน้ารู้สึกผิดและเคร่งเครียดของเขา อยากด่าก็ด่าต่อไปไม่ออก หูก็ได้ยินอาหงชี้แจงกับนางว่าตนอยากฝึกยุทธ์มานานแล้ว และจุดประสงค์ในการฝึกยุทธ์ของเขาก็คืออยากจะปกป้องคุ้มครองนาง ไม่ต้องถูกคนข่มเหงรังแกอีก

เดิมนางมีโทสะเต็มอกไม่มีที่ระบาย มาบัดนี้ได้รู้ว่าที่อาหงทำไปก็เพื่อนาง นอกจากซาบซึ้งตื้นตันใจแล้ว โทสะก็คลายไปกว่าครึ่ง

พูดตามตรงเรื่องนี้ก็โทษเขาไม่ได้ เป็นนางที่สะเพร่า มิน่าหลายวันมานี้เจ้าหนูนี่ถึงไม่ได้มาหานาง ที่แท้ก็แอบไปฝึกวรยุทธ์แล้ว

“อาเสวี่ย อย่าโกรธเลยนะ” อาหงดึงมือน้อยของนาง

อูอีเสวี่ยก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ช่างเถิด อภัยให้เจ้า คราวหน้าก่อนจะทำอะไรต้องมาบอกข้าก่อน”

อาหงรีบพยักหน้า “ได้ ข้าจะไปบอกใต้เท้าสิงเดี๋ยวนี้ ว่าข้าไม่ฝึกวรยุทธ์กับเขาแล้ว”

“ช้าก่อน ในเมื่อฝึกกับเขาแล้ว เจ้าก็ฝึกฝนกับเขาต่อไปเถิด วรยุทธ์เขาดีมาก ไม่ฝึกก็เสียเปล่า เจ้าก็เรียนให้มากสักหลายกระบวนท่า รู้หรือไม่”

ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ได้เสียหายอะไร อย่างไรเสียก่อนนางจะไปจากที่นี่ อาหงเรียนการใช้หมัดมวยไว้บ้างก็ดี ช่วงแรกของการฝึกฝนล้วนเป็นวรยุทธ์พื้นฐาน ก็ถือเสียว่าเป็นการสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแรงก็แล้วกัน

อูอีเสวี่ยโยนเรื่องรำคาญใจออกจากสมองไปอย่างรวดเร็ว พูดคุยเล่นอยู่กับอาหงสองคน บังเอิญได้รู้เรื่องหนึ่งจากปากเขา…ที่แท้เมื่อคืนมีคนสงสัยว่ามีไส้ศึกปะปนเข้ามาคิดจะวางยาใต้เท้าสิง จึงทำการตรวจค้นเงียบๆ เช้านี้สิงฟู่อวี่ปิดหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน ห้ามทุกคนไม่ให้ออกไปที่ใด แล้วค้นไปทีละบ้าน ทุกคนต้องถูกค้นตัว ดูว่าจะพบเบาะแสหรือไม่

อูอีเสวี่ยฟังแล้วแอบแลบลิ้นอยู่ในใจ เมื่อคืน? วางยา? นั่นไม่ใช่หมายถึงนางหรอกหรือ นางอดมีเหงื่อเย็นซึมออกมาไม่ได้ มิน่าสิงฟู่อวี่ต้องถอดเสื้อผ้านางออก ที่แท้ก็เพื่อตรวจสอบยา และที่นางหลับไปโดยไม่รู้ตัว ต้องเป็นสิงฟู่อวี่จี้จุดหลับนางแน่นอน

นางรู้สึกตื่นตะลึงที่เรื่องวางยาถึงกับไม่อาจปิดบังสิงฟู่อวี่ได้ ขณะเดียวกันก็ดีใจที่สิงฟู่อวี่เห็นว่ามีคนหลอกใช้นาง ไม่ได้สงสัยในตัวนางเลย หาไม่นางต้องตายแน่แล้ว

ดูท่าการวางยาคงใช้ไม่ได้แล้ว แต่นอกจากนี้แล้วนางก็ไม่รู้ว่ายังสามารถใช้วิธีใดจึงจะขโมยพลังวัตรกลับคืนมาจากสิงฟู่อวี่ได้ ถ้าคิดหาวิธีไม่ได้ นางไยมิใช่ต้องอยู่ในสภาพนี้ไปชั่วชีวิต

