ฉู่หวังเสด็จกลับมา มีคนมารอต้อนรับมากมาย ทอดสายตามองไป เสื้อผ้าสีสันสวยงาม หมวกรัดเกล้ามากมายตระการตา
ซือหม่าโต้วเจียวอายุสี่สิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขามมีสง่าน่าเลื่อมใส ฉู่หวังลงจากเรือขึ้นฝั่ง ซือหม่าโต้วเจียวเดินนำหน้าเข้ามาพาทุกคนกราบถวายบังคมฉู่หวังด้วยเสียงก้องกังวาน “ถวายบังคมต้าหวัง”
“ซือหม่า” ฉู่หวังยิ้ม รับการคารวะ เขามองไปที่ฝูงคน “ลิ่งอิ่นอยู่ที่ใด”
“ทูลต้าหวัง ท่านพ่อไม่สบาย มารอต้อนรับไม่ไหว ให้กระหม่อมมาขออภัยโทษ” โต้วเค่อหวงบุตรชายของลิ่งอิ่นโต้วปันถวายบังคมฉู่หวังแล้วกราบทูล
“อ้อ” ฉู่หวังเอ่ยถาม “ไม่รู้อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านพ่อเจ็บที่เท้า เดินเหินไม่สะดวก ร่างกายส่วนอื่นไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเค่อหวงกล่าว
ฉู่หวังพยักหน้า
ทักทายตามมารยาทแล้ว ฉู่หวังก็ขึ้นรถม้า มีผู้ติดตามล้อมหน้าล้อมหลังเข้าไปในเมือง เชียนโม่กับซังเดินไปกับกลุ่มผู้ติดตาม เห็นรถม้าของฉู่หวังกลืนหายไปในหมู่ผู้คน คาดเดาว่าตนคงต้องเดินไปตลอดทางแล้ว
ทว่าไม่นานนักซื่อเหรินผู้หนึ่งก็เดินมา บอกว่าฉู่หวังมีบัญชาให้เชียนโม่ขึ้นรถ
เชียนโม่งงงัน คนรอบข้างต่างมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“นั่นเป็นนางในคนใหม่ของต้าหวังหรือ” ซื่อเหรินลู่ที่มาจากวังของมู่ฟูเหรินพระมารดาของฉู่หวังมองเชียนโม่ที่อยู่บนรถแล้วกล่าวกับซื่อเหรินฉวีด้วยความสนใจ “รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย”
ซื่อเหรินฉวีสั่นศีรษะ “ไม่ใช่นางใน”
“อ้อ” ซื่อเหรินลู่ถาม “แล้วนางเป็นใคร”
“นางหรือ” ซื่อเหรินฉวียิ้ม เอ่ยช้าๆ “นางคือสิ่งล้ำค่าที่ต้าหวังพบในแม่น้ำ”
เปรียบกับบ้านเมืองในสมัยปัจจุบัน นครอิ่งตูไม่นับว่าใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจ ถนนหนทางไม่ได้กว้างขวางขนาดรถม้าวิ่งได้หลายคัน อาคารบ้านเรือนก็ไม่สูง อีกทั้งใช่ว่าบ้านทุกหลังจะมีกระเบื้องใช้
ทว่าที่นี่กลับมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ บ้านเรือนหลากหลายรูปทรง บ้างก็เรียบง่าย บ้างก็โอ่อ่าสวยงาม บ้างก็ต่ำเตี้ย บ้างก็สูงใหญ่ สร้างอยู่รวมกัน เมื่อมองด้วยสายตาของคนในยุคปัจจุบันอาจจะดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็ดูมีสีสันมีชีวิตชีวา พอทราบข่าวว่าฉู่หวังกลับมา ผู้คนมากมายต่างเฮโลมาดูกันที่ถนน ส่งเสียงร้องตะโกนกันคึกคัก เชียนโม่นั่งอยู่บนรถ มองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนเหล่านั้น ฟังคำพูดที่พวกเขาพูด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังชมการแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่อยู่
ไกลออกไปมีกำแพงสูงใหญ่อีกแห่งตั้งตระหง่านอยู่ เห็นชายคาปลายงอนเชิดสูงโดดเด่นอยู่รำไร แลประหนึ่งเทพเจ้ากำลังก้มลงมองเวไนยสัตว์ ซังบอกเธอว่าที่นั่นก็คือวังหลวง
ยิ่งเข้าใกล้วังหลวง บ้านเรือนก็ยิ่งสวยงาม ผู้คนที่มาห้อมล้อมเริ่มลดน้อยลง เมื่อรถม้าวิ่งเข้ามาในประตูวังที่สูงใหญ่ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม พอเข้ามาหลังกำแพง ทัศนวิสัยพลันเปิดกว้าง ทอดสายตามองไปก็จะเห็นแท่นศาลาหอเก๋งปะปนกัน ชายคาตำหนักซ้อนกันเป็นตับ แลยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพ เชียนโม่แม้จะเคยเห็นอาคารต่างๆ ที่บูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ แต่มาวันนี้เห็นแล้วยังคงรู้สึกว่าแตกต่าง ดูแปลกหูแปลกตาน่าตื่นตะลึง
มาถึงหน้าวังหลวง เชียนโม่มองไปก็เห็นอู่ต้าฟูผู้นั้นทันที
เขากับขุนนางกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าบันได เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเป็นทางการมาก เปรียบกับตอนอยู่ถงซานแล้วดูเคร่งขรึมน่าเคารพขึ้นหลายส่วน
“ต้าหวัง” หลังจากทำความเคารพแล้ว อู่จวี่ก็เอ่ยขึ้น “กงซุนหรงแห่งแคว้นฉินอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็พาคนผู้หนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า
ฉู่หวังมองไปก็เห็นคนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน ศีรษะสวมหมวกทรงสูง สะพายกระบี่ยาวที่เอว ใบหน้ามีสีเข้มคล้ายถูกแดดเผา แต่กลับดูแล้วกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า
เขาเดินเข้ามาหาฉู่หวัง เสียงหยกประดับกระทบกันเบาๆ ไม่อาจกลบเสียงฝีเท้าที่หนักแน่น
“คารวะต้าหวัง” กงซุนหรงทำความเคารพพลางกล่าวเสียงดังกังวาน
ฉู่หวังมองเขา ครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วทำความเคารพตอบ “ท่านกงซุนให้เกียรติมาเยือน ไม่ได้อยู่ต้อนรับเสียมารยาทแล้ว!”