ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 6
ทั้งสองคนนิ่งเงียบมาตลอดทาง หลังจากเดินมาราวหนึ่งชั่วยามครึ่งนางรู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำ แต่บุรุษที่เดินอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย เอาแต่กุมข้อมือนางไว้ไม่ปล่อย เดินไปข้างหน้าไม่หยุด
ถ้าเป็นแต่ก่อน นางคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ ไม่โกรธไม่โมโห แต่ไม่รู้ทำไม ยามนี้นางอารมณ์ไม่ดี โทสะขุมหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ฉับพลันนั้นนางเผลอไม่ทันระวังเหยียบลงไปในหลุมเข้า ทำให้เท้าเคล็ด
นางเท้าเจ็บ แต่เพราะความไม่พอใจจึงอดทนไว้ไม่พูด กระทั่งสิงฟู่อวี่หยุดลง เลือกพักผ่อนชั่วคราวที่ริมลำธารแห่งหนึ่งถึงได้พบว่าการเคลื่อนไหวของนางผิดปกติ
“เท้าเป็นอะไรไป” เขาถามขึ้น
“ไม่เป็นไร” นางหันหน้าหนี ตอบอย่างหมางเมิน
เขาไม่เอ่ยปากอีก แต่กลับอุ้มนางขึ้นมา ทำเอานางตกอกตกใจ
“ท่านจะทำอะไร” นางโมโหจนใช้มือตีเขา
สิงฟู่อวี่อุ้มนางไปนั่งบนก้อนหิน ก้มหน้าลงตรวจดูเท้าของนาง ไม่ผิดจากที่คาด เขาพบว่าข้อเท้าด้านซ้ายออกจะบวมแดง
“เท้าเคล็ดได้รับบาดเจ็บเหตุใดจึงไม่บอก” คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนน่ากลัว น้ำเสียงเจือตำหนิ
“บอกแล้วมีประโยชน์หรือ” นางพูดอย่างไม่พอใจ หันหน้าไปอีกทางไม่มองเขา
ท่าทางเช่นนี้ของนางไม่ต่างอะไรกับเด็กเจ้าอารมณ์ ไม่รู้ทำไมสิงฟู่อวี่ถึงกับมีความรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา
เป็นเขาที่สะเพร่า ถึงได้ทำให้นางข้อเท้าเคล็ด เพราะตลอดทางที่เดินมาเขาเอาแต่คิดว่า…นางหนูเสวี่ยก็คืออูอีเสวี่ย เรื่องนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว และก็ทำให้เขากลัดกลุ้ม ไม่รู้ควรจะจัดการกับนางอย่างไร ถ้าปฏิบัติต่อนางอย่างไร้ปรานี เขาก็ส่งตัวนางไปที่เมืองหลวง มอบให้ฝ่าบาทได้โดยไม่ต้องสนใจอะไร แต่เขาไม่สมัครใจ
ใช่ เขาไม่สมัครใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลัดกลุ้ม เขาจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน หญิงสาวผู้นี้ได้โยนความยุ่งยากใหญ่หลวงมาให้เขาแล้ว
สิงฟู่อวี่ถอดถุงเท้ารองเท้าของนางออก นวดเท้าให้นาง เท้าที่เปล่าเปลือยของหญิงสาวขาวผ่องดุจหิมะ บอบบางราวกับผิวทารก ยามสัมผัสนุ่มนิ่มนวลเนียนดุจหยก
เขาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นดวงตาทั้งสองของนางปิดแน่น ฟันขาวกัดริมฝีปาก กำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา แต่ยังคงงดงามชวนมอง สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยดูแล้วน่าสงสาร
สิงฟู่อวี่มองจ้องนาง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตอนอยู่กับนางหนูเสวี่ยผุดขึ้นมาในสมองของเขา ความจริงนางมีนิสัยเช่นไรเขารู้ดีที่สุด
นางช่วยเด็กๆ ที่ถูกพวกค้าทาสจับตัวไป เล่นสนุกสนานอยู่กับเด็กๆ อย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางออดอ้อนเอาแต่ใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา และเหม่อมองเมฆขาวที่อยู่ไกลเพียงลำพังคนเดียว หลั่งน้ำตาเงียบๆ บอกว่านางคิดถึงบ้าน
