จินหยวนเป่าขยับตัวผลักร่างที่คร่อมทับออก แล้วมองหญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อน
จบกัน จะคิดบัญชีจริงๆ ด้วยสินะ อวี้ฉีหลินถอยหลังไปสองสามก้าวพลางแก้ตัวตะกุกตะกัก “ระ…เรื่องนี้…จะโทษข้าไม่ได้นะ…” นางนิ่งคิดแล้วเสริมขึ้นอีกประโยค “เจ้านั่นแหละผิด!”
ใช่อย่างที่คิดจริงๆ! คำพูดของนางยิ่งช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานให้ชัดเจน เขาอัดอั้นตันใจเป็นล้นพ้น ไม่มีความกล้าที่จะมองตานางตรงๆ กระนั้นยังไม่วายทำปากแข็ง “หญิงอย่างเจ้ามัน…เจ้าเล่ห์นัก!”
“เจ้าเล่ห์?” หญิงสาวงุนงงหนักกว่าเก่าเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก “ข้า?”
“หึ!” ฝ่ายชายหมุนตัวไปเก็บเสื้อผ้ามาสวมอย่างหัวเสีย
เห็นอย่างนั้นอวี้ฉีหลินก็ได้แต่เลิกคิ้ว ทรุดตัวลงนั่งหวีผมตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางนึกว่าตัวเองช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน ถึงได้รอดพ้นคืนเข้าหอมาได้อย่างปลอดภัย คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเนียนอย่างห้ามไม่อยู่
จินหยวนเป่ากำลังเดือดจัด ยิ่งเห็นนางยิ้มก็ยิ่งคิดว่าหญิงผู้นี้ช่างหน้าด้านสิ้นดี เขากัดฟันอย่างแค้นเคืองอยู่พักใหญ่ก่อนจะเค้นเสียงคำราม “ไร้ยางอาย!”
นางหันมายิ้มให้จนเห็นฟันแถวบนแถวล่างชัดเจน แล้วขยับฟันกระทบกันดังก๊อกๆ “มีสิ ฟันแข็งแรงกว่าเจ้าด้วย*!”
“ต่ำช้า!”
นางหยิบกระจกสำริดมาส่องตรงหน้าเขา “ถูกต้อง คนผู้นี้เป็นคนต่ำช้า!”
“หึ!” จินหยวนเป่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “ทำตัวราวกับเด็กไม่ยอมโต!”
“หึ!” อวี้ฉีหลินแค่นเสียงใส่บ้าง ก่อนจะหันกลับไป
เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น ตามด้วยเสียงสี่เอ๋อร์ “คุณชาย ฮูหยินน้อย ฮูหยินเร่งแล้วเจ้าค่ะ คู่บ่าวสาวโปรดอาบน้ำแต่งตัวโดยเร็ว แล้วไปยกน้ำชาคารวะฮูหยิน”
จินหยวนเป่าเดินไปเปิดประตูก้าวฉับๆ ออกไปพลางส่งเสียงตะโกนเรียกบ่าวคนสนิท “อาฝู อาฝู! มาเตรียมน้ำกับเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ข้า!”
ต่อเมื่อเจ้าของห้องเดินออกไปแล้ว สี่เอ๋อร์ก็ปรี่เข้ามายืนข้างหลังอวี้ฉีหลิน ทำทีเป็นช่วยหวีผมให้ “พวกเราจะไปกันเมื่อไร”
อวี้ฉีหลินผงะไปเล็กน้อย “เมื่อคืนข้ายังจัดการเรื่องนั้นไม่สำเร็จ”
คนฟังขมวดคิ้ว “แล้วต้องใช้เวลาเท่าไรเล่าถึงจะสำเร็จ”
“ขอเวลาข้าอีกคืนแล้วกัน” อวี้ฉีหลินทำท่าครุ่นคิด
“ต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกคืน!?” สี่เอ๋อร์อุทานตกตื่น “เมื่อคืนตอนที่เจ้าหวีดร้อง ข้าตกใจแทบตาย”
คู่สนทนากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ “แสดงว่าเจ้าไม่ได้ยินน่ะสิ ว่าเขาร้องได้โหยหวนกว่าข้าเสียอีก”
หัวคิ้วของสี่เอ๋อร์ขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ใบหน้าแดงก่ำสลับกับขาวซีดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยถาม “สรุปว่าเจ้า…ถูก…ถูก…”
ท่าทางอึกๆ อักๆ เช่นนั้นนำความหงุดหงิดมาให้อวี้ฉีหลิน “จะถามว่าข้าได้เสียทีเขาหรือไม่สินะ”
“แล้วตกลงว่าได้หรือไม่เล่า”
นางตอบอย่างไม่ยี่หระ “เอาเป็นว่าข้าไม่เสียเปรียบก็แล้วกัน!”
“ไม่เสียเปรียบ!?” สี่เอ๋อร์อุทานเสียงหลง เผยอริมฝีปากอยู่นานก็ยังพูดอะไรต่อไม่ออก คงคิดว่าอวี้ฉีหลินถูกจินหยวนเป่าทำมิดีมิร้ายไปเรียบร้อยแล้ว
“อือฮึ ไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว”
สาวใช้อึ้งไปโดยสิ้นเชิงอยู่นาน ถึงค่อยมีสติถาม “จะ…เจ้ายอมพลีถึงเพียงนี้ มันคุ้มกันแล้วหรือ”
“ต้องยอมเสียลูกเพื่อล่อหมาป่าสิ เข้าใจหรือไม่!”
ตรรกะบ้าบออะไรกันนี่! สี่เอ๋อร์อับจนด้วยคำพูด หญิงผู้นี้ไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่ นางกลอกตาหนึ่งตลบ เมื่อพูดกับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง น้ำเสียงก็มีความรังเกียจแฝงอยู่เล็กน้อย “เดี๋ยวพอไปยกน้ำชาคารวะฮูหยินก็อย่าทำตัวมีพิรุธล่ะ”
“ยกน้ำชา?” อวี้ฉีหลินนิ่งคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “แค่ยกน้ำชา ใครก็ทำเป็นทั้งนั้นแหละ!”
* คำว่ายางอายในภาษาจีนคืออักษร ‘ฉื่อ’ (耻) ซึ่งพ้องเสียงกับอักษร ‘ฉื่อ’ (齿) ที่แปลว่าฟัน ไร้ยางอายอีกนัยหนึ่งจึงแปลว่าไม่มีฟัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…