ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย ย้อนกาลสารทวสันต์ เล่ม 1 บทที่ 7 – บทที่ 8
บทที่เจ็ด หลังฝนตก
เส้นทางน้ำที่มุ่งไปดินแดนซูบางครั้งเงียบสงบ บางครั้งก็เชี่ยวกราก คนเรือที่อยู่บนเรือมีประสบการณ์มาก แล่นเรือไปตามกระแสน้ำอย่างราบรื่น
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เนินเขาที่ทอดยาวอยู่ริมน้ำเริ่มเชื่อมต่อเป็นเทือกเขา แลเห็นยอดเขางดงามแปลกตาอยู่สองฟากฝั่ง
ตอนเชียนโม่ออกจากดินแดนซู เธอถูกกักขังอยู่ใต้ท้องเรือ มองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านนอกว่าเป็นเช่นไร เวลานี้ได้มาเห็น นอกจากภูเขาเขียวสายน้ำใสที่ดารดาษไปทั่วแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีก ชาวซูทั้งหลายกลับยิ้มแย้มเบิกบาน มีคนพูดจีลีกัวลากับเชียนโม่พักหนึ่ง เชียนโม่รู้ความหมายคร่าวๆ ของคำพูดเหล่านั้น พวกเขาบอกว่าที่ตั้งของชนเผ่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
เรือเข้าสู่ดินแดนซูตามเส้นทางที่คนซูชี้บอก เชียนโม่มองไปเห็นเส้นทางน้ำทอดยาว หมู่เขาสูงตระหง่าน ลักษณะภูมิประเทศเหมือนที่เธอเห็นตอนตามชมรมเข้ามาในภูเขา
ในใจกำลังตื่นเต้น พลันได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณดังมาจากที่ไกล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เชิงเขามีเรือลำเล็กออกมาจำนวนมาก นับได้หลายสิบลำ เสียงเป่าเขาสัญญาณดังก้องขึ้นทุกที พอเข้าไปใกล้อีกหน่อยก็เห็นคนบนเรือเหล่านั้นต่างถือดาบง้างธนูเตรียมพร้อมจะห้ำหั่น คล้ายมีเจตนาอันเป็นศัตรูอยู่
บนเรือไม่มีทหาร ชาวฉู่รีบหยุดเรือ ชาวซูที่อยู่บนเรือเดินไปที่หัวเรือแล้วร้องตะโกน โบกไม้โบกมือกับคนบนเรือเล็กเหล่านั้น
เสียงเป่าเขาสัญญาณหยุดลง เรือเล็กหลายลำรีบแล่นเข้ามา คนบนเรือเห็นชาวซูอยู่บนเรือของชาวฉู่จริงก็ตื่นตะลึง
ความเป็นปฏิปักษ์แปรเปลี่ยนเป็นงานพบญาติ บรรดาชาวซูได้พบหน้าญาติมิตรที่จากกันไปเป็นเวลานานทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ กอดคอกันหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
ชาวฉู่ที่อยู่บนเรือปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้ขึ้นฝั่งไปเป็นแขกอย่างสุภาพ หลังจากมอบพวกเขาถึงมือชาวซูแล้วก็เตรียมตัวจากไป
เชียนโม่กำลังจะก้าวลงไปบนไม้กระดานพาดเรือพลันถูกคนเรียกไว้ คนเรือคนหนึ่งหยิบสัมภาระห่อหนึ่งมาจากห้องโดยสารแล้วยื่นให้เธอ
“ก่อนหน้านี้ข้าลืมไป” เขาเกาๆ ศีรษะ ยิ้มเหยแล้วว่า “ก่อนขึ้นเรือซื่อเหรินฉวีมอบให้ข้า บอกให้ข้าเอาให้เจ้า”
เชียนโม่แปลกใจ กล่าวขอบคุณแล้วรับเอาห่อสัมภาระมา
พอเปิดออกดู ภาพตรงหน้าก็สว่างจ้าขึ้นทันทีเพียงเห็นในนั้นมีเสื้อผ้าชุดเก่าของเธออยู่เสื้อคาร์ดิแกน เสื้อแขนยาว กางเกงยีน เสื้อใน ถุงเท้า…ทุกชิ้นผ่านการซักมาอย่างสะอาดสะอ้าน พับมาเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าเห็นชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเสื้อชั้นในตัวนั้น เชียนโม่มองออกว่ามันผ่านการบิดอย่างแรง ได้แต่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ยังมีรองเท้าปีนภูเขาของเธอ ยุคสมัยนี้ไม่มีแปรงขัด รองเท้าถูกซักถูจนสะอาดเอี่ยม แต่คนจัดการผู้นั้นเห็นชัดว่าหัวสมองเฉียบไวมือไม้คล่องแคล่วกว่าเธอ เชือกผูกรองเท้าถูกถักเป็นปมไว้สวยงาม เธอออกแรงอยู่นานก็แกะไม่ออก
นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ยังมีผ้าพับนั้นของเธอพับมาเรียบร้อย วางอยู่ในนั้น
เชียนโม่เห็นผ้าพับนี้แล้วประหลาดใจมาก นับแต่เธอหนีออกจากถงซานในตอนนั้น ไปเจอจระเข้และได้รับการช่วยเหลือจากฉู่หวัง ผ้าผืนนี้ก็หายไปแล้ว เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่ามันคงตกหายไปในน้ำ ยังนึกเสียดายไม่หาย คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับคืนมา
สิ่งของของตนได้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง เชียนโม่มองสิ่งของเหล่านี้ ในใจอดฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้
กลับมาถึงหมู่บ้านบนภูเขาที่จากไปกว่าสองเดือน คนที่นั่นพอเห็นเชียนโม่ก็ต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เชียนโม่ไม่โอ้เอ้ชักช้า เรื่องแรกที่ทำก็คือไปยังสถานที่ที่ซ่อนเป้สะพายหลังไว้ หาเป้สะพายหลังออกมา ที่นั่นเป็นโพรงไม้แห่งหนึ่ง ตอนเชียนโม่คุ้ยใบไม้ที่ปกคลุมอยู่ออกและเห็นเป้สะพายหลัง หินก้อนใหญ่ในใจพลันร่วงลงสู่พื้น
