X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 9 หมอกู้สวมบทผู้กล้าช่วยหญิงงาม

 

“ฮัดชิ้ว!”

เจียงเสี่ยวเซวียนที่กอดห่อสัมภาระขดตัวอยู่ตรงมุมวัดร้างจามออกมาฟืดใหญ่

นี่ข้าจับไข้หรือว่ามีใครพูดถึงข้ากันนะ

ลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่าน ริ้วผ้าเก่าๆ บนคานวัดปลิวไหวส่งเสียงพั่บๆ

หญิงสาวขดตัวด้วยความหวาดกลัว สักครู่หนึ่งเหมือนจะมีแสงสว่างส่องเข้ามา นางแอบเหลือบมองออกไปข้างนอก ฟ้าสางแล้วอย่างนั้นหรือ

ตอนที่วิ่งหนีออกมาเมื่อวันก่อน นางทำกระเป๋าใส่เงินหล่นเสียได้!

ที่น่าโมโหยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือตอนนั้นนางเพิ่งขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ไม่มีเครื่องประดับติดตัวสักชิ้น ต้องเอาเสื้อผ้าในห่อสัมภาระไปจำนำถึงพอจะมีเงินประทังชีวิต…

“พี่หลี่ ท่านอยู่ที่ใดกันแน่” ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ เจียงเสี่ยวเซวียนอดตัดพ้อออกมาไม่ได้ “รู้บ้างหรือไม่ว่าข้าตามหาท่านอยู่”

“เมี้ยว!”

แมวจรตัวหนึ่งกระโดดจากคานลงมาบนพื้น มองนางด้วยสายตาเย็นชา คล้ายไม่พอใจอย่างมากที่มนุษย์ผู้นี้รุกล้ำอาณาเขตของมัน

เจียงเสี่ยวเซวียนมองแมวดำที่เยื้องย่างเข้ามาหาตนเองทีละก้าวด้วยสายตาหวาดหวั่น กลัวเสียจนฟันกระทบกันดังกึกๆ “จะ…จะ…เจ้าอย่าเข้ามานะ!”

“เมี้ยว!”

แมวจรไหนเลยจะเข้าใจคำพูดของนาง มันกระโจนเข้าใส่ราวกับเสือร้าย

“กรี๊ด…” หญิงสาวหวีดร้องพลางทะลึ่งตัวลุกพรวด แล้วเผลอทำชายกระโปรงเกี่ยวมุมโต๊ะขาดดังแควกเป็นทาง

แมวจรมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะเขี่ยก้างปลาที่ซ่อนไว้ดิบดีออกมาอย่างเย่อหยิ่ง แล้วกอดก้างปลาเอนตัวลงตรงจุดที่เจียงเสี่ยวเซวียนเพิ่งนั่งเมื่อครู่ เลียก้างครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสบายอารมณ์

สายตาเหยียดหยันที่เจ้าแมวตัวนั้นมองมาทำให้หญิงสาวยิ่งอัดอั้นตันใจหนักกว่าเดิม กลัวแมวก็กลัว สุดท้ายจึงต้องสะพายห่อสัมภาระหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่มีทางเลือก

เดินไปได้สักสี่ห้าก้าวถึงเพิ่งรู้ว่าชายกระโปรงขาดเป็นทาง สภาพเช่นนี้จะให้คนอื่นเห็นได้อย่างไรกันเล่า! ระหว่างกำลังเค้นสมองหาทางออก หางตาก็เหลือบไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าเก่าเข้าโดยบังเอิญ จึงนึกขึ้นได้ว่าในห่อสัมภาระยังมีเสื้อผ้าเก่าอยู่หลายชุด บางทีอาจเปลี่ยนเป็นเงินก้อนเล็กๆ ได้สักก้อน คิดได้ดังนั้นร่างแบบบางก็สาวเท้าเข้าไปหาร้านขายเสื้อผ้าทันที

หนึ่งเค่อให้หลัง เจียงเสี่ยวเซวียนเดินกลับออกมาในชุดผ้าฝ้าย แล้วลูบห่อสัมภาระฟีบๆ ของตนเอง ในนั้นมีเหรียญสำริดอยู่พวงหนึ่ง

ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาภรณ์หรูหราที่ตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าแพรถึงสามชุดจะแลกเงินได้เพียงเท่านั้น

“เฮ้อ…” หญิงสาวทอดถอนใจ “ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน” นางกระชับห่อสัมภาระเข้ากับไหล่ มุ่งหน้าเดินเข้าไปในตลาดอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน

ดวงเนตรงามกวาดมองผู้คนโดยรอบ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปถามชายชราเจ้าของแผงขายผักแห่งหนึ่ง “เรียนถามท่านลุง แถบนี้มีคฤหาสน์สกุลหลี่อยู่บ้างหรือไม่”

“สกุลหลี่ไหนล่ะ” ชายชราย้อนถาม

“เอ่อ…” นางนิ่งคิดเล็กน้อย “คุณชายคนปัจจุบันของสกุลหลี่นามว่าหลี่จวิ้น”

“หลี่จวิ้น? ไม่เห็นเคยได้ยิน”

