เถ้าแก่เจ้าของหอสุราแอบดีดรางลูกคิดอยู่เงียบๆ ในใจ พ่อครัวชั้นยอดแม้จะหาตัวไม่ยาก แต่ใช่จะเชื้อเชิญกันได้โดยง่าย หากพลาดหลุดมือไป ต่อให้นึกเสียใจสักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็เฝ้าครุ่นคิดหาทางเข้าไปเทียบชั้นกับหอสุราอี้ผิ่นจวีที่อยู่ในตัวเมืองฉางอันอยู่ตลอด สตรีนางนี้ดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้เขา
“ตกลง! อาหารสองจานนี้ที่แม่นางเลือกมาล้วนสามารถทดสอบฝีมือได้ทั้งสิ้น ‘โจวกงคายอาหาร’ แม้วัตถุดิบจะธรรมดา แต่ก็เหมาะกับการทดสอบฝีมือปรุงรสว่าจะสามารถดึงจุดเด่นออกจากวัตถุดิบธรรมดาๆ ได้หรือไม่ ส่วนฉางเอ๋อเหินจันทร์ก็เหมาะที่จะทดสอบฝีมือใช้มีดและการจัดวาง อาหารจานนี้จะได้ชื่อว่าฉางเอ๋อเหินจันทร์หรือผัดปลาไหล ทั้งหมดต้องดูฝีมือการใช้มีดของผู้เป็นพ่อครัวแล้ว”
อวิ๋นเกอยิ้มสดใสให้กับเมิ่งเจวี๋ย “ลูกค้าคนแรกของข้าคงไม่แคล้วต้องเป็นคุณชายเมิ่ง ขอบคุณยิ่งที่ให้เกียรติ!” นางลุกขึ้นยืน เดินตามพ่อครัวเข้าไปยังโถงด้านใน
ช่วงเวลาหนึ่งข้าวสุก ถึงอาหารยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นหอมยวนใจของมันกลับมาถึงก่อน ผู้คนทั้งหอสุราต่างพากันสูดจมูกชะเง้อคอมองไปยังโถงด้านใน
‘โจวกงคายอาหาร’ ไม่ได้จัดวางลงบนเครื่องกระเบื้องทั่วไป แต่กลับใส่อยู่ในลูกฟักขนาดพอเหมาะที่ถูกคว้านเอาเนื้อในออก เสี่ยวเอ้อร์จงใจค่อยๆ ย่างเท้าเดินทีละก้าวๆ
ผิวด้านนอกของลูกฟักถูกสลักเป็นรูป ‘โจวกงคายอาหาร โลกจึงบังคม’* โดยมีเปลือกสีเขียวเป็นพื้น เนื้อสีขาวเป็นภาพ สีเขียวขาวขับเน้นซึ่งกันและกัน งดงามราวกับงานศิลป์ มิใช่อาหาร
อาหารเคลื่อนผ่าน กลิ่นหอมกำจาย ผู้คนเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย
เสี่ยวเอ้อร์อีกคนประคองถือจานหยกขาว เนื้อปลาไหลที่จัดวางอยู่ด้านบนดูราวแขนเสื้อกว้างของสตรี แต่หากมองจากด้านข้างจะพบว่ามันดูคล้ายลายพลิ้วของแขนเสื้อที่กำลังสะบัดไหว อ่อนช้อยอรชร ยากเกินบรรยาย
“โจวกงคายอาหาร”
“ฉางเอ๋อเหินจันทร์”
ทันทีที่เสี่ยวเอ้อร์ประกาศชื่ออาหารเสร็จก็มีคนตะโกนร้องต้องการสั่งอาหารทั้งสองจานขึ้นมาทันที
เถ้าแก่เจ้าของหอสุรายิ้มหน้าบาน “พ่อครัวใหญ่ที่หอสุราเรารับมาใหม่ ในหนึ่งวันจะทำอาหารให้แขกเพียงท่านเดียวเท่านั้น วันนี้จำนวนคนครบถ้วนตามกำหนดแล้ว หากท่านใดต้องการลองลิ้ม พรุ่งนี้ก็ขอได้โปรดมาแต่เช้า!”
อวิ๋นเกอหัวเราะคิกคักนั่งลงฝั่งตรงข้ามเมิ่งเจวี๋ย เมิ่งเจวี๋ยรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง “ยินดีด้วย!”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
อวิ๋นเกอกะพริบตาปริบๆ มองดูเมิ่งเจวี๋ย เขาชิมลูกชิ้นที่บรรจุอยู่ในฟักแกะสลักก่อนคำหนึ่ง ก่อนจะคีบเนื้อปลาไหลขึ้นมาเคี้ยวช้าๆ “อืม เยี่ยม นับว่าอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา หนำซ้ำยังเป็นตุ๋นลูกชิ้นและผัดปลาไหลที่งดงามที่สุดอีกด้วย”
เสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลังของอวิ๋นเกอ คิดว่าคงเป็นสวี่ผิงจวินที่ได้ยินคำพูดของเมิ่งเจวี๋ยว่า ‘เป็นตุ๋นลูกชิ้นและผัดปลาไหลที่งดงามที่สุด’ ซึ่งก็ตรงกับใจนางพอดี นางจึงอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
อวิ๋นเกอเอียงคอมองสวี่ผิงจวิน สวี่ผิงจวินเลิกคิ้ว นัยน์ตาฉายแววท้าทายอยู่หลายส่วน แต่อวิ๋นเกอกลับทำเพียงส่งยิ้มจางๆ ให้นาง ครั้นหันกลับมาเห็นตะเกียบของเมิ่งเจวี๋ยกำลังคีบลูกชิ้นอยู่ อวิ๋นเกอก็พลันยิ้มกว้าง
* ‘โจวกงคายอาหาร โลกจึงบังคม’ เป็นความในวรรคสุดท้ายของบทกวีต่วนเกอสิงของโจโฉ เป็นเรื่องของโจวกงที่เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมือง และมีความนอบน้อมต่อผู้อื่น ไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ถือตนว่าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หากมีแขกมาพบในเวลากินข้าว โจวกงจะคายข้าว แล้วออกไปพบแขกก่อน สมควรได้รับการเคารพยกย่องจากทั่วหล้า
สวี่ผิงจวินตะลึง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยถากถางเบาแผ่วลง นางยกไหสุราวางลงบนโต๊ะอวิ๋นเกอ “ได้ยินท่านอาฉางบอกว่าต่อไปเจ้าจะมาทำงานอยู่ที่หอสุราชีหลี่เซียง วันนี้พวกเราพบกันครั้งแรก ถือเสียว่าข้าเลี้ยงเจ้าก็แล้วกัน”
อวิ๋นเกอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะส่งยิ้มให้กับสวี่ผิงจวิน “ขอบคุณมาก”
เมิ่งเจวี๋ยยิ้ม มองดูอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินสองคน “วันนี้นับว่ามีลาภปากไม่ใช่น้อย ไม่เพียงอาหารชั้นเลิศ ยังมีสุราชั้นยอดอีก”
ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังพูดคุยกัน เด็กหนุ่มที่ถูกสวี่ผิงจวินบิดหูด่าก็วิ่งตรงเข้ามาราวกับพายุหมุน แขนเสื้อเปื้อนเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “พี่สวี่ๆ แย่แล้ว! พวกข้าฆ่าคนตาย ทางการจับตัวพี่ใหญ่ไปแล้ว!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…