เธอรูดซิปออก ของข้างในยังอยู่ครบ เป้ขึ้นเขาของเธอกันน้ำได้ไม่เลว กอปรกับโพรงไม้แห่งนี้นับว่าค่อนข้างแห้ง ของที่อยู่ข้างในไม่ถูกความชื้น เธอหยิบออกมาดูทีละอย่าง ไฟฉาย กาน้ำ ชุดปฐมพยาบาล เสื้อกันฝน…ข้างใต้เสื้อฝน เธอเห็นกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ของสองสิ่งนี้ถ้าอยู่ในสมัยปัจจุบันเธอต้องพกติดตัวตลอดเวลา เชียนโม่คิดอย่างเยาะหยันตัวเอง หากตนเองในสมัยก่อนเหมือนเช่นตอนนี้ ไม่อาจแตะไม่อาจต้องกระเป๋าสตางค์กับมือถือมาสองเดือนก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไร โชคชะตาและความสามารถในการปรับตัวของคนบางครั้งก็ยากจะหาข้อสรุปได้จริงๆ
ตอนนั้นหลังจากเชียนโม่ลื่นตกเขา มือถือก็ไม่เคยมีสัญญาณอีกเลย รอจนเธอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ปริมาณแบตเตอรี่ก็เหลือแค่ขีดเดียวแล้ว เชียนโม่จำต้องปิดเครื่อง
เวลาผ่านมานานเกินไป แบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ในมือถือก็หมดไปแล้ว ยังดีที่ในแบตเตอรี่สำรองยังมีเหลืออยู่เล็กน้อย หลังจากเชื่อมต่อสายเชื่อม เชียนโม่ใช้นิ้วมือกดปุ่มเปิดเครื่อง ไม่นานหน้าจอมือถือก็สว่างขึ้น ภาพหน้าจอเป็นภาพที่เชียนโม่ถ่ายตัวเอง เธอสวมเสื้อยืด หันหน้าด้านข้างแล้วยิ้ม เธอมองดูก็ถึงกับรู้สึกคล้ายไม่เป็นจริง
ปริมาณแบตเตอรี่ที่แสดงอยู่บนหน้าจอยังคงเหลือขีดสุดท้าย กล่องรับข้อความและบันทึกการสนทนาโทรศัพท์ ข้อความล่าสุดที่แสดงเวลาไว้คือก่อนที่จะขาดการติดต่อ ข้อความสุดท้ายในวีแชตที่ได้รับ อดีตคนรักเป็นผู้ส่งมาถามเธอว่าถึงที่หมายหรือยัง กำชับเธอให้ระวังเรื่องความปลอดภัย ตอนนั้นเชียนโม่กำลังคุยเล่นสนุกกับเพื่อนในชมรม เสียงดังเกินไป คิดว่ารอให้เงียบลงหน่อยค่อยตอบ คิดไม่ถึงว่า…
คำพูดจะกลายเป็นลางร้าย
เชียนโม่จ้องมองหน้าจอมือถือ ครู่เดียวก็ปิดเครื่องแล้วยัดมันกลับเข้าไปในเป้ ในกระเป๋าสตางค์มีเงินอยู่มากพอ หากกลับไปได้ พอเดินลงจากภูเขาก็มีเงินพอเรียกรถกลับเข้าเมืองได้
ทุกสิ่งเตรียมพร้อมสรรพขาดเพียงลมบูรพา* ของพลังประหลาดมหัศจรรย์อะไรนั่น
ไม่นานคนในหมู่บ้านบนเขาก็ได้ยินเรื่องของเชียนโม่ บรรดาชาวซูที่กลับมาบอกว่าที่ชาวฉู่ยอมปล่อยพวกเขากลับมาล้วนเป็นความดีความชอบของเชียนโม่ ทุกคนทั้งแปลกใจทั้งดีใจ ต่างมองเชียนโม่ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป หัวหน้าเผ่าที่สอนภาษาฉู่ให้เชียนโม่ยังอยู่ และได้มากล่าวขอบคุณเชียนโม่ด้วยตัวเอง นำอาหารที่ดีที่สุดและที่พักที่ดีที่สุดในหมู่บ้านมารับรองเธอ
เชียนโม่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล คิดไปคิดมาก็เอ่ยปากขอร้องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
เธออยากจะกลับไปตามเส้นทางตอนมา แต่ภูเขาสูงป่าทึบ เธอถามหัวหน้าเผ่าว่าจะมอบหมายให้ใครสักคนเป็นคนนำทางให้เธอได้หรือไม่
หัวหน้าเผ่าประหลาดใจในคำขอร้องของเธอมาก
“เจ้าจะกลับบ้าน?” เขาพูดภาษาฉู่ด้วยสำเนียงค่อนข้างหนัก “แต่ภูเขาทางฟากโน้นไม่มีคนอาศัยอยู่”
เชียนโม่รู้ว่าคำถามนี้จะต้องมีคนถามไม่หยุด จึงยิ้มๆ ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงเอ่ยถาม “เรื่องที่ข้าขอร้องมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ไม่ทราบมีใครที่สามารถเข้าไปในภูเขาลึกได้หรือไม่”
หัวหน้าเผ่าจนปัญญา ดีที่ในหมู่บ้านบนเขาสิ่งที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือคนฝีมือดีที่ปีนเขาเข้าป่าลึกได้ เขาหาหนุ่มวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งพอรู้ภาษาฉู่อยู่บ้างทั้งยังมีความชำนาญเรื่องป่าเขามาเป็นผู้นำทางให้เชียนโม่
เชียนโม่ไม่ชอบเอาเปรียบใคร หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอาผ้าที่ฉู่หวังประทานมามอบให้ผู้นำทาง ประการแรกถือเป็นค่าตอบแทน ประการที่สองคิดจะแลกกับอาหารจำนวนหนึ่ง ของสิ่งนี้คงจะมีค่ามากจริง หลังจากครอบครัวของผู้นำทางรับไปก็ดีใจมาก รับปากรับคำด้วยความเต็มใจ
แต่ขณะที่พวกเขากำลังวางแผนจะออกเดินทางอยู่นั้น อากาศก็พลันเปลี่ยนแปลง
