กุยหวั่นเห็นเยียลี่พยักหน้าเห็นด้วยจึงพูดต่ออีก “ตอนนี้ข้าช่วยพี่ชายแล้ว พี่ชายควรจะให้ยาถอนพิษหนอนกู่แก่ข้าได้แล้วกระมัง” รอมาสามวันเต็ม ความอดทนของนางใกล้จะหมดเต็มที
เยียลี่มองหน้ากุยหวั่นอย่างลำบากใจแล้วพูดขึ้นช้าๆ “ข้าให้ยาถอนพิษแก่เจ้าไม่ได้”
บรรยากาศเย็นเยือกลงทันใด สองคนมองหน้ากันไปมา ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
สิ่งที่เยียลี่คิด…จะให้ยาถอนพิษแก่เขาไม่ได้ เขาไม่ได้อ่อนแอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อได้ยาถอนพิษ เขาก็จะไม่ช่วยข้าอีก ข้าอยากจะไปจากเมืองหลวง ยังต้องการความช่วยเหลือจากเขา ขอเพียงสามารถไปจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ภายหลังค่อยตอบแทนบุญคุณเขา
ด้านกุยหวั่นคิดว่า…เขาไม่ยอมให้ยาถอนพิษ คงอยากให้ข้าช่วยเขาออกไปจากเมืองหลวง ได้คืบจะเอาศอกเสียจริง เช่นนั้นข้าจะยอมทนไปชั่วคราว รอให้ได้ยาถอนพิษเถอะ เขาอย่าหวังเลยว่าจะรอดชีวิตกลับไป
ทั้งสองคิดไปต่างกัน เยียลี่นั้นพูดอย่างจริงใจว่า “น้องอวี๋ ขอเพียงข้าไปจากเมืองหลวงได้ ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่เจ้าแน่นอน เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงไม่เป่าขลุ่ยกู่ตี๋ แม้ยาพิษหนอนกู่จะอยู่ในร่างกายเจ้า แต่จะไม่ออกฤทธิ์ไปชั่วชีวิต”
กุยหวั่นไม่ได้โกรธ ยังคงมีรอยยิ้มสดใส “พี่เยียลี่ก็จงวางใจ ข้าจะคิดหาวิธีส่งพี่ออกจากเมืองไปอย่างปลอดภัย”
ทั้งสองมองตากันแล้วยิ้ม ทำเช่นนี้ถือเป็นอันตกลง
สิ่งที่กุยหวั่นกังวลใจถูกขจัดไปชั่วคราว ในชั่วพริบตานี้หินก้อนใหญ่ในใจได้ถูกวางลงแล้ว ทั้งสองอยู่ในห้องนอน เรียกกันเป็นพี่น้อง พูดคุยสัพเพเหระก็รู้สึกเพลิดเพลินดี โดยเฉพาะตอนที่เยียลี่เล่าถึงทิวทัศน์และผู้คนแถวนอกชายแดนให้ฟังไม่น้อย ทำให้กุยหวั่นได้รับความรู้ใหม่ๆ อย่างมาก
ทันใดนั้นเหมือนกุยหวั่นจะนึกอะไรขึ้นมาจึงอดสงสัยไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “พี่เยียลี่ สั่วเก๋อถ่านี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่”
เยียลี่กำลังคิดจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นก็เห็นรอยยิ้มสดใสของกุยหวั่น ภาพการได้พบกันในตรอกคืนวันนั้นย้อนกลับมาในสมองอีกครั้ง เขาเห็นชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าผู้นี้เป็นราวกับเทพเซียน จึงไร้คำพูดไปทันใด ตอบอะไรไม่ออก
กุยหวั่นเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงคิดไปว่าตนทำผิดข้อห้ามอะไรของชาวเผ่าหนู่หรือไม่ “เรื่องเมื่อครู่ขอพี่ชายอภัยด้วย ข้าอายุน้อยไม่รู้ความ บังอาจใช้ชื่อของชาวเผ่าหนู่”
คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ เยียลี่ก็โบกๆ มือ “ไม่เป็นไรๆ” สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ดูเคร่งขรึม กุยหวั่นเห็นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เงียบไปอีกพักใหญ่ เยียลี่จึงแสดงท่าทางลำบากใจออกมา กุยหวั่นลอบประหลาดใจ แต่ก็ได้ยินเยียลี่เอ่ยปากพูดว่า “อันที่จริง…เจ้าก็เหมาะกับชื่อนี้” พูดจบสีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ราวกับรู้สึกแย่มากที่ตนเองพูดคำเช่นนี้ออกมา
ได้ยินดังนั้นกุยหวั่นก็รู้สึกงุนงงขึ้นมา กำลังคิดจะถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจก็ดังขึ้นตัดบทสนทนาของพวกเขาสองคน
กุยหวั่นมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่งสายตาไปทางเยียลี่แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่ใต้เตียง เยียลี่รู้ความหมาย รีบลุกนั่งที่ขอบเตียงทันที จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้เตียง
กุยหวั่นเห็นเขาซ่อนตัวดีแล้วจึงปัดผ้าปูเตียงให้เรียบ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูแล้วเปิดออก
พอประตูเปิด กุยหวั่นก็ประสานสายตาเข้ากับดวงตาสวยงามคู่หนึ่ง ชั่วอึดใจนั้นคนทั้งในและนอกประตูล้วนพากันตกใจ ท่าทางเย็นชาและดวงตาที่งดงาม คนนอกประตูก็คือชายหนุ่มรูปงามที่ช่วยจ่ายเงินในหอสุราแทนนางเมื่อสามวันก่อน ได้พบหน้ากันอีกครั้งกลับมีทหารหลายนายยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มด้วย
ในช่วงที่กุยหวั่นตะลึงงันอยู่นี้ก็มีทหารอีกสองนายวิ่งมา คำนับชายหนุ่มเย็นชาที่อยู่ตรงปากประตูอย่างแข็งแรงแล้วพูดพร้อมกันว่า “ท่านแม่ทัพ โถงด้านหน้าไม่เจออะไรขอรับ”