บทที่หนึ่ง
ช่วงต้นฤดูหนาว ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง หมอกบางก็ปกคลุมไปทั่ว โลกดั่งทาย้อมด้วยสีขาวเทาช่างดูขมุกขมัว จืดจางเย็นชืดเป็นพิเศษ เดิมทีที่นี่เป็นเมืองเล็กที่ห่างไกลความเจริญอยู่แล้ว เมื่อบรรยากาศรอบด้านเป็นเช่นนี้จึงยิ่งทำให้ดูรกร้างเงียบเหงาเป็นเท่าทวี
“พี่ซุนเอ้อร์ พี่ซุนเอ้อร์!” ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดทหารถือโคมไฟเดินมาจากที่ไกล คิ้วเข้มตาโต ท่าทางทึ่มทื่อ ปากพ่นควันขาวก่อนร้องตะโกนไปยังป้อมทหารตรงปากประตูเมือง
ผ่านไปไม่นาน มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากป้อมทหารนั่น ทันทีที่เขามองเห็นชายหนุ่มที่ตะโกนเรียกตน ใบหน้าอูมนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาในทันใด “ข้าคิดว่าเป็นใครเสียอีก ที่แท้ก็เสี่ยวซูนั่นเอง มาเปลี่ยนเวรยามแต่เช้าเช่นนี้เชียวหรือ”
ชายหนุ่มยิ้มซื่อๆ “ใช่แล้ว พี่ซุนเอ้อร์ อยู่เวรมาทั้งคืนคงเหนื่อยแล้วกระมัง รีบกลับบ้านเถอะ พี่สะใภ้คงต้มน้ำร้อนรอพี่แล้ว”
ซุนเอ้อร์โบกๆ มือพลางกล่าว “เสี่ยวซู ในกลุ่มทหารเวรเจ้ากระตือรือร้นที่สุด แต่เจ้าดูตนเองสิ ในบ้านยังมีแม่แก่ๆ ต้องให้เจ้าดูแล เจ้าจะมาเช้าเช่นนี้ไปทำไม หนาวขนาดนี้ทั้งอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเปิดประตูเมือง”
ชายหนุ่มได้ยินซุนเอ้อร์กล่าวเช่นนั้นก็เพียงยิ้มบางพลางเดินไปถึงข้างป้อมทหาร วางโคมไฟในมือลงแล้วหันหน้ามาพูดกับซุนเอ้อร์ “พี่ซุนเอ้อร์ ข้าเอาเหล้ามานิดหน่อย พี่ลองชิมดูสิ อากาศเย็นเยือก ร่างกายจะได้อบอุ่นขึ้น”
“เจ้าเด็กน้อยรู้ใจข้าจริง เหล้าเป็นของดีนะ…”
ชายหนุ่มหยิบน้ำเต้าใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ซุนเอ้อร์ ซุนเอ้อร์รับมา พบว่าสุรานั้นยังอุ่นอยู่ก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ จึงรีบดื่มเข้าไปสองอึกแล้ววางน้ำเต้าลง ใบหน้านั้นขึ้นสีแดงเรื่อ “เหล้านี้ไม่เลวจริงๆ ไม่ได้ดื่มเหล้ารสดีเช่นนี้มาหลายวันแล้ว เจ้าไปเอามาจากที่ใดหรือ”
ชายหนุ่มเกาหัวอย่างขัดเขิน “หลายวันก่อนตอนแม่ทัพหลินเดินทางผ่านมา เขาโยนมาให้ข้า”
สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญที่สุดเมืองหนึ่งในแคว้นฉี่หลิง ซึ่งไม่ใช่เมืองอู่ข้าวอู่น้ำและไม่ใช่เมืองสำคัญทางการทหาร ปกตินอกจากขุนนางท้องถิ่นแล้ว แทบจะไม่มีขุนนางคนใดมาเยือนที่นี่เลย แต่แล้วเดือนก่อนมีขุนนางคนสำคัญของเมืองหลวงผู้เป็นขุนศึกนักรบแห่งแคว้นมาเยือน ซึ่งก็คือแม่ทัพหลินรุ่ยเอินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘กำแพงแห่งแคว้นฉี่หลิง’ การมาเยือนของแม่ทัพหลินทำให้เมืองเล็กคึกคักไปทั่ว แม้ว่าจะพักอยู่เพียงวันเดียวก็จากไป แต่ยังคงทิ้งหัวข้อสนทนาที่คุยกันได้ไม่มีวันจบให้กับราษฎรในเมืองนี้
“เป็นของแม่ทัพหลินเองหรือ” ซุนเอ้อร์มีท่าทางชื่นชมอย่างมาก “อายุพอๆ กับเจ้า แต่ได้เป็นแม่ทัพแล้ว ช่างเป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์จริงๆ”
“นั่นสิ นิสัยก็ดี ไม่ถือยศศักดิ์ ถือเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง”
ซุนเอ้อร์ดื่มสุราอีกหนึ่งอึกแล้วย่อตัวนั่งลงตรงหน้าป้อมทหาร ร่างกายอบอุ่นขึ้น พอพูดถึงแม่ทัพหลิน เขาก็มีเรื่องพูดยืดยาว “จะว่าไปแล้ว มันเป็นยุคของวีรบุรุษรุ่นเยาว์จริงๆ ตอนนี้คนที่กุมอำนาจสำคัญในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นอัครเสนาบดีโหลวเช่อที่กุมอำนาจปกครอง หรือแม่ทัพหลินรุ่ยเอินที่กุมอำนาจทหาร ก็ล้วนมีอายุพอกับเจ้าเลยเสี่ยวซู แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ปีที่แล้วก็เพิ่งทรงมีพระโอรสองค์ที่สอง ล้วนเป็นวีรบุรุษรุ่นเยาว์ทั้งนั้น”
“อัครเสนาบดีโหลวก็มีอายุน้อยขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าจำได้ว่าตอนเขารับตำแหน่งก็มีอายุพอสมควรแล้ว” เสี่ยวซูถามด้วยความสงสัย
“เจ้าไม่รู้หรือเสี่ยวซู อัครเสนาบดีโหลวเป็นอัครเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดในราชสำนัก ตอนเขาขึ้นเป็นอัครเสนาบดีอายุราวยี่สิบสองปีเท่านั้น ผ่านไปสี่ปี ตอนนี้ก็ราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด อายุเท่านี้ก็มีอำนาจเต็มมือแล้ว”