ลมพายุฝนกระหน่ำลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้นำทางบอกกับเชียนโม่ว่าฝนที่ตกหนักจะทำให้น้ำไหลทะลักลงจากภูเขา ต้องรอให้อากาศดีก่อนจึงจะออกเดินทางได้
เรื่องนี้เชียนโม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงรออยู่ในหมู่บ้านไปพลางๆ แต่โดยดี รอให้พายุฝนผ่านไปอากาศปลอดโปร่ง
เสียงอสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ ที่สุดขอบฟ้า คล้ายเมฆฝนกำลังก่อตัวเตรียมจะเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักในช่วงฤดูร้อนนี้
นครอิ่งตู ในวังหลวงขุนนางทั้งหลายกำลังเข้าประชุมช่วงเช้า ปรึกษาหารือข้อราชกิจ
“ยุ้งฉางแต่ละแห่งนำข้าวออกมา อย่างน้อยเจ็ดส่วน อย่างมากก็เท่าที่มีอยู่ทั้งหมด เวลานี้แต่ละแห่งน้ำลดแล้ว สภาพความอดอยากได้รับการแก้ไขแล้ว” ในท้องพระโรง ลิ่งอิ่นโต้วปันทูลรายงานต่อฉู่หวัง
ฉู่หวังประทับอยู่ในตำแหน่งสูง อ่านแผ่นไม้ไผ่ที่รายงานทุพภิกขภัยในแต่ละท้องที่แล้วเอ่ยถามขึ้น “การปลูกทดแทนเป็นอย่างไร”
โต้วปันทูลตอบ “ระยะหลังมานี้อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้น การปลูกทดแทนในแต่ละท้องที่ ต้นกล้าเขียวลงดินแล้ว การปลูกทดแทนในที่นาของหลวงเสร็จสิ้นแล้ว หากไม่มีเหตุไม่คาดคิดก็จะทันเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หวังผงกศีรษะ
เหล่าขุนนางได้ยินข่าวเหล่านี้ต่างมีสีหน้ายินดี พากันแสดงความคิดเห็น
“ต้าหวัง” จื่อเป้ยเสนอขึ้น “เหตุใดไม่เสด็จไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่ง เซ่นไหว้ไท่อี เพื่อขอบคุณที่สวรรค์ช่วยคุ้มครอง”
ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงาม
ฉู่หวังแต่ไรมาชอบล่าสัตว์ หลังจากสืบทอดตำแหน่งก็มักจะนำขบวนรถม้านับร้อยคันไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่งอยู่เสมอ ไปทีก็สิบวันหรือครึ่งเดือนจึงบรรทุกของเต็มรถกลับมา แต่นับแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ฉู่หวังกลับเลิกจัดงานเลี้ยงเลิกเสพสุข ครั้งเดียวที่ล่าสัตว์ก็คือการล่าจระเข้ในแม่น้ำที่ถงซาน เพียงครึ่งวันก็กลับ มาบัดนี้ทั้งราชสำนักและประชาชนกำลังปีติยินดีที่ได้รับชัยชนะจากการทำศึก ทุกคนต่างก็ต้องการความสนุกสนานมาผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียดมาเป็นเวลายาวนาน ไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่งนับว่าเหมาะแก่ความต้องการในเวลานี้พอดี
“แม้ทุพภิกขภัยจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ยังมีปัญหาที่ตามมาอยู่ แต่ละแห่งมีทหารรักษาการณ์ไม่พอ ทัพฉู่ยังต้องการการพักฟื้น” ฉู่หวังกลับเอ่ยเช่นนี้ “นอกจากนี้กว่าเหรินได้เปิดอวิ๋นเมิ่งให้ชาวบ้านเข้ามาล่าสัตว์เพื่อบรรเทาความอดอยาก ถ้าไปล่าสัตว์ตอนนี้ไยมิใช่ไปแย่งชิงการล่าสัตว์กับชาวบ้าน ตอนกลับมากว่าเหรินได้ทำพิธีเซ่นไหว้ศาลบรรพชนแล้ว เรื่องเซ่นไหว้ไท่อี วันหน้าค่อยดำเนินการ”
ทุกคนต่างประหลาดใจ เห็นฉู่หวังมีท่าทียืนหยัดก็ไม่แสดงความคิดเห็นอีก
อู่จวี่ได้เสนอแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินในที่ประชุมไปสองสามเรื่อง ฉู่หวังรับไว้ทั้งหมด มีรับสั่งให้เขาไปปรึกษาหารือรายละเอียดกับลิ่งอิ่น
หลังเลิกประชุมขุนนาง อู่จวี่คิดว่าฉู่หวังจะเรียกเขามาปรึกษาหารือต่อ แต่ผิดคาด หลังเลิกประชุมฉู่หวังก็เสด็จกลับไปเลย อู่จวี่จำต้องเดินย้อนกลับไป
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงคนเรียกดังมาจากข้างหลัง หันกลับไปก็เห็นซูฉง
ซูฉงสีหน้าสบายใจ เอ่ยปากก็บอก “ต้าหวังดียิ่ง”
อู่จวี่ประหลาดใจ “ดียิ่งอย่างไรหรือ”
“มุมานะบากบั่นเพื่อการปกครองบ้านเมือง!” ซูฉงยิ้มกริ่ม “ก่อนหน้านี้ข้ายังห่วงว่าหลังจากได้ชัยชนะกลับมา ต้าหวังก็จะกลับไปลุ่มหลงกับการเสพสุขอีกครั้ง แต่เจ้าดู เหล่าขุนนางยุยงให้เขาไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่ง เขายังไม่ไป ต้าหวังนิสัยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!”
อู่จวี่หัวเราะ “ต้าหวังเดิมทีก็ไม่ใช่คนเห็นแก่สนุกอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่วางใจมากเกินไป”
“จะกล้าวางใจได้อย่างไร” ซูฉงถอนใจ “แคว้นฉู่จะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมทรุดล้วนขึ้นอยู่กับต้าหวังผู้เดียว แต่พวกประจบสอพลอกลับมีไม่น้อย…จุๆ เจ้าดู เจ้าดู!”