“อะไรนะ” เจียงเสี่ยวเซวียนรีบถามต่ออย่างร้อนรน “หลี่จวิ้นแห่งสกุลหลี่เป็นทายาทของขุนนางบรรดาศักดิ์กงถึงสามรุ่น ได้รับพระราชทานตำแหน่งทั่นฮวา* ในการสอบจอหงวนครั้งก่อน เมื่อสามปีที่แล้วยังขี่ม้าแห่รอบเมืองหลวง ท่านไม่ทราบเลยหรือ”

ผู้สูงวัยส่ายหน้า “ข้าอยู่ที่นี่มาห้าสิบปีแล้ว ไม่เคยได้ยินทั่นฮวาที่แซ่หลี่อะไรนั่นเลย”

“อ้อ…ไม่เป็นไร ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ” เจียงเสี่ยวเซวียนค้อมศีรษะขอบคุณ ทว่าความผิดหวังสะท้อนออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด

หลังจากนั้นนางก็เข้าไปถามหญิงสูงวัยอีกคนหนึ่ง “ท่านป้า ทราบหรือไม่ว่าแถบนี้มีคฤหาสน์สกุลหลี่…” หญิงสาวไม่ได้สังเกตสักนิดว่าระหว่างที่ตนถามหาคฤหาสน์สกุลหลี่อยู่นั้น ใครคนหนึ่งในฝูงชนกำลังจ้องมองนางด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย

เจียงเสี่ยวเซวียนไล่ถามไปเรื่อยๆ อยู่นาน ในที่สุดก็พบคนที่รู้จักคฤหาสน์สกุลหลี่ ทว่าคนผู้นั้นก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเป็นคฤหาสน์สกุลหลี่เดียวกับที่นางหาอยู่หรือไม่

แต่เพียงเท่านี้ก็จุดประกายความหวังได้อย่างดีเหลือเกินแล้วสำหรับนาง หญิงสาวรีบขอให้อีกฝ่ายเขียนที่อยู่ให้ คนผู้นั้นเห็นนางไม่รู้จักทาง ยังอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจวาดแผนที่มาให้ด้วย

“ขอบคุณท่านมากจริงๆ!” นางย่อตัวคำนับแช่มช้อย รู้สึกปลื้มใจที่ได้มาเจอคนดีๆ โดยไม่รู้เลยว่าตนเองเดินคล้อยหลังไปไม่ทันไร รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกฝ่าย

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แสงตะวันรอนลุกโชนจับขอบฟ้าเหมือนเปลวไฟ หญิงสาวมิได้รู้ตัวสักนิดว่าใครคนหนึ่งเดินตามหลังมาตลอดทาง

นางเดินตามแผนที่ไปเรื่อยๆ จนเข้าเขตชานเมือง

ยิ่งเดินผู้คนก็ยิ่งบางตาลงทุกที…

เจียงเสี่ยวเซวียนชักเริ่มเอะใจ นางเงยหน้าขึ้นมองร่มไม้แน่นขนัดในป่าอย่างลังเลว่าจะเดินต่อดีหรือไม่…

ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็กระโจนเข้ามาใช้มือปิดปากนางไว้

 

กลางป่าในเวลาเดียวกัน กู้ฉางเฟิงสะพายชะลอมไม้ไผ่เดินเก็บสมุนไพรคนเดียวอยู่ในป่า คอยมองตรงนั้น สูดดมตรงนี้ไปเรื่อย

“ขนาดน้ำแกงเข้าเครื่องยาบำรุงสิบอย่างยังว่าไม่ดีพอ ให้ข้ามาเก็บสมุนไพรเพิ่ม ในที่สุดฮูหยินก็เห็นค่าของกู้ฉางเฟิงคนนี้เสียที” หมอหนุ่มโคลงศีรษะ ใบหน้าสว่างไสวไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม

เอ๊ะ นี่มันหญ้ากระดูกเสือไม่ใช่หรือ กู้ฉางเฟิงวิ่งเข้าไปหาดอกไม้ตรงหน้าผาอย่างตื่นเต้น

ทันใดนั้นเสียงหวีดร้องก็ดังเข้าหู “ช่วยด้วย…”

หืม? ชายหนุ่มชะงักกึก

“ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย…”

เสียงร้องชัดเจนอย่างยิ่ง เหมือนจะดังออกมาจากป่าด้านนั้น

* ทั่นฮวา เป็นชื่อเรียกบัณฑิตอันดับที่สามของการสอบเข้ารับราชการในสมัยจีนโบราณ รองจากจ้วงหยวน (จอหงวน) และปั๋งเหยี่ยน ตามลำดับ

ใครบางคนประสบอันตรายหรือ กู้ฉางเฟิงสะดุ้งเฮือกในใจ มองดอกไม้ตาละห้อยด้วยความเสียดาย สุดท้ายก็ขยี้เท้า หมุนตัววิ่งไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

ใต้แสงอาทิตย์อัสดง เจียงเสี่ยวเซวียนถูกชายร่างใหญ่บึกบึนคนหนึ่งแบกเข้าไปในศาลาหลบฝนตรงริมทาง ตอนที่ถูกโยนลงบนพื้น ศีรษะยังถูกกระแทกดังโป๊ก เจ็บแสนเจ็บเสียจนนางแทบหมดสติ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาเป็นทาง

