หนึ่งคนต่อผ้าไหมหนึ่งผืน หลังเขียนคำอธิษฐานเสร็จพวกเขาก็พับคำอธิษฐานของตนไว้
คุณชายใหญ่รวบรวมผ้าไหมของทุกคน มอบให้สวี่ผิงจวินเป็นคนเก็บรักษา แล้วพูดตรงไปตรงมา “งานส่วนที่เหลือ ข้าทำไม่เป็น”
สวี่ผิงจวินใช้ผ้าชุบน้ำมันต้นถงที่กันน้ำได้ห่อเก็บผ้าไหมทั้งหมดไว้อย่างแน่นหนา
อวิ๋นเกอวิ่งไปหยุดอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่เมิ่งเจวี๋ยเอนหลังพิงเมื่อก่อนหน้า หลังจากนั้นก็ลงมือขุดรูบนรากของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ
แม้จะลงมือขุดอยู่นาน แต่อวิ๋นเกอก็ขุดไม่สำเร็จสักที
เมิ่งเจวี๋ยยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งให้กับนาง “ใช้นี่เถอะ”
เพียงออกแรงไม่กี่ครั้ง หลุมเล็กๆ แต่ลึกก็ถูกขุดเป็นที่เรียบร้อย อวิ๋นเกอยิ้มชื่นชม “มีดชั้นยอด!”
เมิ่งเจวี๋ยจ้องดูมีดเล่มนั้นแวบหนึ่ง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากเจ้าชอบก็เอาไปเถอะ ของเล็กๆ เช่นนี้เหมาะกับสตรีมากกว่า ข้าเก็บไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของคุณชายใหญ่ก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของเมิ่งเจวี๋ย
อวิ๋นเกอขยับมันเล่นไปมาครู่หนึ่ง เหมาะมือจริงๆ ฝีมือหรือก็ประณีต อีกทั้งยังพกพาสะดวก เหมาะที่จะใช้ขูดเปลือกไม้ ตัดเถาวัลย์ เก็บพืชพันธุ์ต่างๆ ที่นางต้องตาเป็นอย่างยิ่ง นางยิ้มพลางเก็บมันไว้ในอก
“ขอบคุณมาก”
สวี่ผิงจวินยัดผ้าชุบน้ำมันต้นถงที่ม้วนเป็นทรงกระบอกเข้าไปในรู ก่อนจะใช้เศษไม้ที่ขุดออกมาเมื่อครู่อุดกลับเข้าไปใหม่
ในเวลานี้หากมองจากภายนอกก็จะเห็นแต่เพียงรูเล็ก ๆ รูหนึ่งบนรากไม้เท่านั้น
และเมื่อวันเวลาผ่านไป ต้นไม้เจริญเติบโต ถึงตอนนั้นรูนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่รอยแผล
คนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปไม่มีทางดูออกว่ารากไม้นี้มีอะไรแปลกไป
อวิ๋นเกอใช้มีดสั้นทำสัญลักษณ์พร้อมส่งสายตาเตือนคุณชายใหญ่
หากมีใครมาแอบอ่านก่อน สัญลักษณ์ที่นางทำไว้ย่อมต้องถูกทำลายเสียหาย
เมิ่งเจวี๋ยกับหลิวปิ้งอี่ยิ้มมุมปากมองไปทางคุณชายใหญ่
คุณชายใหญ่ไม่ได้นึกสนใจใคร่รู้สักนิดว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ที่เขาอยากรู้ก็คืออะไรที่ทำให้พวกนางพากันหน้าแดงเช่นนี้ สิ่งที่เชื่อมโยงอยู่ระหว่างกลางนี้ต่างหากที่น่าสนใจยิ่งนัก
สวี่ผิงจวินมองดูเมิ่งเจวี๋ยและหลิวปิ้งอี่ด้วยความประหลาดใจ นางหันไปมองดูคุณชายใหญ่อีกครั้ง ในใจอดนึกสงสัยว่าทำไมคุณชายใหญ่จู่ๆ ถึงมีท่าทางอึมครึมเช่นนั้น
จากนั้นนางมองดูอวิ๋นเกอด้วยสายตางุนงงสงสัย อวิ๋นเกอยิ้มส่ายหน้า บอกสวี่ผิงจวินเป็นนัยๆ ว่าไม่ต้องไปใส่ใจบุรุษนิสัยประหลาดผู้นั้น
ไม่ว่างานเลี้ยงจะสนุกสนานสักเพียงใด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการกล่าวลา
ราตรีดึกสงัด ทุกคนต่างรู้ดีว่าถึงคราวต้องกล่าวคำลากันแล้ว
สวี่ผิงจวินยิ้มพูด “คราวหน้าตอนมาดูคำอธิษฐาน หวังว่าคงไม่ต้องมีใครเลี้ยงข้าวใคร ทุกคนต่างต้องหิ้วท้องหิว”
อวิ๋นเกอพยักหน้ายิ้มขมขื่น
เมิ่งเจวี๋ยกับหลิวปิ้งอี่ยิ้มไม่พูดอันใด
คุณชายใหญ่ยิ้มตาหยีพูด “มีข้าอยู่ พวกเจ้าไม่มีทางหิ้วท้องหิวได้เป็นอันขาด”
สวี่ผิงจวินกับอวิ๋นเกอต่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าคนเจ้าชู้ใช้ชีวิตอย่างอิสระไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้จะมีความปรารถนาใดที่ไม่อาจเป็นจริงได้
คุณชายใหญ่ยิ้มประสานมือคำนับสวี่ผิงจวิน “ข้าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ชอบพวกพูดประจบสอพลอ ไม่พูดคือไม่พูด หากพูดก็จะพูดแต่เพียงความจริงเท่านั้น ค่ำนี้นับเป็นมื้ออาหารที่ข้ากินได้สบายใจและมีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ขอบคุณเจ้ามาก”
สวี่ผิงจวินยิ้มขัดเขิน
หิ่งห้อยที่บินวนเวียนอยู่รอบพวกเขาเริ่มแยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ
อวิ๋นเกอแหงนหน้าเล็กน้อยมองหิ่งห้อยที่กำลังบินสูงขึ้นไปทุกขณะ สายตามองส่งพวกมันบินผ่านศีรษะตนเอง บินผ่านกอหญ้า บินลอยไปไกล ตรงไปยังความมุ่งมาดปรารถนาที่นางตัดสินใจปล่อยวาง…
โปรดติดตามตอนต่อไป…