ไม่ไกลออกไปเท่าไร เสี่ยวเฉินฝูเดินผ่านมาพอดี แต่ไรมาซูฉงก็ไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้ ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย หันไปเห็นคนรู้จักอีกคนจึงฉวยโอกาสร้องทักทายและเดินหนีไปทันที
อู่จวี่ออกจะอับจนปัญญา พอเห็นเสี่ยวเฉินฝูก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินเข้าไปหา
เสี่ยวเฉินฝูเห็นอู่จวี่เดินเข้ามาก็รีบทำความเคารพ “อู่ต้าฟู”
อู่จวี่ทำความเคารพตอบ “ข้ามีเรื่องหนึ่ง อยากจะถามเสี่ยวเฉิน”
เสี่ยวเฉินฝูกล่าว “อู่ต้าฟูเกรงใจแล้ว ไม่ทราบเรื่องอะไรหรือ”
“แรงงานหญิงโม่ เสี่ยวเฉินรู้จักหรือไม่”
เสี่ยวเฉินฝูแปลกใจ มองอู่จวี่ “ผู้น้อยรู้จัก”
“คนผู้นี้ติดตามต้าหวังไปปราบยง ไม่ทราบเวลานี้นางอยู่ที่ใด”
เสี่ยวเฉินฝูคิดไม่ถึงว่าอู่จวี่จะเอาใจใส่แรงงานหญิงโม่เช่นนี้ เขาเอ่ยตอบ “ระหว่างทางกลับอิ่งตู แรงงานหญิงโม่ได้แยกกลับซูไปแล้ว”
หัวคิ้วอู่จวี่ขยับเล็กน้อย
เมื่อวานเขาไปที่ห้องเก็บตำรา เซ่าจั้งได้บ่นว่ากับเขา บอกว่าสตรีที่มาเมื่อคราวก่อนใช้แท่งหมึกที่เขาฝากคนนำมาจากแคว้นหลู่หมดไปหนึ่งแท่ง ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนแผ่นไม้ก็ล้วนแต่อ่านไม่ออก นับว่าสิ้นเปลืองมาก อู่จวี่จึงนึกถึงแรงงานหญิงโม่ขึ้นมา แล้วก็นึกถึงชาวเยวี่ยกับชาวอู๋ที่นางเอ่ยถึง คล้ายมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจอยู่ นางแม้จะเป็นอิสตรี ภาษาฉู่ก็พูดได้ไม่ดี แต่กลับเป็นคนน่าสนใจที่หาได้ยาก อู่จวี่อยากจะสนทนากับนางอีก คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวว่านางจากไปแล้ว
อู่จวี่นึกถึงท่าทางของเชียนโม่ตอนโบกมือให้เขา ออกจะรู้สึกเสียดาย
“อู่ต้าฟูถามถึงแรงงานหญิงโม่ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรหรือ” เสี่ยวเฉินฝูมองเขาแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีเรื่องอะไร”อู่จวี่ยิ้ม “เพียงแต่เมื่อวานได้ยินว่ามีโรคระบาดอีกก็เลยนึกถึงแรงงานหญิงโม่ผู้นี้ขึ้นมา ในเมื่อนางจากไปแล้วก็คงได้แต่หาวิธีอื่น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เสี่ยวเฉินฝูพยักหน้าเข้าใจ
มู่ฟูเหรินให้พ่อครัวในวังเหยียนเหนียนทำอาหารที่ฉู่หวังโปรดปรานหลายอย่าง รอจนเลิกประชุมขุนนางตอนเช้าจึงส่งคนไปทูลเชิญเขามาเสวยพระกระยาหาร
ฉู่หวังไม่ได้ยืดเวลาปรึกษาราชกิจออกไปเช่นแต่ก่อน ไม่นานก็เสด็จมาถึง ทำให้มู่ฟูเหรินรู้สึกเหนือความคาดหมาย
ในห้องโถง นักสังคีตเคาะจงและชิ่ง* ดังติงๆ ตังๆ เสียงละมุนละไมและผ่อนคลาย มู่ฟูเหรินมาจากราชนิกุลของแคว้นไช่ ตั้งแต่เล็กได้รับการกล่อมเกลาด้วยเสียงดนตรี หลังจากให้กำเนิดฉู่หวัง มู่หวังจึงสั่งทำจงและชิ่งเสียงไพเราะชวนฟังให้นางเป็นพิเศษชุดหนึ่ง เพื่อปูนบำเหน็จรางวัลที่นางให้กำเนิดพระโอรสองค์แรก
“ได้ยินว่าระยะนี้ต้าหวังไม่ค่อยเจริญอาหารเป็นเพราะเหตุใดหรือ” มู่ฟูเหรินมองฉู่หวังที่เสวยพระกระยาหารไม่พูดไม่จาแล้วเอ่ยถามช้าๆ
ฉู่หวังตอบ “ข้าไม่เป็นไร เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
มู่ฟูเหรินทอดถอนใจแล้วว่า “ตอนต้าหวังไปออกรบ แม่อยู่ที่อิ่งตูอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน ต่อมาได้ยินว่าต้าหวังติดโรคไข้จับสั่น แม่ก็แทบกินข้าวไม่ลง” พูดจบก็ยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดดวงตา
ฉู่หวังเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็รีบวางช้อนลงแล้วทำความเคารพ “ข้าไม่ดีเอง ทำให้เสด็จแม่ต้องเป็นทุกข์”
มู่ฟูเหรินกล่าว “คนแก่บ่นร่ำไร ต้าหวังอย่าเสียเวลากินอาหาร”
แต่ขณะฉู่หวังกินไปได้อีกคำหนึ่งก็ได้ยินมู่ฟูเหรินถอนหายใจอีกครั้ง
“ตอนนั้นแม่คิดไปว่าอดีตหวังตอนอายุเท่าต้าหวังมีโอรสธิดาไปแล้วสามคน แต่ต้าหวังไม่ต้องพูดถึงโอรสธิดา กระทั่งฟูเหรินก็ยังไม่ได้แต่ง คนนอกคนในจิตใจยากหยั่งรู้ หากเกิดอะไรขึ้น สตรีเช่นพวกข้าจะฝากผีฝากไข้กับผู้ใด”
ฉู่หวังในใจตระหนักรู้ รับผ้าเช็ดปากจากมือซื่อเหรินมาเช็ดๆ ปาก
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เสด็จแม่มีความเห็นเช่นไร” เขากล่าว
มู่ฟูเหรินสายตาเต็มไปด้วยความรักและเมตตา “เมื่อวานแม่ได้พบปู่อิ่นกับจงอิ่น** ต้าหวังไม่มีคนที่เลือกไว้แล้ว ไม่สู้เลือกวันเสี่ยงทายเพื่อดูว่าควรสมรสกับหญิงสาวจากแคว้นใด ต้าหวังเห็นเป็นอย่างไร”
ฉู่หวังมองมู่ฟูเหริน ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “ทำตามพระประสงค์ของเสด็จแม่เถิด”
มู่ฟูเหรินดีใจยิ่ง รีบให้คนไปเชิญปู่อิ่นกับจงอิ่นมาเพื่อปรึกษารายละเอียดเรื่องเสี่ยงทาย
ฉู่หวังกลับไม่กระตือรือร้น หลังกินเสร็จก็บอกว่ายังต้องกลับวังไปจัดการราชกิจ ขอลากลับไป
เสียงฟ้าคำรามขึ้น เมฆดำทะมึนที่สุดขอบฟ้าค่อยๆ รวมตัวคล้ายจะปูให้เต็มท้องฟ้า
ฉู่หวังลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงในวัง
วันนี้มีเรื่องปรึกษาหารือกันมาก ฉู่หวังออกจะเหนื่อยล้า เขามองๆ ไปทั้งสี่ด้านแล้วนั่งลงบนตั่ง