คิดมาถึงตรงนี้นางก็อดท้อใจไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนเองใช้การไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้วเมื่อไรจึงจะไปถึงเมืองชิงหู เวลานี้กำหนดนัดหมายหนึ่งเดือนก็ผ่านไปแล้ว เมืองชิงหูกลับยังคงอยู่ห่างไกลจากนางมาก

นางควรอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อรอคอยโอกาส หรือควรออกเดินทางไปเมืองชิงหูเลย นางตัดสินใจไม่ถูก แต่ก็ใคร่ครวญถึงปัญหานี้ไม่หยุด นางต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียวเพื่อใคร่ครวญให้ดี

วันนี้อูอีเสวี่ยเดินเข้าไปในป่าตามลำพังคนเดียว หาที่เงียบๆ แห่งหนึ่งแล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ เหม่อมองทิวเขาเมฆขาวที่เวิ้งว้างกว้างไกล

นางอยากอยู่เงียบๆ สักพัก ทว่ากลับมีคนมารบกวนนาง

“นางหนูเสวี่ย อารมณ์ไม่ดีหรือ”

เงาร่างสูงใหญ่ปิดคลุมร่างเล็กๆ ของนาง ใบหน้ายิ้มแย้มหล่อเหลาของสิงฟู่อวี่บดบังสายตาของนาง

คิดไม่ถึงว่านางแอบหลบมาอยู่ที่นี่ก็ยังถูกเขาหาตัวพบ ก็จริง คนผู้นี้หูตามาก คิดจะหาตัวนางไม่ใช่เรื่องยาก

นางหมุนตัวหันหลังให้เขา ไม่สนใจเขา

ฉับพลันนั้นของสิ่งหนึ่งก็แกว่งไปมาอยู่เบื้องหน้านาง ดึงดูดสายตานางไว้ได้ทันที…

เป็นเหอเปาของนาง เหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วง!

สิงฟู่อวี่ถือเหอเปาอยู่ในมือ กวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงหน้านางพลางบอกอย่างเอาใจ “ในเมื่อเจ้าชอบของสิ่งนี้ ก็ให้เจ้าแล้วกัน”

อูอีเสวี่ยตะลึงงัน แล้วตามติดมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ นางยื่นมือไปคว้าเหอเปามาอย่างไม่เกรงใจ พอเปิดออก หยิบป้ายหยกม่วงที่อยู่ข้างในออกมา ไม่ดูยังพอว่า พอดูแล้วกลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งค้างไปทันที

นี่ไม่ใช่ป้ายหยกม่วงของนาง แต่เป็นของทำเลียนแบบ! นางรู้สึกขมับของตนกระตุกไหว เมื่อมาไตร่ตรองอย่างละเอียด ก็จริง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเอาป้ายหยกม่วงของจริงมาคืนให้นาง

นางพยายามข่มกลั้นอารมณ์เต็มที่ที่จะไม่เอาของเลียนแบบขว้างใส่หน้าเขา ต่อให้นางรู้ว่าเป็นของปลอมก็ไม่อาจแสดงท่าทีออกมา ความโกรธนี้นางไม่อยากข่มกลั้นก็ต้องข่มกลั้น!

นางเก็บเหอเปาไว้ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

เห็นนางหนูเสวี่ยยังคงแง่งอนไม่สนใจเขา สิงฟู่อวี่ก็อดหัวเราะแล้วส่ายหัวไม่ได้ ก่อนจะเดินช้าๆ ตามหลังนางไป

เดิมคิดว่าเจ้าตัวน้อยเห็นป้ายหยกม่วงแล้วจะดีใจ เพราะนางอยากจะเอาไปเล่นมาโดยตลอด แต่หลักฐานยืนยันนี้มีความสำคัญมาก เขาไม่อาจให้นาง ดังนั้นจึงให้คนไปซื้อหยกม่วงมาชิ้นหนึ่ง แกะลวดลายเลียนแบบของจริง จากนั้นค่อยให้นางเอาไปเล่น คิดไม่ถึงว่านางหนูเสวี่ยรับของไปแล้วก็สะบัดหน้าเดินจากไป ไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย

“นางหนูเสวี่ย เหตุใดไม่สนใจคนแล้ว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกอา อาจะช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเจ้า”

อูอีเสวี่ยไม่ตอบเขา เพียงเดินต่อไปเงียบๆ ไม่ว่าเขาถามอะไรนางก็ไม่อยากตอบ ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน

ดูเหมือนนางหนูเสวี่ยจะเจ้าอารมณ์ไม่น้อย!

