ฉู่หวังได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าไร้แววกระเพื่อมไหว
“รู้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบ พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เหลียวมองผิวน้ำรอบด้านและขบวนเรือ ลมพัดโชยอยู่เหนือผิวน้ำ ระลอกคลื่นพลิ้วไหว ฉู่หวังยืนกุมกระบี่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเย็น ดวงหน้าที่หนุ่มแน่นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนฮึกเหิม
“ต้าหวัง” ราชองครักษ์เดินเข้ามาถาม “คืนนี้เข้าฝั่งพักค้างแรมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หวังมองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งกลับหันไปทางนายเรือที่กำลังมองสังเกตการณ์อยู่
“เอ้อโม่!” เขาเรียกเสียงสูงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ใกล้ค่ำแล้ว ต้องเข้าฝั่งหลบสักหน่อยหรือไม่”
นายเรือและคนเรือทั้งหลายฟังคำพูดนี้แล้วต่างหัวเราะครืนใหญ่
“ต้าหวังโปรดอย่าหัวเราะเยาะ! พวกกระหม่อมก็คือจระเข้ใหญ่งูยาวในหนองน้ำแห่งนี้ ยังต้องหลบใครอีก” นายเรือกล่าวเสียงดัง
ฉู่หวังหัวเราะแล้วหันมากล่าวกับราชองครักษ์ “ไม่ต้องพักค้างแรม เดินทางต่อไปนครอิ่งตูในคืนนี้เลย!”
แสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกก้อนเมฆที่สุดขอบฟ้ากลืนหายไป ความมืดโรยตัวลงมา ผิวน้ำในหนองน้ำอวิ๋นเมิ่งกลับยังไม่สงบนิ่ง คบไฟส่องสว่างทั้งสี่ด้านของขบวนเรือ ประหนึ่งมังกรตัวยาวที่กำลังโลดแล่นอยู่ในแม่น้ำ ทะลวงผ่านความมืดมิด มุ่งหน้าไปทางตะวันตก
เชียนโม่เคยชินกับวันเวลาที่อยู่บนเรือแล้ว เธอฟังเสียงคลื่นในแม่น้ำตอนเข้านอน หลับสบายทั้งคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เธอถูกเสียงอะไรบางอย่างทำให้ตกใจตื่น เสียงนั้นยาวและสูงแหลม คล้ายมีคนกำลังร้องตะโกน เชียนโม่รู้สึกแปลกใจจึงเดินออกจากห้องพักมาดู เพียงเห็นแสงอรุโณทัยยังไม่จับขอบฟ้า ในแม่น้ำมีไอหมอกแผ่คลุม คนเรือทั้งหลายร้องตะโกนอยู่ที่หัวเรือคล้ายกำลังส่งสัญญาณ และก็มีเสียงคนตอบกลับมาจากที่ไกล ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ขณะที่เธอกำลังประหลาดใจอยู่นั้นก็เห็นลมพัดม้วนไอหมอก ไม่นานก็ปรากฏเงาดำตะคุ่มๆ ติดกันเป็นแพขึ้นในที่ห่างออกไปไม่ไกล รอจนเห็นชัดถึงรู้ว่าเป็นเรือจำนวนมาก จอดเรียงกันเป็นแถวเป็นแนวอยู่สองฟากฝั่ง บนเรือมีทหารสวมชุดเกราะยืนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ดูองอาจผึ่งผายเปี่ยมอานุภาพ
เรือของฉู่หวังแล่นไปข้างหน้าช้าๆ เสียงเป่าเขาสัญญาณและเสียงร้องตะโกนคล้ายเป็นการแสดงความเคารพ น่าตื่นตะลึงยิ่ง
เชียนโม่ไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ สายตามองไปที่ชุดเกราะและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของทหารเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน เพียงรู้สึกดูเท่าไรก็ไม่พอ
“ถึงแล้ว” ซังกล่าว
เชียนโม่มองไปข้างหน้า ไม่ผิดจากที่คาด ฝั่งแม่น้ำอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว และในที่ไกลออกไปกว่านั้น กำแพงเมืองสูงใหญ่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางไอหมอก เพียงเห็นแค่มุมเดียว
…นครอิ่งตู
เชียนโม่แหงนหน้าน้อยๆ สายตามองจับนิ่ง
อิ่งตูคือเมืองหลวงของแคว้นฉู่ แต่สร้างขึ้นมาเมื่อใดนั้นกลับมีคำพูดที่แตกต่างกันไป และดูเหมือนคนแคว้นฉู่จะชอบเรียกสถานที่ที่เป็นเมืองหลวงว่าอิ่งตูทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้สถานที่ตั้งของนครอิ่งตูจึงเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ อิ่งตูที่เหลืออยู่ในสมัยปัจจุบันมีแต่ซากปรักหักพัง เชียนโม่ไม่เคยไป ได้ยินคุณปู่บอกว่าที่นั่นเหลือเพียงกำแพงเมืองกับซากอาคารบ้านเรือนเล็กน้อย