ความจริงแล้วนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกคนหนึ่ง วรยุทธ์ธรรมดาสามัญ เพื่อจะเอาชีวิตรอด บางครั้งก็เล่นลูกไม้บ้าง ประสบการณ์ในยุทธภพยังไม่มากพอ และยังกลัวเจ็บ
วันนี้ดีที่มาเจอเขา หากตกอยู่ในมือคนอื่น เขาไม่กล้าคิดภาพว่าคนอื่นจะจัดการนางเช่นไร
หลังจากช่วยสวมรองเท้าคืนให้นาง เขาก็หมุนตัวนั่งยองๆ หันหลังให้นางพลางเอ่ยสั่ง “ขึ้นมา ข้าแบกเจ้าเอง”
อูอีเสวี่ยหันหน้ากลับมา มองเขาด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับจะแบกนาง
เขาเหลียวกลับมามองนาง เอ่ยร้องเร่ง “ยังไม่รีบขึ้นมา หรือเจ้าอยากจะเดินเอง”
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ คิดในใจว่าในเมื่อท่านอยากแบก ข้าย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ครั้นแล้วนางก็ไม่มัวเกรงใจ ปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังเขาทันที
สิงฟู่อวี่แบกนางเดินต่อไป และนางก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีอย่างที่สุด ขอเพียงซัดเขาให้สลบไปตอนนี้นางก็หนีไปได้แล้ว
นางมองจ้องต้นคอของเขา บอกกับตนเองว่าต้องลงมือเดี๋ยวนี้ แต่แล้วก็พบว่าความคิดฝ่ายดีกับฝ่ายร้ายของตนกำลังต่อสู้กัน ทำให้ไม่อาจตัดใจลงมือ
ความจริงแล้วยามเผชิญหน้ากับเขา นางเองไยมิใช่ก็ลังเลไม่เด็ดขาด ก่อนหน้านี้ที่นางลอบจู่โจมเขา ความจริงแล้วนางก็หาได้ทำเต็มกำลัง เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาตอนอยู่กับเขาได้ประทับตราตรึงอยู่ในสมองของนาง
ความดีที่เขามีต่อนางนางรู้ดี และหลังจากเขารู้ฐานะที่แท้จริงของนาง นอกจากตอนแรกที่โกรธแค้นแล้ว สุดท้ายยังมิใช่ใจอ่อนกับนางหรือ หาไม่ตอนนี้ก็คงไม่แบกนางเดิน
ยามซบอยู่บนแผ่นหลังของเขา ในใจของนางรู้สึกอบอุ่น แต่ก็รู้สึกเงียบเหงาวังเวงใจ เขารับพระบัญชาจากฮ่องเต้มาปฏิบัติภารกิจ ส่วนนางก็แบกรับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงของหุบเขาหมื่นบุปผา ทั้งสองถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นศัตรูกัน บางทีเวลานี้เขาอาจเห็นแก่มิตรภาพเก่า ไม่อาจทำใจแข็งกับนาง แต่ก็ยากจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจ เอาตัวนางกลับไปเมืองหลวงเพื่อรายงานผลงาน
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบมาตลอดทาง เขาแบกนางเดินไปอย่างไม่รีบร้อน นางก็เกาะอยู่บนหลังเขาเงียบๆ ทำตัวเรียบร้อยเหมือนที่ผ่านมา คล้ายว่านางยังเป็นนางหนูเสวี่ยที่ซุกซนผู้นั้น เพราะเดินเหนื่อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงแบกนางกลับบ้าน
ในเมื่อสิงฟู่อวี่กล้าแบกนาง แล้วมีหรือจะกลัวนางลอบจู่โจม เขาคล้ายมีตาติดอยู่ข้างหลัง นางคิดจะทำสิ่งใดเขาก็รู้ทุกอย่าง เห็นนางล้มเลิกความคิดที่จะจู่โจมเขาเขาถึงกับรู้สึกปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง มุมปากหยักโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากขามาเขามาทางน้ำ ตอนกลับย่อมต้องนั่งเรือกลับไปจึงจะเร็ว