โดยไม่สนใจปฏิกิริยาของนาง ชายร่างใหญ่กระชากห่อสัมภาระของนางมารื้อค้นแล้วบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเจอแค่เหรียญสำริดพวงเดียว “เห็นเจ้าผิวพรรณผุดผ่องนวลเนียน ยังนึกว่าเป็นคุณหนูบ้านไหนหนีออกมาหาคนรัก ทำไมถึงมีเงินอยู่แค่นี้ได้”

หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่งแล้วกระถดถอยไปข้างหลังอย่างตระหนก ไม่กล้าส่งเสียงตอบ

“หึ! เงินแค่นี้มันพอยาไส้ข้าที่ไหนกันเล่า” ชายคนนั้นกวาดตามองนางหนึ่งตลบแล้วคลี่ยิ้มชั่วร้าย พร้อมเอื้อมมือหยาบกร้านออกมาหยิกแก้มนางเล่น “จุ๊ๆๆ มันนุ่มเนียนดีจริงๆ! ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะพาไปที่ดีๆ!”

เจียงเสี่ยวเซวียนยังเอาแต่ถอยกรูด จวบจนแผ่นหลังชนเสาถึงได้รู้ว่าไม่มีทางหนีอีกแล้ว นางหวีดร้องสุดเสียง “ใครก็ได้…ช่วยข้าด้วย…”

ไกลออกไป กู้ฉางเฟิงแบกชะลอมสมุนไพรเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ชะงักด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบปลดชะลอมออกมาวางไว้บนพื้น ควานมือลงไปค้นอะไรให้วุ่น

“ไม่ต้องกลัวๆ ข้าจะสอนให้เจ้าได้ลิ้มรสความสุขเอง อย่าร้องนะ…” ท่าทางหวาดกลัวของนางทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดู ชายร่างใหญ่มองแล้วกระโจนเข้าใส่ด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ

“ออกไปนะ! ออกไป!” เจียงเสี่ยวเซวียนปัดป่ายแขนขาเป็นพัลวัน ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้

ด้วยความที่ไม่ทันระวัง ชายร่างใหญ่จึงถูกนางข่วนหน้าจนเลือดซิบ

เขายกมือลูบรอยข่วน แต่แทนที่จะโกรธกลับหัวเราะ “ร้อนแรงดีนี่! ตอนแรกข้ายังรู้สึกประดักประเดิดเพราะฟ้ายังไม่มืด ไม่นึกว่าเจ้าจะเร่าร้อนได้ขนาดนี้!” พูดยังไม่ทันขาดคำก็เอื้อมมือออกไปกระชากสาบเสื้อนาง

“อ๊า…ช่วยด้วย…” เจียงเสี่ยวเซวียนร้องเสียงหลงพลางดิ้นสุดแรงเกิด

ชายร่างใหญ่กระโจนเข้าไปตรึงร่างนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้นางดิ้นได้อีก

กู้ฉางเฟิงประเมินจอบขุดสมุนไพรในมือ จากมุมที่ยืนตรงทางเข้าศาลา เขาเห็นหญิงสาวใต้ร่างชายฉกรรจ์ดิ้นขัดขืนสุดแรงเกิด เสียงฉีกเสื้อผ้าทำให้เขาร้อนใจดังไฟลน…

แต่เห็นแผ่นหลังบึกบึนของคนร้ายแล้ว เขาก็อดลังเลไม่ได้ มือที่ถือจอบขุดสมุนไพรไขว้ไปข้างหลัง ส่วนอีกมือยื่นออกมาตบบ่าชายฉกรรจ์เบาๆ พลางเรียกอย่างสุภาพ “พะ…พี่ชายกำยำ…พี่ชายกำยำท่านนี้”

ชายร่างใหญ่ที่กำลังง่วนอยู่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนมาจึงสะดุ้งเฮือกพร้อมหันมามอง ก็ได้เห็นบัณฑิตท่าทางเซ่อซ่ายืนอยู่ข้างหลัง

“ไม่ทราบว่าพี่ชายรู้จัก…” กู้ฉางเฟิงมองเจียงเสี่ยวเซวียนที่ผมและเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเวลานี้หมดสติไปแล้ว “แม่นางท่านนี้หรือไม่”

ชายร่างใหญ่กวาดตามองคนถาม เห็นอีกฝ่ายสูงโปร่งผอมบางก็แค่นเสียงหึขึ้นจมูกอย่างดูถูก แล้วหันไปจัดการกับเหยื่อต่อ “ไม่รู้จัก! ถ้าฉลาดก็ไสหัวไปไกลๆ อย่ามาขัดความสุขข้า!”

“เอ่อ…” กู้ฉางเฟิงยังคงพูดอย่างสุภาพนุ่มนวลตามเดิม “ในเมื่อไม่รู้จัก แถมตอนนี้ฟ้าก็ยังสว่าง เหตุใดท่านถึงได้กระทำเรื่อง…”

“ไสหัวไป!”

