“อายุน้อยขนาดนี้เชียวหรือ…” เสี่ยวซูเอ่ยชื่นชมขึ้นมาบ้าง “คิดว่าคงเป็นคนหนุ่มที่สง่างามมีความสามารถ รวมทั้งสุขุมคัมภีรภาพคนหนึ่ง” เสี่ยวซูคิดถึงแม่ทัพหลินที่ตนเคยเห็น เขามีความสุภาพหล่อเหลา สง่างามเกินใคร เมื่อวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้ว อัครเสนาบดีโหลวก็คงเป็นคนมากความสามารถที่หาได้ยากเช่นเดียวกัน
ซุนเอ้อร์ได้ฟังคำพูดนี้แล้วกลับหัวเราะเสียงเย็น เมื่อเห็นเสี่ยวซูมองมาด้วยแววตาสงสัย เขาจึงดื่มสุราไปอีกหนึ่งอึกแล้วอธิบายอย่างช้าๆ “ได้ยินว่าอัครเสนาบดีโหลวเป็นเหมือนคนที่มาจากสวรรค์ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยใจคอของเขาแล้ว ช่างต่างกับแม่ทัพหลินลิบลับ เรื่องที่อัครเสนาบดีโหลวเล่นอำนาจ ทั้งยังใช้มือเดียวปิดฟ้า* ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดแค่วันสองวันนี้แล้ว”
“พี่ซุนเอ้อร์พูดเช่นนี้ หมายความว่าเขาเป็นขุนนางชั่วร้ายหรือ” ชายหนุ่มถาม
ซุนเอ้อร์ถอนหายใจยาวก่อนตอบ “ก็ไม่นับว่าเป็นขุนนางชั่วร้าย หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินว่าเขารังแกกดขี่ราษฎร หรือแย่งชิงสมบัติใคร พูดได้แค่ว่า…เป็นคนร้ายดีอย่างละครึ่งกระมัง”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างออกรสชาติ นอกประตูเมืองก็ปรากฏมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งทะยานมา ซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูต่างเงยหน้าขึ้นมอง เพียงพริบตารถม้าก็เข้ามาใกล้ประตูเมืองห่างออกไปเพียงสามสิบกว่าจั้ง** เท่านั้น ซุนเอ้อร์ลุกยืน แกว่งน้ำเต้าในมือไปมา มองดูรถม้าคันนั้นอย่างนึกสงสัย
ในเวลารุ่งสางประตูเมืองยังไม่เปิด ผู้ใดกันหนอรีบร้อนจะเข้าเมืองเช่นนี้
รถม้าคันนั้นมีขนาดใหญ่กว่ารถม้าทั่วไปเล็กน้อย รูปแบบธรรมดา ไม่หรูหราอะไร แต่ซุนเอ้อร์มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนในรถม้านั้นต้องมิใช่ธรรมดาแน่นอน แม้รถม้าจะดูเหมือนปกติทั่วไป แต่การใช้ม้าสองตัวลากรถนั้นพบเห็นได้น้อย ส่วนเจ้าม้าก็มีสีขาวทั้งตัว สูงใหญ่บึกบึนสง่างาม ยิ่งไปกว่านั้นม้าทั้งสองตัวยังมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แม้กระทั่งก้าวย่างในการวิ่งก็มีความเร็วระดับเดียวกัน รถม้าเคลื่อนตัวอย่างมั่นคงอยู่บนทางขรุขระราวกับวิ่งอยู่บนพื้นราบ ความเร็วก็เร็วกว่ารถม้าทั่วไปมากนัก
เพียงพริบตารถม้าก็เคลื่อนมาถึงตรงหน้าคนทั้งสอง คนบังคับม้าเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคน พอเขาดึงเชือกบังคับ ม้าทั้งสองตัวก็หยุดวิ่งพร้อมกันเหมือนถูกฝึกมาอย่างดี น่าดูชมอย่างมาก ซุนเอ้อร์มั่นใจในความคิดของตนเองยิ่งขึ้นจึงไม่กล้าชักช้า รีบเดินเข้าไปสอบถาม “ขอถามพี่ชายคนบังคับม้า ตอนนี้ประตูเมืองยังไม่เปิด จะรีบร้อนเข้าเมืองแต่เช้าหรือ” ซุนเอ้อร์พูดพลางเงยหน้าขึ้น เห็นหน้าคนบังคับม้าแล้วก็ตะลึงไป บนใบหน้าของอีกฝ่ายมีแผลเป็นรอยดาบยาวจากหางตาไปถึงมุมปาก ทำให้เขาดูดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก
ชายฉกรรจ์เห็นท่าทางตื่นตกใจของซุนเอ้อร์แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่กลับฉีกยิ้มให้แล้วพูดกับซุนเอ้อร์ด้วยเสียงอ่อนโยน “นายท่าน พวกเราอยากจะขอเข้าเมืองก่อน ไม่รู้ว่าพอจะเปิดทางสะดวกให้ได้หรือไม่”
เมื่อบนใบหน้าชายฉกรรจ์ปรากฏรอยยิ้ม กลับมิได้ช่วยให้ซุนเอ้อร์คลายความตื่นตกใจ แต่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงดึงสติกลับมาได้ “เรื่องนี้…เกรงว่าคงไม่ได้ ไม่มีป้ายคำสั่งจากผู้เป็นนาย พวกเราจะปล่อยคนเข้าเมืองก่อนเวลาเองไม่ได้”
ชายฉกรรจ์แสดงสีหน้าลำบากใจ มือใหญ่ยกขึ้นเกาท้ายทอย “นายท่าน พวกเราไม่มีป้ายคำสั่ง แต่พวกเราไม่ใช่โจรผู้ร้ายแน่นอน ขอให้อำนวยความสะดวกแก่พวกเราด้วยเถิด”
ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว เสี่ยวซูก็เดินเข้าไปพูดกับชายฉกรรจ์ว่า “พี่ชายท่านนี้ ท่านอย่าทำให้พี่ซุนเอ้อร์ลำบากใจเลย พวกเราเป็นเพียงทหารเฝ้าประตู ปล่อยคนเข้าไปโดยไม่มีคำสั่งจากผู้เป็นนาย จะต้องรับผิดชอบอย่างหนัก”
* ใช้มือเดียวปิดฟ้า เป็นสำนวน หมายถึงอาศัยอำนาจปิดหูปิดตาผู้คนไม่ให้รับรู้ความจริง
** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร