หญิงคนนี้! เขาฉุนกึกเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าเสียแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดทันที “งานยุ่งมาก อีกอย่าง…ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ ไม่มีเวลากลับบ้านฝ่ายหญิงหรอก! หากคิดถึงพ่อแม่ตัวเองนักก็กลับไปเองสิ!”
จินฮูหยินผงะอึ้ง ไม่คิดว่าลูกชายจะเย็นชาได้ขนาดนี้
อวี้ฉีหลินแสร้งทำท่ายกมือปาดน้ำตา แล้วแสดงความภักดีให้แม่สามีเห็นอย่างน่าสงสาร “ข้าเป็นคนสกุลจินแล้ว ท่านพี่ไม่กลับ ข้าก็จะไม่กลับ!”
เจ้าใช่เสียที่ไหนกันเล่า จินหยวนเป่าหางตากระตุกริกๆ พลางเบือนหน้ามาเค้นเสียงลอดไรฟันกระซิบริมหูอวี้ฉีหลินอย่างดุดัน “ยังจะพูดจาได้น่าคลื่นไส้กว่านี้อีกหรือไม่”
หญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า ทำทีเป็นเช็ดน้ำตา ทว่าฉวยโอกาสยักคิ้วให้เขา “ขอให้ได้ผลเป็นพอ”
จินฮูหยินซาบซึ้งกับคำพูดของสะใภ้ถึงขั้นตาแดงก่ำด้วยความสงสาร นางวางจอกชาไว้ข้างตัวแล้วเอ่ยชื่นชม “นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเซวียนจะมีน้ำใจรู้จักคิดขนาดนี้ แม่ตื้นตันยิ่งนัก อันคุณธรรมทุกประการนั้น สิ่งใดจะเหนือกว่าความกตัญญูเป็นไม่มี ถึงอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญกับใจกตัญญูของเสี่ยวเซวียนเป็นอันดับแรก เหวินเจา เจ้าไปจัดการไป ให้ออกเดินทางวันมะรืน”
หลิ่วเหวินเจาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ขอรับ ท่านอา”
“ท่านแม่!” จินหยวนเป่าประท้วง “ลูกยังมีงานต้องทำ! ซ้ำในกองปราบ…”
“พอที!” หญิงวัยกลางคนโบกมือตัดบทลูกชายแล้วลุกขึ้นยืน “ตกลงตามนี้” จากนั้นก็หันมาพูดกับทุกคน “วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว”
จินหยวนเป่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลุกขึ้นมาค้อมคำนับมารดาคู่กับอวี้ฉีหลินแล้วเดินออกไปพร้อมกัน
พอพ้นห้องโถง หญิงข้างตัวเขาก็ทำหน้าบานอย่างลิงโลด ไม่คิดจะปกปิดใดๆ อีกแล้ว
ชายหนุ่มนึกชังสีหน้าเช่นนี้ของนางจนดวงตาแทบพ่นไฟได้!
อวี้ฉีหลินครวญเพลงเบาๆ ในคออย่างรื่นรมย์พลางเลิกคิ้วมองเขา “รีบไปเตรียมสัมภาระกลับบ้านกับข้าเสียสิ” พูดจบก็ส่ายเอวคอดกิ่วเดินนำสี่เอ๋อร์จากไป
นางจำทางเก่ง สามารถจดจำเส้นทางที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ได้อย่างแม่นยำ ประกอบกับมีสี่เอ๋อร์อยู่ด้วย จึงทอดน่องเดินช้าๆ ไม่รีบร้อน เพลิดเพลินกับทัศนียภาพงดงามมาตลอดทาง
สี่เอ๋อร์เดินตามด้วยความกังวล เห็นอีกฝ่ายทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องก็ให้ขุ่นใจนัก “ยังกล้าตอบตกลงว่าจะกลับบ้านแม่อีกหรือ พวกเรากลับไปไม่ได้เป็นอันขาด กระดาษห่อไฟไม่ได้หรอกนะ พอกลับไปถึงหนานจิง พวกเราก็จบเห่กันแล้ว อาศัยช่วงเวลาระหว่างนี้หาทางหนีไปดีกว่า!”
“ทำไมข้าจะไม่รู้ว่ากลับบ้านสกุลเจียงของพวกเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่อาจไปจากที่นี่” อวี้ฉีหลินอมยิ้มมองฝ่ายตรงข้าม
“ทำไมเล่า” สาวใช้สะดุ้งเฮือกอยู่ในใจ ก่อนจะมองนางอย่างระแวง “อ้อ ข้ารู้แล้ว! เจ้าอยากอยู่ในคฤหาสน์สกุลจิน อยากให้ใครต่อใครเรียกเจ้าว่าฮูหยินน้อยสินะ!”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า!” อวี้ฉีหลินโต้กลับทันที “ข้ายังจัดการธุระไม่เสร็จ ตอนนี้เลยยังไปไม่ได้”
“ธุระอะไรกันที่สำคัญถึงเพียงนี้ หากยังไม่ไปอีก เรื่องจะแดงเอานะ! ไม่เห็นหรือว่าตอนยกน้ำชาเมื่อเช้า เจ้าไม่มีมาดคุณหนูเลยสักนิด” สี่เอ๋อร์ร้อนใจแทบคลั่ง
“แล้วอย่างไรเล่า” คู่สนทนาเอื้อมมือออกไปลูบดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่พลางพึมพำ “ข้าก็ยังทำให้จินฮูหยินสบอารมณ์มากๆ อยู่ดีไม่ใช่หรือ”
สี่เอ๋อร์อับจนด้วยคำพูด
“เอาน่าๆ!” อวี้ฉีหลินเห็นอีกฝ่ายทำปากอูดก็รู้ได้ว่าไม่พอใจ จึงเอ่ยปลอบประโลม “วางใจเถิด ไว้ข้าจัดการธุระเสร็จเมื่อไร จะไม่โอ้เอ้อยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วันเดียว ข้าจะจัดการธุระให้เสร็จภายในสามวัน จากนั้นจะต้องคิดหาวิธีไปจากที่นี่แน่”
สี่เอ๋อร์เอาแต่จ้องมองคนพูดเขม็ง ไม่ตอบโต้ สักพักถึงค่อยพูดอย่างอับจนหนทาง “ตอนนี้ชีวิตข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูดล่ะ”
“วางใจได้เลยน่า!” อวี้ฉีหลินตบบ่าอีกฝ่ายดังปุๆ
สาวใช้เดินตามหลังเจ้านายกำมะลอด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางมองแผ่นหลังฝ่ายตรงข้ามแล้วให้รู้สึกว่าทุกอากัปกิริยาเทียบคุณหนูของตนไม่ติดแม้แต่นิดเดียว สี่เอ๋อร์โอดครวญในใจ คุณหนู! ท่านอยู่ที่ใดกันแน่!
โปรดติดตามตอนต่อไป…