“บ้านเมืองมีขื่อมีแป ท่านทำเช่นนี้เท่ากับไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตานะ…”

“บอกให้ไสหัวไปก็ไสหัวไปสิวะ!” ชายร่างใหญ่หันขวับไปอย่างฉุนเฉียว แล้วเห็นตำตาว่าจอบขุดสมุนไพรด้ามหนึ่งกำลังแหวกลมลงมาดังฟิ้ว ทว่าหลบไม่ทัน เสียงป๊อกดังขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็หมดสติล้มลงไป

“เฮ้อ…” กู้ฉางเฟิงปาดเหงื่อตรงขมับ “ใช้ไม้นวมก่อนไม้แข็ง ข้าเตือนดีๆ แล้วก็ไม่ฟัง…ตัวเองเป็นชายอกสามศอก รังแกหญิงสาวตัวคนเดียวได้อย่างไร”

เขาบ่นงึมงำพลางก้มลงไปจับร่างหนักอึ้งของฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงไปอีกทางอย่างไม่เกรงใจ แล้วเผลอทำหัวชายฉกรรจ์กระแทกผนังศาลาดังปึ้ก

“ขออภัยๆ!” หมอหนุ่มขอโทษขอโพยก่อนจะพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เสียงหนักดังลั่นเลยทีเดียว ต่อให้ฟื้นขึ้นมาในอีกสองชั่วโมงให้หลังก็ต้องรู้สึกหนักหัวไปหลายวัน หรือไม่ก็อาจสูญเสียความทรงจำ เจ้าทำตัวเองนะ จะมาหาว่าข้าไม่ช่วยรักษาไม่ได้ล่ะ…”

กู้ฉางเฟิงพูดพร้อมหันไปมองหญิงผู้นั้นแล้วสะดุ้งโหยง รีบหลับตาหมุนตัวกลับมา เพราะเห็นเนินอกเปลือยของนางแบบไม่ทันตั้งตัว

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นทั้งสิ้น กู้ฉางเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลองเรียกอีกฝ่าย “แม่นาง? แม่นาง?”

สิ่งที่ตอบกลับมายังคงมีแต่ความเงียบเหมือนเก่า

หมอหนุ่มเค้นสมองครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวยาวที่สวมอยู่แล้วเดินถอยหลังไปหาหญิงสาวโดยไม่หันไปมอง เมื่อกะระยะดีแล้วก็รีบสะบัดเสื้อไปคลุมร่างนางไว้

ผ่านไปอีกสักพักถึงค่อยๆ เบือนหน้าไปมอง พอเห็นว่าร่างของนางถูกคลุมไว้อย่างมิดชิดก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วนั่งลงตรวจอาการ

หญิงผู้นี้หน้าผากมีรอยเลือด สองตาปิดสนิท ใบหน้าขาวซีด คะเนว่าตอนได้รับบาดเจ็บจะเสียขวัญอย่างหนัก ต้องรีบช่วยโดยเร็ว!

กู้ฉางเฟิงจับหญิงสาวแบกขึ้นหลังด้วยความมุ่งมั่น แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล ตอนที่ผ่านชะลอมสมุนไพรที่วางทิ้งไว้ข้างทาง เขาพยายามก้มลงหยิบหลายครั้ง แต่ก็ต้องจนใจที่บัณฑิตอย่างตนเรี่ยวแรงน้อย ลำพังแค่แบกคนเจ็บไว้บนหลังก็จะแย่อยู่แล้ว…

หมอหนุ่มจำต้องหักอกหักใจปล่อยชะลอมไม้ไผ่เอาไว้อย่างนั้น ตอนที่แบกหญิงสาวเดินจากไปยังไม่วายมองสมุนไพรที่อยู่ข้างในอย่างอาลัยอาวรณ์

กว่ากู้ฉางเฟิงจะยักแย่ยักยันกลับมาถึงคฤหาสน์สกุลจินได้ก็เป็นเวลาค่ำ เขาแบกหญิงสาวเข้าทางประตูข้างเดินไปยังเรือนตัวเอง วางนางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วเพิ่งจะมีเวลาได้พักหายใจหายคอเช็ดเหงื่อเอาตอนนี้

เขานั่งพักชั่วครู่ เหงื่อยังไม่ทันแห้งก็ลุกไปรื้อตู้หาผ้าพันแผลกับยาชนิดต่างๆ ออกมาให้วุ่น

ชายหนุ่มกลับไปที่เตียงอีกครั้งพร้อมตะเกียง แล้วพิจารณาบาดแผลของหญิงสาวโดยละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ ล้างและพันแผลบนศีรษะนางอย่างระมัดระวัง

กว่าจะทำแผลเสร็จก็พักใหญ่

กระนั้นกู้ฉางเฟิงก็ยังไม่อาจเบาใจได้เลย เขาเลื่อนสายตาลงไปข้างล่างช้าๆ พอเห็นเนินอกอิ่มก็กระแอมเบาๆ ด้วยความประหม่าแล้วบอกขึงขัง “แม่นาง ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้านอนสลบไม่ได้สติ แต่คนเป็นหมอน่ะ ไม่ว่าเจ้าจะได้สติหรือไม่ ข้าก็ควรอธิบายให้เจ้าฟังก่อนช่วยรักษาเจ้า ตามขนบธรรมเนียมที่ดี ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันจนเกินงาม แต่หมอมีใจเมตตาเหมือนพ่อแม่ ในสายตาข้าเจ้าเป็นเพียงคนไข้ ไม่ใช่สตรี ตอนนี้สถานการณ์คับขันไม่มีทางเลือก ข้าจำต้องถอดเสื้อผ้าเจ้าเพื่อทำแผล แน่นอน…เจ้าเป็นเพียงคนไข้คนหนึ่ง เป็นเพียงคนไข้คนหนึ่ง…”