แคว้นยงถูกกำจัด เผ่าหมานทั้งหลายก็ล่าถอยไปและกลับมาสวามิภักดิ์แคว้นฉู่อีกครั้ง ทัพใหญ่กลับคืนสู่นครอิ่งตู ทุพภิกขภัยก็ได้รับการขจัดไปแล้ว นับแต่ปีที่แล้วฉู่หวังได้ค่อยๆ เข้าไปกุมอำนาจการปกครองและการทหารมาไว้ในมืออีกครั้ง ราชสำนักและประชาชนทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ก็กลับมามีความเชื่อมั่นในตัวเจ้าผู้ครองแคว้นคนใหม่ที่จู่ๆ ก็มุมานะบากบั่นขึ้นมาอีกครั้ง การสนับสนุนที่คนในแว่นแคว้นมีต่อฉู่หวัง ดูจากเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความปีติยินดีตอนกรีธาทัพกลับเมืองมาพร้อมด้วยชัยชนะก็พอจะเห็นได้แล้ว
แต่ฉู่หวังกลับไม่รู้สึกพึงพอใจ คนอื่นๆ มาแสดงความยินดีกับเขา เขาก็ไม่รู้สึกปลาบปลื้มอะไรนัก
เซ่นไหว้บรรพชนกราบไหว้เทพเจ้า งานด้านการทหารด้านอาณาประชาราษฎร์ หลายวันมานี้ฉู่หวังทำงานหนัก พอล้มตัวลงนอนก็หลับ แต่แปลกยิ่งนัก เมื่อก่อนเขาชอบนอนอยู่บนเตียงครุ่นคิดเรื่องต่างๆ และเข้าสู่ความฝันท่ามกลางความคิดที่สับสนวุ่นวาย แต่หลังกลับจากทำศึก เขากลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เวลานี้สิ่งที่เข้ามายึดครองสมองของเขามีเพียงเงาร่างหนึ่ง พอหลับตาลงคล้ายยังสามารถรับรู้ได้ว่ามีคนคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเงียบๆ คล้ายว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็จะได้เห็นใบหน้าที่กำลังหลับสนิทดวงนั้น
เวลาฟังขุนนางทั้งหลายถกปัญหาบางอย่างที่ไม่ค่อยสำคัญ เขาก็จะถึงกับใจลอย…
ฉู่หวังนอนอยู่ หลับตาลง ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่ด้านข้างด้วยความเคยชิน
เครื่องร่อนที่เชียนโม่มอบให้เขาวางนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของแท่นบรรทม
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ฉู่หวังก็หยิบมันขึ้นมา
ของสิ่งนี้ จากบนเรือมาถึงในวัง ฉู่หวังถือติดตัวมาตลอด ซื่อเหรินเคยเอาไปเก็บ ฉู่หวังคิดว่าหายไปแล้วก็นึกร้อนใจอยู่พักใหญ่ รอจนซื่อเหรินผู้นั้นหยิบออกมาอย่างตัวสั่นงันงก ฉู่หวังก็ตำหนิเขาอย่างไม่เกรงใจ
ตั้งแต่นั้นมาเครื่องร่อนลำนี้ก็วางอยู่บนแท่นบรรทมของฉู่หวังมาโดยตลอด
เขามองแล้วมองอีก บนตัวลำมีตัวอักษรสลักอยู่สามคำ ฉู่หวังรู้จักเพียงตัวเดียว หญิงผู้นั้นเคยสอนเขา…หลินเชียนโม่
หลินเชียนโม่ หลินเชียนโม่
กลับดูน่าฟังกว่าแรงงานหญิงโม่อยู่เล็กน้อย ฉู่หวังคิดในใจ มุมปากกลับเบ้ออก
สายลมเย็นพัดมาจากด้านนอก ฉู่หวังเกิดความคิดขึ้นในใจ เขาหยิบเครื่องร่อนเดินออกไป ซื่อเหรินทั้งหลายเห็นเขาออกมาก็เข้าใจว่าเขาจะออกไปข้างนอกจึงรีบเดินตาม เหนือความคาดหมาย ฉู่หวังเดินลงบันไดแล้วยืนนิ่งมองไปรอบด้าน จากนั้นก็ยกเครื่องร่อนขึ้นมาขว้างออกไปข้างหน้า
พื้นที่หน้าวังกว้างขวาง ท้องฟ้าถูกเมฆดำโอบล้อมจนเหลือช่องว่างอยู่มุมเดียว แสงอาทิตย์สายหนึ่งส่องลอดลงมา โดดเดี่ยวเดียวดายและสง่างาม
เครื่องร่อนอาศัยแรงส่งบินขึ้นไปจนสูง ปะทะกับลมและแสงอาทิตย์ ประดุจนกตัวหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าเหนือลานกว้างหนึ่งรอบใหญ่
ฉู่หวังมองแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เห็นมันกำลังจะร่อนลง กลัวจะกระแทกพื้นเสียหายจึงรีบวิ่งเข้าไป
“ต้าหวัง รีบกลับเข้ามา! ฝนตกแล้ว!” เสียงของซื่อเหรินฉวีดังมาจากระเบียง
ฉู่หวังมองท้องฟ้า เป็นเช่นนั้นจริง มีเม็ดฝนตกลงมาแล้ว ซื่อเหรินที่อยู่ด้านข้างรีบเอาเสื้อหญ้ากันฝนบังศีรษะให้ฉู่หวังแล้วเดินกลับเข้าไป
“ต้าหวัง…” ซื่อเหรินฉวีเดินเข้ามา กลับเห็นฉู่หวังตรวจดูเครื่องร่อนลำนั้นก่อน คล้ายให้แน่ใจว่ามันไม่มีอะไรเสียหาย
“มีอะไร” ฉู่หวังใช้นิ้วมือเช็ดคราบดินที่ติดอยู่ใต้ตัวลำเครื่องร่อน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
ซื่อเหรินฉวีรายงาน “เรือที่ส่งแรงงานหญิงโม่กับคนซูกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หวังชะงักเท้าเล็กน้อย ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปในวังต่อ “รู้แล้ว”
ซื่อเหรินฉวีเห็นอีกฝ่ายไม่ถามอะไรก็ไม่กล้าพูดมาก เห็นฉู่หวังประทับลงที่หน้าโต๊ะก็รีบเข้าไปรินน้ำให้ถ้วยหนึ่ง
ฉู่หวังยกถ้วยขึ้นมาดื่มน้ำคำหนึ่งแล้วมองเครื่องร่อนในมือ ไม่นานก็วางมันกลับไปที่แท่นบรรทม คล้ายเป็นของเล่นที่รักและทะนุถนอมชิ้นหนึ่ง
“ซื่อเหรินฉวี” ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าพวกเจ้ารักษาชีวิตจากเงื้อมมือชาวยงมาได้เพราะแรงงานหญิงโม่ใช่หรือไม่”
ซื่อเหรินฉวีงงงัน รีบกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไร”
ซื่อเหรินฉวีตอบ “คนยงพวกนั้นตอนแรกจะสังหารพวกเราทิ้งทั้งหมด แรงงานหญิงโม่บอกพวกเขาว่านางเป็นสนมคนโปรดของต้าหวัง ทั้งยังตั้งครรภ์…”
คำพูดยังพูดไม่ทันจบ ฉู่หวังกลับสำลักน้ำ ไอออกมาอย่างแรง
ซื่อเหรินฉวีรีบช่วยทุบหลังให้เขา
“นาง…แค่กๆ!” ฉู่หวังไอจนน้ำตาแทบจะไหล หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “คำพูดนี้นางเป็นคนพูดจริงหรือ”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ!” ซื่อเหรินฉวียิ้ม “ต้าหวัง แรงงานหญิงโม่ผู้นี้มีปฏิภาณไหวพริบอย่างหาได้ยาก! กระหม่อมคิดจะเล่าตั้งแต่ตอนนั้น แต่แรงงานหญิงโม่ไม่ให้กระหม่อมพูด!”
ฉู่หวังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากหยุดไอก็หยิบถ้วยน้ำมากรอกลงคอไปอีกสองคำ
“เสียดายดื้อรั้นเกินไป” ซื่อเหรินฉวีมองพายุฝนที่ด้านนอก ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “แรงงานหญิงโม่บอกจะเดินกลับบ้าน แต่ดินแดนรกร้างป่าเถื่อนของซูจะมีถนนได้อย่างไร ทั้งยากลำบากอันตราย ยากแก่การคาดเดา ก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดช่วยส่งนางไปหรือไม่”
ฉู่หวังนิ่งงัน กุมถ้วยน้ำในมือ ดวงตากลอกไปมาไม่อยู่นิ่ง
ฝนตกๆ หยุดๆ ติดต่อกันมาหลายวัน รอจนเมฆดำสลายไปหมด อากาศปลอดโปร่งขึ้นมาและดูท่าว่าฝนคงไม่ตกแล้ว ในที่สุดเชียนโม่ก็ออกเดินทางได้
เธอเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเก่าของตน คิดไปคิดมาก็พกกระบี่ของฉู่หวังไปด้วยเพื่อใช้ป้องกันตัว ภรรยาของผู้นำทางทำอาหารแห้งจำนวนหนึ่งให้เชียนโม่ด้วยตัวเอง ยัดใส่เป้สะพายหลังของเธอจนเต็ม เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้นำทางก็พาบุตรชายสองคนของตนร่วมเดินทางไปส่งเชียนโม่ขึ้นภูเขา
คนในหมู่บ้านพอรู้ว่าเชียนโม่จะไปบนเขาทางด้านโน้นต่างก็ตื่นตะลึง ตอนมาส่งใบหน้าของทุกคนล้วนฉายแววแปลกประหลาด
“ที่นั่นไม่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ เจ้าไม่ใช่เข้าใจผิดหรือ” หัวหน้าเผ่าเตือนแล้วเตือนอีกด้วยความหวังดี เอ่ยปากเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่ได้เข้าใจผิด” เชียนโม่สีหน้ายืนกรานแน่วแน่
หัวหน้าเผ่าเห็นนางพูดเช่นนี้ก็ได้แต่รับปาก สั่งกำชับผู้นำทางสองสามประโยคแล้วให้พวกเขาพานางไป
ดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนท้องฟ้า สาดแสงสีทองสว่างไสว ไม่มีก้อนเมฆ ต้นไม้ในป่าสูงใหญ่ระฟ้าบดบังตะวัน ตรงไหนที่ลมเข้าไม่ถึงก็จะอับชื้นและร้อนอบอ้าวอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนั้นที่เชียนโม่เดินออกมา เธอกลัวมากว่าตนเองจะหลงทาง จึงพยายามทำเครื่องหมายไว้ทุกแห่งที่เดินผ่าน เธอลองตรวจตราดูอย่างละเอียด ไม่ผิดจากที่คิด ตามลำต้นของต้นไม้หลายต้นมีรอยก้อนหินขีดอยู่ เป็นรอยที่เธอทิ้งไว้ในตอนนั้น
ขั้นตอนการหาเส้นทางไม่นับว่ายากลำบาก แต่พื้นดินเปียกชื้น ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรก เชียนโม่ต้องหาตำแหน่งที่จะวางเท้าลงไปจึงเดินได้ไม่เร็วนัก
ผู้นำทางสามพ่อลูกเดินได้เร็วกว่าเชียนโม่มาก จึงใช้ขวานหินช่วยเปิดทางให้เธอ ทั้งสี่คนเดินไปพักไป หลังจากเดินได้ระยะหนึ่งก็หันกลับไปมอง พบว่าไม่เห็นหมู่บ้านบนเขาแล้ว สี่ด้านมีแต่ป่าดงดิบหนาทึบ บนลำต้นที่ใหญ่โตของต้นไม้มีเฟิร์นและตะไคร่น้ำขึ้นเต็ม มีเถาวัลย์กิ่งใหญ่ขนาดชามข้าวพันรอบลำต้นประหนึ่งงูยักษ์
เชียนโม่มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อป่าดงดิบเช่นนี้ สภาพแวดล้อมบนภูเขา กวาดตามองไปไม่ว่าที่ไหนก็ไม่แตกต่างกัน ในกอหญ้าและพุ่มไม้มักมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ซุกซ่อนอยู่ ครั้งก่อนตอนเชียนโม่เดินออกมาก็เจองูตั้งหลายครั้ง ยังมีสัตว์ป่าบางชนิดที่ไม่รู้จักชื่อ ทำให้เธอตกใจแทบตาย และด้วยเหตุนี้เองเธอถึงได้วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปคราวหนึ่ง ไม่ทันได้ทำเครื่องหมายบอกทาง ทำให้ภายหลังเธอคิดจะย้อนกลับไปเส้นทางเดิมหลายครั้งแต่ก็หาตำแหน่งเดิมไม่พบ
โชคดีที่พ่อลูกสามคนล้วนเป็นนักล่าสัตว์ที่มีความชำนาญในป่า สายตาแหลมคมยิ่ง สามารถมองจากก้อนหินก้อนหนึ่งและกิ่งไม้หักไม่กี่กิ่งก็รู้ว่าตรงไหนเคยมีคนเดินผ่าน พวกเขาค้นหาอย่างละเอียด ไม่นานก็ช่วยเธอหาเส้นทางที่ทำเครื่องหมายไว้พบอีกครั้ง
ในใจของเชียนโม่รู้สึกดีใจ ผ้าพับนั้นของฉู่หวังใช้ได้คุ้มค่าจริงๆ
ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมีฝนตกไป บนต้นไม้ใหญ่มีหยาดน้ำหยดลงมาอยู่บ่อยครั้ง เชียนโม่นึกถึงพวกหนอนแล้วขนลุกขนพองไปทั้งตัว รีบหยิบหมวกจากในเป้ออกมาสวมไว้บนศีรษะ ทำให้พ่อลูกสามคนมองมาด้วยความประหลาดใจ
“นี่มาจากบ้านเจ้า” ทังลูกชายคนโตของผู้นำทางพูดภาษาฉู่ติดๆ ขัดๆ ทำมือทำไม้ประกอบพลางเอ่ยถาม
เชียนโม่เข้าใจความหมายของเขาจึงยิ้ม “ใช่ สวยกระมัง”
ทังยิ้มอย่างขวยเขิน คล้ายบอกไม่ได้ว่าสวยหรือไม่ กลับพูดออกมาตรงๆ “ประหลาด”
เชียนโม่หน้าเหย
ทั้งหมดพูดคุยกันไปพลาง เดินหาเส้นทางที่เชียนโม่ทำเครื่องหมายทิ้งไว้ไปพลาง หลังผ่านไปครึ่งวันเชียนโม่ก็เห็นยอดเขาแห่งหนึ่ง ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที
เธอหยุดฝีเท้า ทบทวนภาพในความทรงจำดูอย่างละเอียด
ไม่ผิด
ตอนนั้นสถานที่ที่เธอเกิดเรื่องก็คือภูเขาที่มียอดเขาแห่งนั้นอยู่!
ในใจรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เชียนโม่อดเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังภูเขาลูกนั้นไม่ได้
“โม่!” พ่อลูกสามคนเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ประหลาดใจยิ่ง รีบไล่ตามไป เชียนโม่เดินลงจากหุบเขาไปตามเครื่องหมายที่ทำไว้ ไม่ผิดจากความทรงจำ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนก้อนหินผ่านสายน้ำเล็กๆ สายหนึ่งแล้วข้ามภูเขาลูกเล็กอีกลูกหนึ่ง ในที่สุดขณะที่ท้องฟ้าใกล้จะมืดค่ำ ทุกคนก็มาถึงเบื้องหน้าภูเขาลูกนั้น
เชียนโม่หอบหายใจ แหงนหน้าขึ้นมอง
ภูเขาใหญ่สูงตระหง่าน ต้นไม้สูงเสียดฟ้า ดูหนาทึบกว่าที่เห็นในสมัยปัจจุบัน ท่ามกลางแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่มองไปไม่เห็นยอดเขา
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด” ผู้นำทางปาดเหงื่อบนหน้าผาก เหลียวมองไปรอบด้าน แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ที่นี่ไม่ผู้คนอยู่อาศัย”
ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา ในป่ามืดเร็วยิ่ง
ผู้นำทางรีบเลือกสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่งในการตั้งกระโจมที่พักก่อนฟ้าจะมืด ตัดไม้ฟืนจำนวนหนึ่งมาก่อกองไฟ
ทังกับจีบุตรชายทั้งสองสนอกสนใจไฟฉายของเชียนโม่มาก ถือไว้ในมือเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด ยังเคาะๆ แผ่นพลาสติกโปร่งใสที่ด้านหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งสี่นั่งกินอาหารแห้งอยู่ข้างกองไฟ ผู้นำทางมองเชียนโม่ สงสัยในฐานะของนางมากขึ้น ถามนางไม่หยุดว่าที่แท้แล้วบ้านของนางมีลักษณะเช่นไร ตอนนั้นนางมาได้อย่างไร
เชียนโม่อธิบายไม่ได้มากนัก บอกได้เพียงเธอจำได้ว่าผ่านภูเขาลูกนี้
“หรือจะอยู่บนฟ้า” จีสีหน้าตะลึงงัน
เชียนโม่ฝืนยิ้ม “ใช่ก็ดี จะได้บินกลับไป”
สองพี่น้องก็เห็นว่าคำพูดนี้เป็นจริง จึงซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่พักใหญ่ ราตรีกาลเริ่มมืดมิด ทั้งสี่เดินมาทั้งวันต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า พูดคุยกันไปกลับได้ยินเสียงกรน
เชียนโม่เอาเสื้อกันฝนปูบนใบไม้หนาๆ เอาเสื้อคลุมตัวยาวที่ใส่ตอนอยู่แคว้นฉู่มาห่อร่างแล้วหลับตานอน
เธอจิตใจกระสับกระส่าย ในสมองย้อนนึกถึงรายละเอียดตอนลื่นตกเนินเขาไม่หยุด กลัวมากว่าจะพลาดจุดใดจุดหนึ่งไป
เธอกลับมาที่นี่โดยมีความคิดว่าต่อให้มีความหวังเพียงหนึ่งในหมื่นก็ต้องลองดู แต่คำถามในท้ายที่สุดคำถามนั้นกลับไม่เคยมีคำตอบ
ถ้า…เธอกลับไปไม่ได้จริงๆ จะทำอย่างไร
เชียนโม่ไม่รู้โดยสิ้นเชิง หาคำตอบไม่ได้
มาถึงโลกแห่งนี้เธอต้องพบกับความยากลำบาก ได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย แรงศรัทธาที่ค้ำจุนเธอให้ยืนหยัดผ่านมาได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือกลับบ้าน
ถ้าแม้แต่ความคิดเพียงหนึ่งเดียวนี้ยังต้องสูญเสียไป…
เชียนโม่ไม่กล้าจินตนาการ เธอบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ต้องกลับไปได้!