สิงฟู่อวี่ไม่บีบบังคับนาง เดินเรื่อยเฉื่อยตามนางอยู่ข้างหลัง

อูอีเสวี่ยตั้งใจไว้แล้วจะไม่แยแสสนใจเขา เขาอยากตามก็ตาม แล้วแต่เขา ตัวนางเองก็เดินไปเรื่อยเปื่อย ออกจากหมู่บ้านมาไกลขึ้นทุกทีและไม่มีทิศทาง แต่ไม่ว่านางจะเดินไปไกลแค่ไหน หรือเดินไปทิศทางใด สิงฟู่อวี่ก็คล้อยตามนาง ไม่ห้ามปราม

อูอีเสวี่ยในเวลานี้เป็นเด็กหญิงอายุหกขวบ ไม่มีพลังวัตร เรี่ยวแรงและกำลังกายย่อมไม่อาจเทียบกับผู้ใหญ่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็เดินเหนื่อยแล้ว จึงนั่งพักอยู่บนพื้นด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ส่วนสิงฟู่อวี่ก็ไม่รังเกียจว่าสกปรก ยกชายเสื้อคลุมนั่งลงกับพื้นข้างกายนาง นางไม่พูดเขาก็ไม่ถาม นางพักผ่อนพอแล้วก็ลุกขึ้นมาเดินต่อ เขาจึงเดินตามต่อไป

นางตัวเล็ก บางครั้งก็มีกิ่งไม้ยื่นออกมาขวางทางนาง เขาก็ยื่นมือไปช่วยจับออกให้นาง ถ้ามีใยแมงมุม เขาก็จะก้าวเข้าไปก่อนนางก้าวหนึ่งสะสางให้เรียบร้อย

นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รับน้ำใจ คิดในใจว่าเขาเบื่อแล้วก็คงจากไปเอง แต่กระทั่งตะวันบ่ายคล้อยเขาก็ยังเดินตามอยู่ ส่วนนางกลับเหนื่อยจนเดินไม่ไหว ท้องก็หิวแล้ว พอหันกลับไปมองเส้นทางตอนขามา ระยะทางนี้นางเดินมานานเพียงใด ตอนกลับก็ต้องเดินนานเท่ากัน นางเหนื่อยจนไม่อยากเดินอีกแล้ว แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากขอร้องเขา จึงนั่งลงกับพื้นไม่พูดไม่จาเสียเลย

สิงฟู่อวี่ลงนั่งยองๆ มองนาง เห็นนางเม้มปากไม่พูด ยังคงแง่งอนอยู่ ก็ไม่ใส่ใจยื่นมือมาอุ้มนางขึ้น

นางก็ไม่ได้ประท้วง เพราะตอนนี้นางทั้งหิวทั้งเหนื่อย แม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อต้านก็ไม่มีแล้ว จึงอิงซบอยู่กับร่างของเขาเนื้อตัวอ่อนระทวยราวกับหุ่น แล้วแต่เขาจะจับวาง

สิงฟู่อวี่อุ้มนางเดินกลับไปช้าๆ ทั้งสองคนนิ่งเงียบเช่นนี้ กระทั่งเขารู้สึกว่าบนบ่าเปียกชุ่มจึงอดตื่นตะลึงไม่ได้

นางหนูเสวี่ยร้องไห้แล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางร้องไห้เช่นนี้ ไม่ได้ร้องโฮๆ อาละวาดแบบเด็กทั่วไป หากแต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ นางที่เป็นเช่นนี้ทำให้หัวใจของเขาที่แต่ไรมาแข็งกระด้างเย็นชาเจ็บปวดขึ้นมาอย่างประหลาด

“นางหนูเสวี่ย คิดถึงบ้านแล้วหรือ”

คิดถึงบ้าน? นางไม่เพียงคิดถึงบ้าน ยังคิดถึงอาจารย์ คิดถึงผู้คุมกฎทั้งสี่ คิดถึงผู้คนในหุบเขาของนาง คิดถึงหุบเขาหมื่นบุปผาที่บุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง…ใช่แล้ว นางคิดถึงบ้าน คิดถึงมาก

“ข้าอยากกลับบ้าน…” นางเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้น

สิงฟู่อวี่นึกขึ้นมาได้ในฉับพลัน นางหนูเสวี่ยจะอย่างไรก็ยังเล็ก ตลอดทางที่ผ่านมาก็ระเหเร่ร่อน ชีวิตลำบากยากแค้น คิดถึงบ้านก็เป็นเรื่องธรรมดา นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง…