เขาพึมพำด้วยใบหน้าแดงก่ำพลางหลับตาถอดเสื้อยับยุ่งของร่างบนเตียงออก แล้วใส่ยาให้นางอย่างกระมิดกระเมี้ยน พยายามเบนสายตาไปทางอื่นอย่างสุดความสามารถ

ทว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวดิ้นขัดขืนสุดชีวิต ชายร่างใหญ่คนนั้นก็ไม่คิดจะยั้งมือ บนร่างนางจึงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นปื้นๆ ดูน่ากลัวยิ่งนัก

กู้ฉางเฟิงเห็นแล้วเลือดหมอฉีดพล่าน สมาธิแน่วแน่กว่าเมื่อครู่ ไม่รู้สึกลำบากใจอีกต่อไป ตั้งอกตั้งใจทำแผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“เรียบร้อย…” เขาผูกปมเชือกเส้นสุดท้ายแล้วดึงผ้าห่มคลุมร่างคนเจ็บอย่างเบามือ จากนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภาคภูมิใจใน ‘ผลงาน’ ตัวเองอยู่คนเดียว แล้วเอ่ยชมทึ่งๆ “เจ้าเป็นคนไข้ที่ให้ความร่วมมือที่สุดของข้าเลยนะเนี่ย”

เวลานี้เจียงเสี่ยวเซวียนพอจะได้สติฟื้นคืนเล็กน้อย นางปรือตาสะลึมสะลือ ทว่ามองเห็นไม่ชัด รู้แต่เพียงว่าดูเหมือนตัวเองจะอยู่ในที่ที่ทั้งอบอุ่นและปลอดภัย

จากนั้นเงาคนรางเลือนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงตรงหน้า ในมือถือของบางอย่างลักษณะคล้ายชามดินเผา คนคนนั้นใช้ช้อนตักของที่อยู่ในชามมาจรดปากนาง

หญิงสาวคิดจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ แต่กลับควบคุมร่างกายไม่ได้ดังใจ จึงต้องรับของสิ่งนั้นเข้าไปในปาก…

ขม… ยาอย่างนั้นหรือ

ใบหน้าที่เห็นกระจ่างชัดขึ้นมาอีกนิด ดูเหมือนจะเป็นชาย…ท่าทางไม่เหมือนชายร่างใหญ่คนนั้น…

ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจถึงค่อยผ่อนคลายลงทีละน้อย รู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด นางดื่มยาอีกหลายอึกแล้วหลับตาลง จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา

 

วันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวเซวียนรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงจานชามกระเบื้องกระทบกันดังก๊อกแก๊ก นางลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเพดานมุ้งสีขาวบริสุทธิ์เป็นอันดับแรก เพดานมุ้งสะอาดสะอ้าน แต่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อธรรมดา ในคฤหาสน์สกุลเจียง คนที่จะใช้มุ้งแบบนี้มีแต่คนรับใช้เท่านั้น…

นางค่อยๆ เบนสายตากลับมามองเงาร่างพร่าเลือนตรงหน้าโต๊ะอย่างเลื่อนลอย หญิงในชุดเขียวกำลังเก็บกวาดอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนยาน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ทันรู้สึกตัวสักนิดว่าเจียงเสี่ยวเซวียนฟื้นขึ้นมาแล้ว

หญิงสาวขยับปากจะเรียกอีกฝ่าย แต่สาวใช้คนนั้นก็ยกถาดเดินลิ่วๆ จากไปเสียก่อน

“เฮ้อ…” นางถอนหายใจเบาๆ อย่างอ่อนใจแล้วกวาดตามองรอบห้องอีกครั้ง แม้ห้องจะเล็ก ข้าวของเครื่องใช้เรียบง่ายสมถะ ทว่าก็สะอาดสะอ้าน มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นสมุนไพรโชยมาป็นระยะ ชวนให้รู้สึกสงบผ่อนคลาย

หน้าผากเจ็บแปลบ นางพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมาได้ก็ให้สะดุ้งวาบ ยกมือขึ้นลูบแผลทันควัน จึงแตะถูกผ้าพันหนาเตอะ

มีใครช่วยข้าไว้อย่างนั้นหรือ เจียงเสี่ยวเซวียนพรูลมหายใจเหยียดยาว ก่อนจะผงะไปอย่างตกตื่นอีกครั้งเมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างเป็นชุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!

นางก้มหน้าลงสำรวจเสื้อผ้าที่สวมโดยละเอียด เมื่อพบว่าทั้งชั้นนอกและชั้นในล้วนถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ก็ให้พรั่นใจยิ่งนัก

ประตูห้องถูกผลักดังแอ๊ด กู้ฉางเฟิงยกชามดินเผาเดินเข้ามาข้างในพลางบ่นงึมงำกับตัวเอง “บอกให้ต้มสามครั้งก็ต้องต้มสามครั้งสิ สาวใช้พวกนี้ขี้เกียจเป็นที่หนึ่ง…” พูดยังไม่ทันจบก็สังเกตเห็นเจียงเสี่ยวเซวียนที่ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงเสียก่อน เขารีบเดินฉับๆ เข้าไปหาด้วยความยินดี “แม่นางฟื้นแล้วหรือ!”

แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหน้าซีดเผือด มองเขาด้วยความตื่นกลัวพร้อมตวาด “อย่าเข้ามานะ!”

“หา?” กู้ฉางเฟิงผงะ ก่อนจะเข้าใจอย่างรวดเร็ว จึงทอดเสียงนุ่มนวลปลอบโยนนาง “ถ้าข้าไม่เข้าไป เจ้าจะดื่มยาอย่างไรล่ะ” พูดจบก็วางยาลงบนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียงอย่างระมัดระวัง

เขากวาดตามองนางเล็กน้อยแล้วซักถาม “แม่นางรู้สึกอย่างไรบ้าง ยังมึนหัวอยู่หรือไม่ อื้อหือ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานเจ้าเสียเลือดไปแค่ไหน น่ากลัวมากเลย ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหมดสติไปตลอด ไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก…”

กู้ฉางเฟิงพูดพล่ามอยู่คนเดียว โดยไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวที่จิกขยุ้มผ้าห่มแน่นหน้าซีดลงเรื่อยๆ…

“ยังดีนะที่ข้าช่วยทำแผลให้เจ้าได้ทันเวลา…”

“ช้าก่อน!” เจียงเสี่ยวเซวียนแทรก “ท่านทำแผลให้ข้า?”

หมอหนุ่มพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”

“ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าด้วย?”

คนถูกถามยังพยักหน้ารับตามตรงเหมือนเดิม โดยไม่ทันเอะใจกับปฏิกิริยาที่แปลกไปของนาง “ก็ใช่น่ะสิ โธ่เอ๊ย แม่นาง เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นแผลบนตัวเจ้าน่ะ…”

‘เพียะ!’ มือเรียวงามข้างหนึ่งสะบัดลงบนใบหน้าเขา

“เดรัจฉาน!” เจียงเสี่ยวเซวียนทั้งโกรธทั้งอาย

เมื่อครู่นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ซีกหน้าของกู้ฉางเฟิงจึงปรากฏปื้นแดงชัดเจนห้านิ้วทันที เขายกมือกุมแก้ม นิ่วหน้าละห้อยแบบคนไร้ความผิด “แม่นาง เจ้าสลบไม่ได้สติ แต่ข้าสาบานได้ว่าจะทำอะไรก็บอกเจ้าก่อนแล้ว ตอนนั้นสถานการณ์คับขันมากจริงๆ…”

“เดรัจฉาน! เดรัจฉาน!” เจียงเสี่ยวเซวียนคว้าจอกชามยาตรงโต๊ะหัวเตียงมาเขวี้ยงใส่ชายหนุ่ม ใบหน้าเนืองนองไปด้วยน้ำตา

กู้ฉางเฟิงผู้น่าสงสารเปรอะยาไปทั้งตัว กระนั้นจิตวิญญาณของหมอก็ยังอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เขามองหญิงสาวด้วยความสงสาร

เขาไม่ยอมไป นางก็ยิ่งโมโห แล้วกระเสือกกระสนลุกลงจากเตียงมาตีเขา

หมอหนุ่มเอามือกุมหัวหลบเป็นพัลวัน “เจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนั้น ไม่ว่าแม่นางจะนึกโทษข้าหรือไม่ กู้ฉางเฟิงคนนี้เป็นหมอ ถึงอย่างไรก็เห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยไม่ได้! อีกอย่างข้าก็หลับตาตลอดด้วย!” พูดจบก็ยืดอกรอรับการทุบตีอย่างมีอุดมการณ์สูงส่ง

เจียงเสี่ยวเซวียนผงะไปเล็กน้อย นางค่อยๆ คิดทบทวนพลางลดมือลงแล้วถามอย่างคลางแคลงใจ “ท่านเป็นหมอ?”

กู้ฉางเฟิงเงยหน้าขึ้นตอบอย่างองอาจ “ข้าเป็นหมอรักษาทุกโรคประจำคฤหาสน์นี้!”

“ท่านหมายความว่าท่านแค่รักษาบาดแผลให้ข้า?”

“แน่นอน! จะให้ข้าเห็นคนเจ็บหนักแล้วไม่ช่วยได้อย่างไร”

ฟังมาถึงตรงนี้ เจียงเสี่ยวเซวียนก็ใจชื้นขึ้นมาก เพียงแต่บาดแผลบนหน้าผากเพิ่งเริ่มสมาน หลังใช้แรงไปกับความอลหม่านเมื่อครู่ นางก็ยกมือกุมหน้าผากถามว่า “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

คู่สนทนาทบทวนความทรงจำอย่างเอาจริงเอาจัง “เมื่อวานข้าออกไปเก็บสมุนไพรนอกเมือง เก็บไปได้ไม่น้อย เห็นว่าเริ่มเย็นแล้วจึงคิดจะกลับบ้าน ระหว่างทางผ่านศาลาริมทางแห่งหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของแม่นางเลยรีบวิ่งไปดู เห็นชายร่างใหญ่หน้าตาชั่วร้าย…”

ภาพสะเทือนขวัญผุดขึ้นในสมองอีกครั้ง เจียงเสี่ยวเซวียนร้องห้ามเขาด้วยใบหน้าขาวซีด “ไม่ต้องพูดแล้ว!”