ทั้งสองมาถึงท่าเรือ บนฝั่งมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมารอขึ้นเรืออยู่ก่อนแล้ว สิงฟู่อวี่วางนางลง เอ่ยเสียงต่ำ “รอข้าอยู่ที่นี่”
นางพยักหน้า ดูท่าทางเชื่อฟัง คล้ายยอมรับชะตากรรมแล้วอย่างไรอย่างนั้น ทว่าสิงฟู่อวี่ก็ไม่กลัวนางหนี ต่อให้นางหนีไป เขาก็สามารถจับตัวนางกลับมาได้ในทันที
เขาหมุนตัวเดินไปทางคนพายเรือ อูอีเสวี่ยฉวยโอกาสที่เขากำลังจ่ายค่าโดยสารเรือ จงใจมองไปที่บุรุษกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล บุรุษกลุ่มนั้นพบว่านางรูปโฉมงดงามก็ตะลึงงันนึกว่าเทพธิดา
ความจริงตอนอูอีเสวี่ยมาถึงท่าเรือก็สังเกตเห็นคนเหล่านี้แล้ว นางรู้คนเหล่านี้เป็นคนของพรรคเฉาปัง วรยุทธ์ของพวกเขาอาจเทียบกับสิงฟู่อวี่ไม่ได้ แต่ได้เปรียบที่จำนวนคนมาก ถ้านางจะหนี ก็ต้องใช้โอกาสในครั้งนี้
นางฉวยจังหวะที่สิงฟู่อวี่ไม่ทันสังเกต วิ่งไปที่บุรุษกลุ่มนั้น ไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ…
“พี่ชายทั้งหลาย ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าถูกคนจับตัวมา คนผู้นั้นคิดจะเอาข้าไปขายที่หอนางโลม…”
นางรูปร่างหน้าตางามเพริศพริ้งเพียงนี้ ทั้งดูอ่อนแอบอบบางไร้ที่พึ่งพิง ในดวงตามีหยาดน้ำตาคลอขัง ทำให้คนจิตใจหวั่นไหว บุรุษเหล่านั้นเห็นนางแล้วก็ถูกรูปโฉมของนางทำให้งงงัน พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ หัวใจของวีรบุรุษผู้กล้าช่วยหญิงงามก็ถูกปลุกเร้าออกมาทันที
ที่นี่เป็นเขตอิทธิพลของพรรคเฉาปัง หลายวันก่อนเกิดเรื่องโจรปล้นเรือ ทำให้พรรคเฉาปังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ จึงส่งศิษย์ในพรรคออกมาจำนวนมาก เวลานี้มาได้ยินว่าถึงกับมีคนข่มเหงรังแกสตรีผู้หนึ่งตอนกลางวันแสกๆ คิดจะเอานางไปขายให้หอนางโลม ต่างก็เดือดดาลหนัก รีบตบอกรับประกันว่ามีพวกเขาอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง
สิงฟู่อวี่จ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย หมุนตัวมาพลันสังเกตเห็นบรรยากาศไม่ถูกต้อง…เขาถูกล้อมไว้แล้ว อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็มีจำนวนคนมาก ทุกคนมือกุมดาบที่เอว จ้องมาที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
สิงฟู่อวี่กวาดสายตาไป เห็นอูอีเสวี่ยหลบอยู่ข้างหลังบุรุษเหล่านี้ เห็นนางเบนสายตาหนีอย่างวัวสันหลังหวะไม่มองเขา นัยน์ตาคมกริบของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ใคร่ครวญดูครู่หนึ่งก็เข้าใจ คนเหล่านี้คงจะถูกนางยุยงส่งเสริม ถึงได้พุ่งหัวหอกมาที่เขา
ตอนทุกคนจู่โจมเข้ามา เขารีบชักกระบี่ออกต่อกร ยังต้องระมัดระวังไม่อาจเล่นงานผู้อื่นถึงตาย จะอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงคนของพรรคเฉาปัง เขาไม่อาจสังหารผู้บริสุทธิ์ส่งเดช
ขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับการรับมือคนเหล่านี้ หางตาก็เหลือบไปเห็นนางหดคอฉวยโอกาสหนีไปแล้ว เขาโมโหจนอยากจะหัวเราะ นางหนูจอมกะล่อนผู้นี้ เขาประเมินนางต่ำไปจริงๆ ฝีมือสู้เขาไม่ได้ก็หยิบยืมมือผู้อื่น ให้คนกักตัวเขาเอาไว้ ส่วนเขากลับได้แต่มองนางหนีไปโดยทำอะไรไม่ได้
ติดตามต่อได้ในเล่ม…โฉมงามสองหน้า ชุด ข่าวลือในยุทธภพ