ชายฉกรรจ์ได้ฟังเสี่ยวซูพูดเช่นนี้ก็ตะลึงไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปดี
ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ก็มีเสียงหญิงสาวที่น่าฟังดังลอดออกมาจากในรถม้า “โหลวเซิ่ง”
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกเรียกว่า ‘โหลวเซิ่ง’ ลงจากรถอย่างนอบน้อมในทันที แล้วยื่นมือไปเลิกม่านรถม้าที่หนาหนักนั้นขึ้นด้วยกิริยาดูระมัดระวังยิ่ง
ซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูอดใจไม่ไหวต้องมองเข้าไปในรถม้าคันนั้นพร้อมกัน
ภายในตัวรถกว้างขวางยิ่ง มีหญิงสาวในชุดสีขาวกึ่งเอนพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่ง ผมยาวราวแพรไหมกว่าครึ่งถูกผูกขึ้นด้วยแถบผ้าไหมสีเงิน ที่เหลือสยายลงปรกลาดไหล่ เสี่ยวซูได้เล่าเรียนมาไม่กี่ปี แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในรถม้าแล้ว ‘งามล้ำเลิศหล้า’ สี่คำนี้กลับผุดขึ้นมาในสมองของเขา
เขาไม่เคยเห็นหญิงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน สามส่วนดูสวยสง่า สามส่วนดูหมดจดงดงาม สามส่วนดูสูงศักดิ์ และอีกหนึ่งส่วนสามารถดูดวิญญาณผู้พบเห็นได้
หญิงสาวในรถเห็นท่าทางตกตะลึงของซุนเอ้อร์และเสี่ยวซูก็ฉีกยิ้มบางๆ “พี่ชายทั้งสอง พวกเราไม่ใช่คนเลวจริงๆ ที่วันนี้รีบร้อนเข้าเมืองเพราะจะรีบไปตามญาติที่กำลังจะออกนอกด่าน ขอให้พี่ชายช่วยอำนวยความสะดวกด้วยเถิด” พูดจบนางก็ยื่นมืองามข้างหนึ่งออกมา บนมือนั้นมีแท่งทอง* หนักห้าตำลึงวางอยู่
สาวงามฉีกยิ้ม ราวกับหิมะเริ่มหลอมละลาย ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิกำลังผลิบาน เสี่ยวซู่มองไปยังแท่งทองบนฝ่ามืออีกฝ่าย สมองราวกับถูกสายฟ้าฟาด ไอร้อนทะลักขึ้นมา ใบหน้าพลันแดงก่ำ “พะ…พวกเราไม่ได้ต้องการเงิน ถ้าพวกท่านมีเรื่องเร่งด่วนจริง เช่นนั้นก็ไปเถอะ พวกเราไม่ได้ต้องการข่มขู่เพื่อเอาเงินทอง…” เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกคนงามราวนางฟ้าผู้นี้ดูหมิ่น เสี่ยวซูจึงรู้สึกอายจนเริ่มโมโหขึ้นมา
ซุนเอ้อร์อ้าปาก เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยมันออกมา
หญิงผู้นั้นแสดงอาการประหลาดใจ จากนั้นก็รีบเก็บเงินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจพี่ชายทั้งสองผิดไป ได้โปรดให้อภัยด้วย”
ประตูเมืองค่อยๆ เปิดออกกว้าง รถม้าคันหนึ่งวิ่งทะยานไป ก่อนจะหายลับไปตรงมุมถนนภายในพริบตา
ซุนเอ้อร์มองดูทางที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน แล้วหันมาพูดกับเสี่ยวซูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ “เมืองของพวกเราคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
เสี่ยวซูสีหน้างุนงง “เหตุใดพี่ซุนเอ้อร์จึงพูดเช่นนี้”
“คนหนุ่มเช่นเจ้าผ่านโลกมาน้อยนัก…” ซุนเอ้อร์ยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาแล้วดื่มไปอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยคำที่เหมือนจะพูดกับเสี่ยวซู แต่ก็เหมือนพูดกับตนเอง “นั่นเป็นเสื้อที่ทำจากขนเตียวหิมะ* เชียวนะ โลกนี้จะมีสักกี่คนที่สวมใส่ได้…”
เสี่ยวซูฟังไม่ชัดเจน จึงถามต่อไปว่า “พี่ซุนเอ้อร์ พี่ว่าอะไรนะ”
ซุนเอ้อร์หันหน้ามาก่อนกล่าว “ข้าว่าแผ่นดินนี้ถึงคราเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว”
รถม้าทะยานไปตามเส้นทางแคบเล็ก ทว่ายังคงวิ่งไปด้วยความรวดเร็วและมั่นคง
ชายฉกรรจ์ที่บังคับม้าเห็นว่าปลอดคน จึงพูดกับคนในรถขึ้นทันใด “ฮูหยิน เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่เอาป้ายคำสั่งของแม่ทัพหลินออกมาล่ะขอรับ
* สมัยโบราณชาวจีนนำเงินขาวและทองคำมาหล่อเป็นแท่ง มูลค่าแตกต่างตามขนาดซึ่งจะระบุไว้บนแท่งว่าหนักเท่าไร
* เตียว เป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิ้ล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมีเสียงพูดลอดออกมาจากด้านในรถม้า “ที่นี่ถึงแม้จะเป็นที่ห่างไกลความเจริญ แต่ก็เป็นเขตอำนาจของราชสำนัก ถ้าเปิดเผยฐานะไป ด้วยอำนาจของเขา เกรงว่าพวกเราคงยากจะออกจากด่านได้”
ชายฉกรรจ์ฟังออกถึงความจนใจในน้ำเสียงของหญิงสาวในรถม้า จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “พูดไปก็แปลก ตลอดทางมานี้ มีที่ใดบ้างที่ไม่ยื่นมือขอเงิน แต่ทหารสองคนเมื่อครู่กลับไม่ต้องการ ช่างน่าแปลกจริงๆ”
“ไม่แปลกหรอก ยิ่งเป็นสถานที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ คนจะยิ่งมีความสัตย์ซื่อ เมื่อไม่มีความหรูหราจอมปลอมเคลือบไว้ ก็จะพบความจริงแท้ได้” เสียงของหญิงสาวค่อยๆ เบาลง จนสุดท้ายก็เงียบไป
ชายฉกรรจ์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บนถนนที่เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงล้อรถและฝีเท้าม้าเท่านั้น
ผู้คนในเมืองเล็กคงคิดไม่ถึงว่าเสียงฝีเท้าม้านี้เองที่นำพวกเขาไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้เช่นนี้
‘ครานั้นเป็นรัชศกเทียนไจ่ปีที่สี่ ภรรยาโหลวเช่ออัครเสนาบดีคนปัจจุบันหนีออกจากเมืองหลวงตอนต้นฤดูหนาว ไปถึงด่านชายแดนอันเป็นจุดกำเนิดแห่งสงครามอวี้ตู’
คนรุ่นหลังขนานนามการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า ‘กลียุคหญิงงาม’