“ฉลาดมาก” เยียลี่ฉีกยิ้มเช่นกัน “เจ้าไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ”
กุยหวั่นแค่นเสียงสบถ เลิกอาเจียน นางลุกยืนแล้วมองไปยังเยียลี่ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าอยู่ในเมืองหลวงพลิกฝ่ามือเป็นเมฆ คว่ำฝ่ามือเป็นฝน เจ้าคิดว่าข้าจะหาคนถอนพิษให้ไม่ได้หรือ”
“ถึงเจ้าจะพลิกเมืองหลวงหา ก็หายาถอนพิษไม่ได้หรอก” เห็นกุยหวั่นขยับปาก เขาจึงชิงพูดก่อนหน้านาง “รอจนเจ้าหาชาวเผ่าหนู่ที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้ พิษคงออกฤทธิ์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นใช่ว่าชาวเผ่าหนู่ทุกคนจะรู้วิธีถอนพิษหนอนกู่”
กุยหวั่นรู้ว่าคำพูดของเขาไม่เท็จจึงนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าให้ข้ากินเมื่อครู่เป็นยาพิษหนอนกู่ ไม่ใช่ยาบำรุงร่างกาย?”
ชายคนนั้นนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็ยื่นมือ ใช้แรงทั้งหมดที่มีหยิบขลุ่ยสั้นสีเงินขนาดสองชุ่นออกมาจากถุงลับข้างเอว แตะไปที่ริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ
ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย กุยหวั่นกำลังนึกสงสัย ความเจ็บปวดทะลวงใจก็กระจายตัวมาจากกระเพาะ ลามไปจนถึงหัวใจ ปวดจนนางแทบจะหมดสติ กุยหวั่นกึ่งลุกกึ่งนั่ง พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป มือกุมไปตรงบริเวณหัวใจ รอให้ความเจ็บปวดผ่านไปอย่างทรมานยิ่ง
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา* ความเจ็บปวดค่อยๆ ทุเลาลง หลังจากความเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้ง กุยหวั่นจึงลุกยืนอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าซีดขาว นางรู้สึกโมโหจึงถลึงตาจ้องไปยังชายชนเผ่าหนู่ผู้นั้น กลับเห็นเขานอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น…
คงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ
นางรู้สึกตกใจจึงขยับเข้าใกล้เล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายมีลมหายใจแผ่วเบามาก แต่ยังไม่ตาย
กุยหวั่นในใจรู้สึกแค้นเคืองยิ่ง ดวงตาจ้องมองไปที่ชายเผ่าหนู่ผู้นั้น ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางลังเลใจว่าจะช่วยเขาหรือไม่ ถ้าไม่ช่วย นางก็ต้องรีบกลับไปหาสามี ให้คิดวิธีหาตัวชาวเผ่าหนู่ที่สามารถถอนพิษได้ แต่หากทำเช่นนี้ก็คงต้องเกิดความบาดหมางกับชาวเผ่าหนู่อีกครั้ง สงครามเพิ่งจะยุติ ย้อนนึกถึงภาพความยินดีของชาวเมืองบนถนนเมื่อครู่ กุยหวั่นก็ทนใจร้ายเช่นนั้นไม่ได้
อีกวิธีหนึ่งก็คือช่วยเขา อย่างไรเสียชีวิตของอีกฝ่ายก็อยู่ในมือของนาง ไม่กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจคืนคำ ด้วยประสบการณ์ของนาง คนก่อนจะหมดสติไป คำที่พูดคงจะเป็นความจริง แต่จะพูดไปแล้ว ให้นางช่วยเขา ศักดิ์ศรีของนางก็เสียไปบ้าง อย่างไรเสียก็ขึ้นชื่อว่าถูกคนควบคุม
คิดอยู่สักครู่กุยหวั่นก็กัดฟันแน่น ตัดสินใจจะช่วยชีวิตชาวเผ่าหนู่ผู้นี้
ต้องเลือกสิ่งที่มีผลร้ายน้อยที่สุด ในสองวิธีนี้จะดูอย่างไรวิธีที่สองก็ง่ายกว่า แต่นางอวี๋กุยหวั่นไม่ใช่คนมีเมตตาที่รังแกได้ ไม่เคยคิดว่าจะให้อภัยคนที่ทำร้ายตนเอง ดังนั้น…ความอัปยศในวันนี้นางจะคืนให้แก่คนเผ่าหนู่ผู้นี้อย่างแน่นอน!
หลังจากคิดอย่างชัดเจนแล้ว กุยหวั่นก็มองหน้าคนเผ่าหนู่ที่หมดสติด้วยสีหน้าเย็นชา เสียงใสกังวานอยู่ภายในตรอก เหมือนจะพูดให้ตนเองฟังและเหมือนพูดให้คนที่หมดสติฟังเช่นกัน “เจ้าต้องเสียใจที่ให้ข้าช่วยเจ้า และเจ้าเองก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลวงแน่นอน”
พูดจบนางก็ครุ่นคิดอย่างใจเย็นว่าจะช่วยอย่างไร ด้วยกำลังของนางคนเดียวไม่สามารถทำได้ เห็นทีคงต้องใช้ฐานะของตนเองแล้ว
กุยหวั่นเดินย้อนไปถึงปากตรอก นางมองไปโดยรอบ ก่อนเหลือบเห็นว่าปากตรอกมีทหารนายหนึ่งเดินมา ดูการแต่งกายแล้วคงเป็นทหารลาดตระเวน มีทางช่วยแล้ว กุยหวั่นยกมือกวักเรียกอีกฝ่ายเข้ามาหาตนทันที
นายทหารผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วรีบเดินเข้ามาใกล้ นึกอยากจะสั่งสอนชายหนุ่มอวดดีผู้นี้สักนิด ใครให้เขาใจกล้ามาออกคำสั่งกับทหารเช่นนี้กัน
ทันทีที่นายทหารผู้นั้นอ้าปากกำลังจะเอ่ยวาจา ป้ายคำสั่งสีทองอร่ามอันหนึ่งก็แกว่งไกวอยู่ตรงหน้าเขา บนป้ายนั้นเขียนอักษร ‘โหลว’ เอาไว้ นายทหารเห็นดังนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อน คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพโดยเร็ว
กุยหวั่นยิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเพียงมีสองเรื่องอยากให้เจ้าไปทำ…”
* หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเปรียบ หมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าเทียบได้กับเวลาประมาณ 10 – 15 นาที