“ข้าฟาดชายคนนั้นจนสลบ แล้วแบกเจ้ากลับมา…” กู้ฉางเฟิงเข้าใจหัวอกนาง จึงข้ามรายละเอียดไปหาตอนสุดท้ายแทน

หญิงสาวทบทวนความทรงจำอย่างยังไม่หายผวา จำได้แต่เพียงว่าหลังจากถูกชายร่างใหญ่ตรึงไว้กับพื้น นางดิ้นขัดขืนสุดชีวิต จากนั้นก็หมดสติไป…

หมอหนุ่มสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่าย เห็นสีหน้าดูดีขึ้นมากแล้วก็เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงนางเบาๆ อย่างลังเลพลางปลอบโยน “แม่นาง ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้วนะ ที่ตอนนี้เจ้าเจ็บระบมไปทั้งตัวก็เพราะแรงกระแทกและแรงเสียดสีจากเมื่อวานเท่านั้นเอง…”

ที่แท้ก็ไม่เป็นอะไร…เจียงเสี่ยวเซวียนตัวอ่อนยวบทันที น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย ทั้งเพราะยินดี ทั้งเพราะยังไม่หายเสียขวัญ

กู้ฉางเฟิงมือไม้แทบพันกัน ด้วยคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะร้องไห้ เขารีบประคองนางไว้ไม่ให้ล้มแล้วทอดเสียงปลอบ “นิ่งเสียๆ ไม่มีอะไรแล้วไม่ใช่หรือ ยังเจ็บแผลบนหน้าผากอยู่หรือว่าเจ็บตรงไหน ไม่เป็นไรแล้วนะ อีกเดี๋ยวข้าจะจัดยาแก้ปวดให้สองเทียบ…อ้อ คงห่วงเรื่องรอยแผลเป็นล่ะสิ วางใจได้เลย เดี๋ยวข้าจะปรุงยาอย่างสุดฝีมือให้เจ้าอีกเทียบ จะได้ไม่เหลือรอยแผล อย่าร้องไห้อีกเลยนะ…”

หมอคนนี้พูดมาก ทว่าความห่วงใยอันใสซื่อและตรงไปตรงมาของเขาก็เป็นเสมือนธารน้ำแร่อบอุ่นที่ไหลรินเข้ามาในดวงใจนาง

หญิงสาวกลั้นน้ำตาแล้วดันทุรังย่อตัวคำนับเขาจนได้ “ขอบคุณท่านหมอเทวดาที่ยื่นมือเข้าช่วย เพราะท่านมีคุณธรรมสูงส่งแท้ๆ ข้าจึงยังรักษาความผุดผ่องและชีวิตนี้ไว้ได้” เว้นช่วงไปเล็กน้อยก็ย่อตัวลงต่ำกว่าเดิม “เมื่อครู่ข้าสติเลอะเลือน แยกแยะถูกผิดไม่ได้ จึงล่วงเกินท่านหมอเทวดาไปมากมาย ขอท่านหมอเทวดาโปรดอย่าได้เก็บมาถือโทษเลยนะเจ้าคะ”

นางเรียกเขาว่าท่านหมอเทวดาทุกคำ กู้ฉางเฟิงทำหน้าเชื่อมั่นแกมเคลิบเคลิ้ม ความภาคภูมิใจล้นปรี่อยู่ในอก แล้วอดนึกอยากตอบแทนนางไม่ได้ เขาหัวเราะซื่อๆ “แม่นางโปรดอย่าได้เกรงใจ! ได้พบกับเจ้าถือเป็นบุญของข้าจริงๆ!”

หือ? ได้พบกับข้าถือเป็นบุญของเขา? เจียงเสี่ยวเซวียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาด นี่มันตรรกะอะไร พูดกลับกันหรือไม่

กู้ฉางเฟิงรีบอธิบาย “ข้าหมายความว่าได้เจอคนไข้ที่ให้ความร่วมมือด้วยดีอย่างเจ้า ถือเป็นบุญสูงสุดของหมออย่างข้าแล้ว…”

“หือ?” หญิงสาวยิ่งฉงนหนัก

“โธ่เอ๊ย…” หมอหนุ่มรู้สึกโมโหตัวเองนักที่พูดไม่เก่งพลางว่า “เอาเป็นว่าเจ้าทำใจให้สบาย แล้วพักฟื้นอยู่ที่นี่เถิด ไม่ต้องกังวลใจเรื่องใดทั้งนั้น มีข้าอยู่ทั้งคน!”