“บ้านอยู่ที่ใดหรือ”

“บ้านไม่มีแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้คนฟังแล้วเศร้าใจ ในดวงตาของสิงฟู่อวี่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูและปวดใจ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ศีรษะของนาง กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา “บ่าของอาก็คือบ้านของเจ้า ต่อไปถ้าอยากร้องไห้ ก็มาร้องที่อานี่เถิด”

อูอีเสวี่ยร้องไห้ก็ร้องเหนื่อยแล้ว เดินก็เดินไม่ไหวแล้ว เอาศีรษะซบบ่าเขาแล้วหลับไป อะไรก็ไม่อยากสนใจแล้ว

สิงฟู่อวี่เห็นนางหลับไปจึงใช้วิชาตัวเบา ระยะทางที่แต่เดิมต้องใช้เวลาเดินสองชั่วยาม เขาใช้เวลาเพียงเค่อเดียวก็กลับมาถึงหมู่บ้าน จากนั้นเขาก็ให้คนจัดเตรียมข้าวปลาอาหารและน้ำอาบ ปรนนิบัตินางหนูเสวี่ยกินอาหาร อาบน้ำล้างหน้าล้างตา

เมื่อสิงฟู่อวี่เดินเข้ามาในห้อง องครักษ์หญิงก็ถอยไปอยู่ด้านข้าง เขาก็ก้าวช้าๆ ไปที่ข้างเตียง เลิกม่านมุ้งขึ้น มองร่างเล็กๆ ที่นอนตะแคงหันหลังให้เขา

ห้องที่นางหนูเสวี่ยนอนอยู่เป็นห้องนอนของเขา วันนี้นางอารมณ์ไม่ปกติ เขาไม่วางใจให้นางนอนตามลำพัง จึงอุ้มนางกลับมาที่เตียงของตน ให้คนคอยดูนางไว้

ผู้สอดแนมที่ส่งตัวออกไป วันนี้กลับมาแล้ว เพื่อไม่ให้ส่งเสียงรบกวนนาง เขาจึงย้ายสถานที่ปรึกษาหารือไปยังเรือนอีกหลังหนึ่ง ตอนออกไปเขาได้สั่งกำชับองครักษ์หญิงให้ดูแลนางให้ดี จากนั้นก็ไปปรึกษางานกับลูกน้อง

หลังจากเขาออกไปแล้วอูอีเสวี่ยก็ลืมตาขึ้น ความจริงแล้วนางแสร้งหลับ ด้วยกลัวสิงฟู่อวี่จะมองออกดังนั้นจึงจงใจนอนหันหลังออกข้างนอก

นางลุกขึ้นมานั่ง องครักษ์หญิงเห็นนางตื่นแล้วก็รีบเข้ามาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน

“แม่หนูเสวี่ย เหตุใดจึงตื่นแล้ว”

“ข้าหิวน้ำ” นางหน้าตางัวเงีย

“ข้าจะไปรินน้ำให้เจ้าเดี๋ยวนี้”

องครักษ์หญิงและทุกคนต่างรู้ว่าใต้เท้าสิงรักและเอ็นดูแม่หนูผู้นี้มาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าเมินเฉยต่อนาง องครักษ์หญิงไปรินน้ำที่โต๊ะมาถ้วยหนึ่ง เพราะกลัวนางจะทำน้ำกระฉอกหกจึงถือถ้วยจะช่วยป้อนให้นาง

อูอีเสวี่ยก็ไม่ปฏิเสธ ให้องครักษ์หญิงป้อนน้ำให้นางดื่ม หลังดื่มเสร็จนางหยิบลูกกวาดออกมากิน และให้องครักษ์หญิงเม็ดหนึ่ง

“พี่สาว กินลูกกวาด” นางยิ้มอ่อนหวาน ตอนหยิบลูกกวาดส่งให้องครักษ์หญิง ใบหน้ายังเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย

องครักษ์หญิงคิดในใจว่าก็แค่ลูกกวาดเม็ดหนึ่ง ถ้าปฏิเสธไยมิใช่ทำให้แม่หนูน้อยเสียใจ ครั้นแล้วนางจึงรับลูกกวาดมาและกินเข้าปากไป

“อร่อยหรือไม่”

“อร่อย ขอบใจแม่หนูเสวี่ย”

อูอีเสวี่ยยิ้มสดใส เห็นชัดว่าเป็นเพราะเจตนาดีได้รับการยอมรับจึงเบิกบานใจ

องครักษ์หญิงเห็นรอยยิ้มของนางก็ยิ้มตาม ผ่านไปครู่หนึ่งพลันรู้สึกภาพเบื้องหน้าดำมืด ก่อนจะล้มลงกับพื้นหมดสติไป

อูอีเสวี่ยเก็บรอยยิ้ม มีแต่ต้องทำให้องครักษ์หญิงหมดสติ ตนจึงจะจากไปได้ ดังนั้นนางจึงเอาลูกกวาดที่มียาสลบติดอยู่ให้องครักษ์หญิงกิน ไม่ผิดจากที่คิด องครักษ์หญิงไม่ระแวงนางและยอมกินลูกกวาดลงไปอย่างง่ายดาย

นางรู้สิงฟู่อวี่ลงโทษลูกน้องที่บกพร่องต่อหน้าที่หนักมาก ด้วยเหตุนี้ก่อนจากไปนางได้ใช้พู่กันและหมึกบนโต๊ะเขียนข้อความไว้สองแผ่น

แผ่นแรกเขียนให้อาหง บนกระดาษเขียนบอกนางจะไปจากที่นี่เพื่อตามหาคนในครอบครัว ให้อาหงไม่ต้องเป็นห่วง ยังบอกให้เขาตั้งใจฝึกยุทธ์ ไม่ต้องไปตามหานาง

แม้จะรู้สึกผิดต่ออาหง ทว่านางก็คิดดีแล้ว ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย นางไม่ควรให้อาหงตามนางไปประสบอันตรายด้วยกัน ให้เขาอยู่ที่นี่ฝึกวรยุทธ์กับสิงฟู่อวี่ดีกว่าไปกับนางมากนัก

แผ่นที่สองทิ้งไว้ให้สิงฟู่อวี่ ในนั้นอธิบายว่าองครักษ์หญิงถูกนางหลอกถึงได้หมดสติไป เช่นนี้นางจึงจะจากไปได้สะดวก ยังบอกขอบคุณเขาที่รับตัวนางไว้ ครั้งหน้านางจะกลับมาเล่นกับองครักษ์หญิงอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้สิงฟู่อวี่พาลโกรธองครักษ์หญิงก็คงไม่ลงโทษหนักนัก

เวลานี้สิงฟู่อวี่กำลังยุ่งกับการปรึกษางาน เป็นจังหวะเหมาะที่สุดที่จะจากไป นางค่อยๆ ย่องออกจากห้อง หลบเลี่ยงคนอื่นๆ เดินออกจากหมู่บ้าน จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในป่า หาต้นไม้ใหญ่ที่ทำเครื่องหมายเอาไว้และเอาห่อสัมภาระที่ฝังไว้ใต้ต้นไม้ออกมา

นางตัดสินใจจะไปเมืองชิงหูและไม่อาจถ่วงเวลาต่อไปอีกแล้ว วิธีการเดินเท้าเช่นยามปกติช้าเกินไป วิธีที่เร็วที่สุดก็คือนั่งเรือ ทั้งสามารถหลีกเลี่ยงการทิ้งรอยเท้าไว้ ดังนั้นนางจึงมาที่ริมแม่น้ำ กระโดดขึ้นเรือหาปลาของผู้อื่น จากนั้นก็ชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา ตัดเชือกผูกเรือขาด สุดท้ายก็ไม่ลืมทิ้งเงินไว้ถุงหนึ่ง เงินนี้เพียงพอให้เจ้าของเรือลำนี้นำไปซื้อเรือได้อีกยี่สิบลำ

นางใช้ไม้ถ่อดันเรือน้อยออกจากฝั่ง เรือออกสู่กลางแม่น้ำ เรือน้อยแล่นช้าๆ ไปตามสายน้ำ หลังจากจัดวางไม้ถ่อให้อยู่กับที่ดีแล้ว นางก็ลงนอนเอาห่อสัมภาระหนุนหัว แหงนมองดวงดาวบนท้องฟ้า

ด้านตะวันตกเป็นหุบเขา ด้านตะวันออกเป็นทะเลสาบ น้ำในแม่น้ำไหลไปทางตะวันออก ไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องไปถึงเมืองชิงหูที่อยู่ทางตะวันออก

นางหลับตาลง ฟังเสียงน้ำ เรือโคลงเคลงไปมาเบาๆ ประหนึ่งเปล กอปรกับวันนี้นางเหนื่อยมากแล้ว ไม่นานก็หลับใหลไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: