บทที่ 10
มือของชัชพลยังยกค้างอยู่ แต่บุคคลที่อยู่ตรงกันข้ามกลับเป็นร่างของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ที่ยืนเอามือไพล่หลังจ้องมองมาพร้อมเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“ว่าใดไอ้น้อย ถ้าสูบ่ฮู้สึกกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว เหตุใดข้าถึงสัมผัสความเจ็บปวดได้ชัดเจนขนาดนั้น”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก ได้แต่อึกอักอยู่พักหนึ่ง ทว่าก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกของตนได้นานนัก เขาปิดกั้นสภาพจิตใจแล้วเอ่ยออกไปว่า…
“คำแก้วละทิ้งหัวใจเพื่อรับใช้ปู่เจ้า แล้วชาตินี้ยังต้องมาเจอแบบนี้ นี่คือสิ่งที่สมควรได้รับกา”
“สูบ่ฮู้ว่าอี่นางหน้อยเคยเคารพบูชาข้าขนาดไหน! มันอุทิศทั้งชีวิตเพื่อการเป็นม้าขี่ ทุกผู้ทุกคนในเมืองมีไผบ้างบ่เคยได้รับการช่วยเหลือจากมัน พลังแห่งศรัทธาของมันยิ่งใหญ่นัก ทั้งข้าและมันต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกันสร้างบุญปารมี*”
“ปล่อยเธอไป แล้วผมจะบอกหื้อใบบุญหมั่นทำบุญ สร้างกุศลสม่ำเสมอ ปู่เจ้าก็ได้บุญเช่นกัน”
“อวดหลวกนัก ข้าต้องการใช้ร่างของอี่นางหน้อยเพื่อโผดผาย** ชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก นั่นจึ่งเป็นการได้บุญกุศล”
ความยึดมั่นถือมั่นของปู่เจ้ารุนแรงเกินกว่าที่ชัชพลคาดคิด ปิดบังการมองเห็นจนมืดมัวไปหมด ต่อให้ชักแม่น้ำมาทั้งห้าสาย ยกเหตุผลมาเป็นร้อยพันก็คงไม่อาจทำให้มองเห็นความจริงได้
แล้วเขาจะช่วยรัตน์สิกาได้อย่างไร
“บุญกุศลบ่ใช่ว่าจะได้จากทางนั้นทางเดียวเน้อปู่เจ้า” ชายหนุ่มยังคงพยายามเกลี้ยกล่อม
“บ่ต้องมาสั่งสอนข้า…แล้วการเป็นร่างทรงของปู่เจ้าพยัคฆินทร์มันบ่ดีอย่างใด”
ดูเหมือนอีกฝ่ายเริ่มมีน้ำโหแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขามีบารมีคุ้มครองอยู่พอตัวก็เห็นทีจะโดนจัดการเสียเละตุ้มเป๊ะโทษฐานกล้าทำทุกสิ่งที่ปู่เจ้าเกลียดนัก
เขาอยากจะหัวเราะที่พูดไปเรื่องก็วนกลับมาที่เก่า…แต่ก็หัวเราะไม่ออก
“ใบบุญต้องการเดินสู่เส้นทางธรรม นั่นจะพัฒนาไปได้ไกลและรวดเร็วกว่าการเป็นร่างทรง ท่านซึ่งเป็นเทพเป็นองค์ของเธอช่วยสนับสนุนจะดีกว่า ลดทิฐิ ลดโทสะ บ่อั้น…บารมีของปู่เจ้าก็มีแต่จะเสื่อมลง”
สิ้นสุดประโยคนั้นมีเพียงความเงียบงัน ปู่เจ้าพยัคฆินทร์ยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิมไม่ขยับเขยื้อนดั่งรูปปั้นที่ไร้ซึ่งชีวิต ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่ทุกสิ่งก็กลับตาลปัตร…
ใต้ฝ่าเท้าของร่างสูงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ท้องฟ้าภายนอกพลันมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดเป็นลมพายุที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเค้าลางสักนิด สายลมรุนแรงหนักหน่วงพัดมาปะทะประตูหน้าต่างดังพึ่บพั่บก่อนจะปิดเปิดดังปึงปังไปมาไม่ยอมหยุด เรือนไม้แทบจะสะเทือนไปทั้งหลัง ใบไม้ปลิวว่อน บางส่วนก็ถูกพัดเข้ามาภายในชั้นสองของบ้าน
ชายหนุ่มหรี่ตาลงป้องกันเศษดินและเศษใบไม้แห้งที่พัดเข้าตา ยังไม่ทันได้เตรียมตั้งรับก็ตามมาด้วยเสียงบางอย่าง…ซึ่งคงมีเพียงเขาที่สามารถได้ยิน
เสียงแหลมกรีดร้องผสมปนเปจนมั่วไปหมด ไม่อาจจับได้ว่าต้นเสียงเป็นตัวอะไรหรือมีจำนวนมากมายแค่ไหน รู้เพียงแต่ว่ามันดังอยู่รอบตัว จากทิศหนึ่งเคลื่อนไปอีกทิศหนึ่งโดยมีจุดศูนย์กลางคือตัวเขาและชายชรา
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของปู่เจ้าพยัคฆินทร์ยิ่งเหี่ยวย่นหนักขึ้นไปอีก ดวงตาปูดโปน เส้นเลือดที่ขมับนูนเด่นขึ้นมาจนเห็นได้ชัด โทสะรุนแรงยิ่งกว่าพายุหมุนที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า เหล่าบริวารที่อยู่ใต้อาณัติสามารถสัมผัสได้ ต่างกรีดร้องวิ่งวุ่นด้วยความหวั่นเกรงเหมือนฝูงสัตว์ใหญ่น้อยแตกฮือเพราะผู้เป็นเจ้าป่า น้อยครั้งที่จะพบว่าผู้เป็นนายเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ บางส่วนจึงออกมาปรากฏตัวและพุ่งเข้าใส่ต้นเหตุแห่งเพลิงพายุด้วยหวังดับอารมณ์รุนแรงของเจ้านาย แต่กลับไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เพราะเมื่อพุ่งเข้าใส่มนุษย์ผู้นั้นก็ถูกขุมพลังบางอย่างกระแทกออกมา จึงทำได้เพียงรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนพัวพันเอาไว้รอบตัวเขา
ชัชพลเริ่มรู้สึกหวั่นใจเมื่อมองเห็นเพียงเงาดำที่หมุนวนอยู่รอบกาย มาถึงตอนนี้เขาจึงไม่สามารถมองเห็นปู่เจ้าพยัคฆินทร์ได้อีก ได้ยินเพียงเสียงคำรามของอีกฝ่าย
“สูจะไปทางใดก็เรื่องของสู แต่อี่นางหน้อยมันคือคนของข้า มันเป็นของข้า…จำไว้!”
ร่างสูงพยายามสลัดให้หลุดจากการพัวพันของเหล่าบริวารแต่ก็ทำไม่ได้ ร้อนรนอยากจะพูดคุยกันให้รู้เรื่องด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ทว่าต่อให้เขาร้องเรียกชื่อของปู่เจ้าแค่ไหนก็ไม่มีการตอบสนอง ราวกับว่าสติของอีกฝ่ายหลุดลอยไปแล้วพร้อมแรงระเบิดของโทสะ เขาจึงทำได้เพียงรับฟังเสียงโดยที่ไม่อาจมองเห็นตัวผู้พูด
* ปารมี แปลว่าบารมี
** โผดผาย แปลว่าโปรด