อวิ๋นเกอสีหน้าเว้าวอน เมิ่งเจวี๋ยส่ายหน้าจนใจ ได้แต่ตกลงรับปาก “มีซั่งกวนเจี๋ยอยู่ ถึงแม้เขาไม่พูด ผู้คนในราชสำนักก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินซั่งกวนอันง่ายๆ จะมีก็แต่สมุหกลาโหมฮั่วกวงผู้เป็นเสาหลักค้ำราชบัลลังก์เหมือนกันเท่านั้นที่จะพลิกรื้อคดีนี้ได้ ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด เรื่องนี้แม้จะมีคนตาย แต่หลิวปิ้งอี่ไม่ใช่คนลงมือก่อน อีกทั้งคนที่ตายก็ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเขา”
“แต่ฮั่วกวงเป็นพ่อตาของซั่งกวนอันมิใช่หรือไร แล้วมีหรือที่เขาจะยอมช่วย”
เมิ่งเจวี๋ยขยับถ้วยชาในมือเล่นไปมา ยิ้มให้นางจางๆ “สำหรับราชนิกุล ญาติกับศัตรูก็แค่เส้นกั้นบางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น เปลี่ยนแปลงไปมาได้เสมอ ได้ยินว่าฮั่วกวงพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมาก หากเจ้าสามารถดึงดูดความสนใจของเขา หาทางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังโดยตรง รู้จักสำรวม คดีนี้โทษอาจไม่ถึงตายก็ได้ เพียงแต่โอกาสสำเร็จนั้นมีไม่ถึงหนึ่งส่วน หนำซ้ำดีไม่ดีเรื่องนี้อาจทำให้เจ้าต้องกลายเป็นศัตรูกับสกุลซั่งกวน ไม่แน่อาจพลาดพลั้งล่วงเกินสกุลฮั่วเข้าด้วย ผลที่ตามมา…เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
อวิ๋นเกอพยักหน้าหนักแน่น “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ถึงโอกาสจะมีไม่มาก แต่ข้าก็จะลองดู”
“ข้าจะลองติดสินน้ำใจคนของทางการดู เผื่อหลิวปิ้งอี่จะได้อยู่ในคุกสบายหน่อย ไม่ทรมานมากนัก หลังจากนั้นพวกเราค่อยคิดหาหนทางดึงดูดความสนใจของฮั่วกวง ให้เขายอมมากินอาหารฝีมือเจ้า ที่ข้าทำได้ก็คงมีเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
อวิ๋นเกอลุกขึ้นยืน น้อมคำนับต่อเมิ่งเจวี๋ยด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอีกฝ่ายเป็นอย่างสูง “ขอบคุณมาก!”
“ไยต้องเกรงใจกันด้วยเล่า” เมิ่งเจวี๋ยค้อมกายลงครึ่งหนึ่ง แสดงคำนับกลับแล้วเอ่ยปากถาม “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงต้องพยายามช่วยเหลือหลิวปิ้งอี่มากมายเช่นนี้ด้วย ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเจ้าก็แค่คนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้นเสียอีก”
อวิ๋นเกอถอนหายใจเบาๆ แต่ด้วยเพราะนางรู้สึกขอบคุณเมิ่งเจวี๋ยที่ช่วยเหลือจึงไม่ลังเลที่จะบอกให้เขารู้ “เขาเป็น…สหายคนสนิท…ของข้าเมื่อครั้งยังเล็ก เพียงแต่เพราะไม่ได้พบกันนานหลายปี เขาเลยลืมข้าไปจนสิ้น ส่วนข้าเองก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก”
เมิ่งเจวี๋ยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดพร้อมสีหน้ายิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ก็จริง! หลายปีผ่านไป พบหน้าแต่ไม่รู้จักย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
แค่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่รู้เมิ่งเจวี๋ยใช้วิธีอะไรจึงสามารถเชื้อเชิญนางรำอันดับหนึ่ง ยอดกวี รวมถึงขุนนางใหญ่น้อยในเมืองฉางอันให้มาลิ้มชิมอาหารที่หอสุราชีหลี่เซียงได้ แม้แต่ติงไว่เหริน ‘บริจาฝ่ายใน’ คนโปรดขององค์หญิงใหญ่ก็ยังตั้งใจเดินทางมาลองลิ้มอาหารฝีมืออวิ๋นเกอ
ถึงตอนนี้อวิ๋นเกอก็ยังหน้าแดงขึ้นทุกครั้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางไม่รู้ประสีประสาถามเมิ่งเจวี๋ยว่า ‘บริจาฝ่ายในคืออะไร เป็นขุนนางระดับไหน’ แต่เมิ่งเจวี๋ยกลับตอบคำถามนางหน้าด้วยสีหน้าปกติราวกับเพียงตอบว่าวันนี้คือวันอะไรเท่านั้น
‘บริจาฝ่ายในไม่ใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นคำเรียกสถานะอย่างหนึ่ง หมายถึงคนที่ใช้เรือนร่างปรนนิบัติรับใช้องค์หญิง ไม่ต่างอะไรกับสนมชายา เพียงแต่สนมชายาจะมีลำดับขั้นก็เท่านั้น ติงไว่เหรินกำลังเป็นที่เอ็นดู จึงหยิ่งผยองและมักแสดงอำนาจบาตรใหญ่อยู่เสมอ วันหน้าเจ้าต้องระวังตัวให้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป นางรับเงินของข้าไปแล้ว ขอเพียงไม่มีอะไรผิดพลาด นางย่อมไม่มีทางหาเรื่องกลั่นแกล้งเจ้า’