เขาทำท่าองอาจพึ่งพาได้ ทว่าในขณะเดียวกันก็ดูซื่อบื้ออย่างไรชอบกล เจียงเสี่ยวเซวียนอมยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ “ขอบคุณท่านหมอเทวดา”

ชายหนุ่มยกมือเกาศีรษะยิ้มเขินๆ “อย่าเรียกข้าเช่นนี้เลย…ข้ารับไม่ได้หรอก…ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่หมอเทวดา เจ้าเรียกข้าว่าฉางเฟิงก็พอ”

“หา?” นางเลิกคิ้ว

กู้ฉางเฟิงตอบด้วยความละอาย “ข้ายังเรียนไม่จบน่ะ”

อย่างนี้นี่เอง…เจียงเสี่ยวเซวียนยิ้มอย่างไม่ถือสา “ข้าชื่อเสวี่ยเอ๋อร์ ท่านช่วยข้าซึ่งเป็นคนแปลกหน้าโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง ซ้ำยังลำบากลำบนรักษาแผลให้ข้าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะฝีมือทางการแพทย์หรือจิตวิญญาณที่มี ท่านก็สมควรจะได้ชื่อว่าหมอที่ดีอยู่นั่นเอง”

กู้ฉางเฟิงดีใจเสียจนพูดไม่ออก ได้แต่ยกมือเกาแก้มเขินๆ สักพัก ก่อนจะคว้าชามยาพรวดพราดออกจากห้อง “แม่นางพักผ่อนให้มากๆ เถอะ ข้าจะออกไปต้มยาให้!”

หญิงสาวมองตาม ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี นางส่ายหน้ากับตัวเองก่อนจะเอนตัวลงนอนหงายบนเตียง เหม่อมองเพดานมุ้ง…

ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มดวงหนึ่งปรากฏรางๆ ขึ้นมาบนเพดาน

“พี่หลี่…ท่านอยู่ไหน…”

น้ำใสหยดหนึ่งไหลกลิ้งลงมาจากดวงเนตรงาม

สักหนึ่งชั่วยามให้หลัง กู้ฉางเฟิงก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมยาชามใหญ่

เจียงเสี่ยวเซวียนรีบลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นเขา

หมอหนุ่มเดินมาที่เตียงแล้วดึงหมอนนุ่มมาหนุนหลัง จัดท่าให้นางนั่งอย่างมั่นคง ถามไถ่อาการสองสามคำก็ใช้ช้อนตักยาในชามขึ้นมาเป่า จากนั้นก็ส่งไปจรดปากคนไข้ แต่พอเห็นนางมองมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนก็เข้าใจได้ทันที จึงส่งชามยาไปให้นางด้วยอาการประหม่าพร้อมกระแอมกลบเกลื่อน

หญิงสาวอมยิ้มรับชามมาเป่าเล็กน้อย ก่อนจะดื่มอึกเล็กๆ

กู้ฉางเฟิงรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งที่นางดื่มยาของตน เขายิ้มบอก “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ…ช้าหน่อย…”

ร่างบนเตียงดื่มยารวดเดียวหมดแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียด

ผู้เป็นหมอรับชามมาจากมือคนไข้ ก้นชามสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหลือยาเลยแม้แต่หยดเดียว ทำเอาเขาหน้าบานแฉ่ง “ดีมาก ดื่มจนหมดเลย”

เจียงเสี่ยวเซวียนพยักหน้ายิ้มๆ “อืม ดื่มหมดแล้ว”

“รู้สึกสบายตัวขึ้นมากเลยใช่หรือไม่” กู้ฉางเฟิงมองอีกฝ่าย ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งคาดหวัง

“อืม” หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ

“รู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอแล้วแผ่ไปทั่วร่างช้าๆ หรือไม่”

“อืม”

“รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในอุ่นสบายมากเลยหรือไม่”

แม้จะสะกิดใจแปลกๆ เจียงเสี่ยวเซวียนก็ยังพยักหน้ารับแต่โดยดี “อืม”

“โห! ดีที่สุดเลย!” กู้ฉางเฟิงร้องลั่นด้วยความดีใจ แล้วทะลึ่งตัวลุกพรวดจนหัวโขกโครงเตียงดังโป๊กเพราะไม่ทันระวัง เล่นเอาเจ็บจนต้องร้องโอดโอย

“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” หญิงสาวถามหน้าตาตื่น

อีกฝ่ายลูบหัวป้อยๆ ด้วยท่าทางสุดแสนซื่อบื้อ “ไม่เป็นไรๆ ข้าออกไปแป๊บเดียว เดี๋ยวจะกลับมา” พูดจบก็วิ่งแกมกระโดดไปทางประตู แล้วเกือบจะชนสาวใช้ที่เพิ่งเดินเข้ามาล้ม

สาวใช้คนนั้นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจพลางบอกคนบนเตียง “ข้าปะชุนเสื้อผ้าเจ้าแล้วเอาไปซักให้แล้ว วันนี้แดดดี คาดว่าตอนเย็นคงแห้งแล้วล่ะ”

“ขอบคุณแม่นางมาก” เจียงเสี่ยวเซวียนค้อมตัวให้น้อยๆ แล้วชี้ไปทางประตูด้วยความกังขาพลางถามเบาๆ “เขา…เป็นอะไรไปหรือ”

สาวใช้เหล่มองกู้ฉางเฟิงแสดงความดีใจด้วยการกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงลานหน้าเรือนเหมือนคนไม่เต็มเต็งแล้วตอบยิ้มๆ “หมอเทวดากู้กำลังดีใจมากน่ะ”

“ข้าก็แค่ดื่มยาของเขาเอง เขาดีใจถึงเพียงนี้เชียว…”

สาวใช้ขำพรืด “แม่นางไม่รู้อะไร เจ้าน่ะเป็นคนแรกที่ดื่มยาที่เขาปรุงจนหมดน่ะสิ”

“หา?” เจียงเสี่ยวเซวียนตกตะลึงจังงัง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: