เมิ่งเจวี๋ยตกใจรู้สึกตัว เขารีบเก็บสายตากลับอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มจางๆ “ข้าพูดเหลวไหลไปเอง พูดให้ง่ายหน่อยก็คือขุนนางในทุ่งราบเซ่าหลิงล้วนเป็นคนของซั่งกวนเจี๋ย และพวกเขาก็ไม่ได้ทำตามพระราชดำรัสขององค์จักรพรรดิที่ต้องการให้ชาวบ้านอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข แม้ชาวประชาจะโง่งมยอมให้ข่มเหงรังแกกันได้ง่ายๆ แต่หลิวปิ้งอี่กลับไม่ใช่ เขาเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับภาษีที่พวกขุนนางกำหนด เรื่องนี้หากใหญ่โตขึ้นมา ซั่งกวนเจี๋ยย่อมไม่มีทางเปลืองแรงช่วยเหลือพวกเบี้ยตัวเล็กตัวน้อยแน่ ขุนนางท้องถิ่นเองก็เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของตนเองเลยใช้หลี่สู่ผู้นั้นเป็นเครื่องมือ ส่วนที่ว่าหลี่สู่สมัครใจช่วยเหลือหรือถูกหลอกให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยนั้น ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ เรื่องมาจนถึงบัดนี้ วิธีการที่พวกเขาใช้นับว่าแยบยลมิใช่น้อย ซั่งกวนอันเองก็คงปล่อยเรื่องนี้ไปตามน้ำ”
อวิ๋นเกอนั่งนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่นาน ไม่แม้แต่จะขยับตัว เมิ่งเจวี๋ยก็เอาแต่มองหน้านาง ไม่พูดอะไรแม้สักคำเดียว
ที่แท้เป็นกลอุบายที่ไม่มีทางแก้ ซั่งกวนเจี๋ย ซั่งกวนอัน ชื่อไม่คุ้นหูเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของอำนาจอันสูงส่งที่คนธรรมดาไม่อาจสู้รบตบมือได้ด้วยชั่วนิจนิรันดร์
อวิ๋นเกอผลุนผลันลุกขึ้นยืน “เมิ่งเจวี๋ย ท่านพอจะให้ข้ายืมเงินสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ เกรงว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่ด้วย ข้าคิดจะติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าคุกจะได้แวะเข้าไปเยี่ยมพี่หลิง…หลิวปิ้งอี่ แล้วข้ายังคิดจะซื้อของอีกอย่างด้วย”
เมิ่งเจวี๋ยประคองถ้วยชาขึ้น ยกจิบมันคำหนึ่ง “ยืมเงินไม่ใช่ปัญหา แต่ใช้เงินเพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะช่วยคนได้ คนที่บ้านเจ้ามีหนทางอะไรกระนั้นหรือ”
นัยน์ตาของอวิ๋นเกอมีน้ำตาเอ่ยคลอ “หากอยู่ที่แดนตะวันตกหรือลึกเข้าไปทางทิศตะวันตกอีกสักนิด ข้ามผ่านปามีร์ ตรงไปถึงเถียวจือ อันซี ต้าฉิน บางทีท่านพ่อของข้าอาจช่วยข้าคิดหาทางได้ ท่านพ่อแม้จะเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์อะไร แต่ข้ารู้สึกว่าขอเพียงท่านพ่อคิดจะทำก็ไม่มีเรื่องอันใดที่ท่านพ่อจะทำไม่ได้ แต่ที่นี่คือแผ่นดินต้าฮั่น คือเมืองฉางอัน ท่านพ่อและท่านแม่ไม่เคยเหยียบแผ่นดินต้าฮั่นมาก่อน พี่รองและพี่สามก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่มีทางมาอีกด้วย”
ขณะที่อวิ๋นเกอพูด เมิ่งเจวี๋ยก็จ้องมองตานางอย่างใจจดใจจ่อราวกับสามารถตัดสินว่าคำพูดเหล่านั้นจริงหรือเท็จผ่านทางดวงตาของนาง สีหน้าแม้จะไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แต่ในดวงตากลับฉายแววผิดหวังออกมาให้เห็นจางๆ
อวิ๋นเกอนั่งก้มหน้าท้อแท้ “ก่อนหน้านี้ข้ายังโกรธท่านพ่อท่านแม่ไม่หาย ตอนนี้กลับหวังให้ท่านพ่อหรือไม่ก็ท่านพี่เป็นผู้มีอำนาจในแผ่นดินต้าฮั่น แต่ไม่ว่าจะมีอำนาจสักเท่าใดก็คงไม่มีทางมากกว่าพระอัครมเหสีไปได้! นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเป็นองค์จักรพรรดิ หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ข้าคงตั้งใจฝึกวรยุทธ์ให้ดี ป่านนี้ข้าก็คงเข้าไปปล้นคุกแล้ว ทำอาหารเป็นไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร”
ตอนพูดถึงเรื่องปล้นคุก สีหน้าท่าทางของนางดูปกติธรรมดาราวกับการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควร ต่างกับท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวลในยามปกติ
เมิ่งเจวี๋ยอดยิ้มไม่ได้ “ปล้นคุกมีโทษมหันต์ ต่อให้เจ้ายอมปล้นคุก หลิวปิ้งอี่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมพเนจรร่อนเร่สุดหล้าฟ้าเขียว ไร้บ้านให้กลับ ไร้เรือนให้อยู่ร่วมกับเจ้า”
สีหน้าของอวิ๋นเกอดูหม่นหมองขึ้นทุกที ศีรษะยิ่งก้มยิ่งต่ำ
“ทำอาหารงั้นหรือ” เมิ่งเจวี๋ยพึมพำครู่หนึ่ง “ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง คงพอลองดูได้ ไม่รู้ว่าเจ้าจะยินดีร่วมมือหรือไม่”
อวิ๋นเกอกระโดดขึ้นมาทันที “ได้! ได้! ไม่ว่าให้ทำอะไรข้าก็ตกลงทั้งนั้น”
“กินอาหารเสียก่อน กินเสร็จแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”
“ข้ากิน ข้ากินไปพลางท่านก็เล่าไปพลางได้หรือไม่”