ต้องกลับไปได้แน่นอน…
เลอะๆ เลือนๆ มาตลอดทั้งคืน ผ่านค่ำคืนมาท่ามกลางสายลมบนภูเขาและเสียงสัตว์ป่า วันรุ่งขึ้นเชียนโม่ก็ถูกเขย่าตัวให้ตื่น
“นอนต่อไม่ได้แล้ว!”สีหน้าของผู้นำทางไม่ค่อยดีนัก “ดูเหมือนอากาศกำลังจะเปลี่ยนแล้ว”
เชียนโม่ตกตะลึง มองๆ ท้องฟ้า ไม่ผิดจากที่พูด เมฆดำแผ่กระจายเต็มท้องฟ้า ดูเหมือนฝนกำลังจะตกอีกแล้ว ความง่วงหายไปในทันที เธอรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาเก็บข้าวของยัดเข้าไปในเป้
เดินตามเครื่องหมายที่ทิ้งไว้ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงเนินเขาที่เชียนโม่กลิ้งตกลงไปในตอนนั้น แหงนหน้ามองไปมีต้นไม้ไม่มาก เชียนโม่จำได้ว่าตนเองกลิ้งตกลงมาตลอดทาง ยังพอจะเห็นร่องรอยพุ่มไม้ที่ฉีกหักเล็กน้อย เธอเคยเดินย้อนขึ้นไปดูยอดเนิน แต่หาเส้นทางบนภูเขาที่เธอเดินไม่พบ ภายใต้ความอับจนปัญญา เธอจึงเลือกที่จะจากไป ปีนเขาข้ามสันเขา สุดท้ายก็เดินไปถึงหมู่บ้านบนภูเขา
มาบัดนี้เธอกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง อีกด้านหนึ่งของป่าไม้ที่เขียวขจี ใช่จะมีโลกของเธอปรากฏขึ้นมาในฉับพลันหรือไม่
เชียนโม่กัดริมฝีปาก ตั้งใจแน่วแน่ เอากระบี่ของฉู่หวัง เสื้อคลุมยาว และของอื่นๆ ที่เป็นของยุคสมัยนี้ออกมามอบให้ผู้นำทาง
“พวกเจ้าไม่ต้องตามข้าไป” เธอกล่าว “รอจนตะวันตรงหัว ถ้าข้าไม่กลับมา พวกเจ้าก็กลับไปได้เลย”
ทั้งสามคนงงงัน
เชียนโม่ไม่พูดอะไรอีก ส่งยิ้มให้พวกเขา “ตลอดทางที่ผ่านมาขอบคุณพวกเจ้ามาก” พูดจบเธอก็เดินขึ้นไปบนเนินเขาไม่หันหน้ากลับมาอีก
ทางขึ้นเนินเขาเดินลำบาก เชียนโม่เหนี่ยวกิ่งไม้เดินไปทีละก้าวๆ ด้วยความยากลำบาก แต่ก็ไม่ได้หยุดพัก
ตอนเดินไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็มีน้ำหยดถูกศีรษะ เชียนโม่แปลกใจ เงยหน้าขึ้น สวรรค์ไม่เป็นใจจริงๆ ฝนตกลงมาอีกแล้ว ตกต้องใบไม้เสียงดังเปาะแปะ
เธอรีบหยิบหมวกกับเสื้อกันฝนออกมาสวมใส่ไว้ ฝนตกแรงขึ้นทุกที ซัดสาดถูกตัวเธอแล้วไหลตามเสื้อกันฝนลงมาเปียกรองเท้า เหมือนกันไม่มีผิดกับวันนั้นที่เธอเจอพายุฝนอย่างฉับพลันกะทันหัน
ในใจออกจะรู้สึกหวั่นหวาด แต่เชียนโม่ไม่คิดจะล้มเลิกเพียงเท่านี้ ตอนเธอค้นหาทางครั้งก่อนเจอช่วงท้องฟ้าปลอดโปร่งหลังฝนตกพอดี แต่กลับไม่ได้อะไรเลย สวรรค์รู้ช่องทางที่จะกลับไปสู่ปัจจุบัน ใช่ซุกซ่อนอยู่ในพายุฝนเช่นนี้หรือไม่
ความกล้าหาญไหลบ่าออกมา เธอไม่อาจมัวมาคำนึงถึงอะไรมากมาย ปีนป่ายต่อไป ต้นไม้หนาทึบขึ้นทุกที บดบังการกระหน่ำของสายฝน เชียนโม่ปีนขึ้นมาได้อีกระยะ ภาพเบื้องหน้าสว่างโล่งคล้ายขึ้นมาถึงยอดเนินแล้ว เธอใช้ทั้งมือและเท้าเร่งเดินไปหลายก้าว เพียงเห็นท่ามกลางม่านฝนขาวโพลนยังคงมีแต่ป่าทึบ ไม่มีถนน…
หัวใจของเชียนโม่เต้นตึกตัก มองไปรอบๆ อย่างไม่ยอมแพ้ราวกับคนเสียสติ เธอตะโกนเรียกชื่อเพื่อนร่วมชมรมเสียงดัง ตะโกนจนเจ็บคอ
ไม่มีคนขานรับ
ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำซัดสาด ต้นไม้ ภูเขา ก้อนหินยังคงสงบนิ่งเฉยเมยไร้ถ้อยคำ ทึ่มทื่อโง่เขลาและดื้อรั้น
เธอกำลังตกตะลึงพรึงเพริดทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นเสียงครืนครั่นก็ดังมาจากด้านบน
เชียนโม่แหงนหน้ามองไป เพียงรู้สึกว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ มีเม็ดกรวดตกใส่ศีรษะและใบหน้าของเธอ ดูเหมือนใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน!
ในใจของเชียนโม่บอกว่าแย่แล้ว รีบวิ่งไปที่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว พุ่มไม้เตี้ยและกิ่งไม้ที่เปียกลื่นด้วยน้ำฝนตีถูกใบหน้าและลำตัวของเธอไม่หยุด เชียนโม่ไม่สนใจไม่คำนึงถึง วิ่งตะบึงไปข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณ เพิ่งจะมาถึงข้างเขาอีกด้านหนึ่งก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้คนอกสั่นขวัญกระเจิง
เชียนโม่หอบหายใจ หันกลับไปมองทั้งที่ยังใจคอไม่สงบ เลือดภายในร่างจับตัวแข็งไปในทันที
เนินเขาที่เธอปีนป่ายขึ้นไปเมื่อครู่ เนินเขาที่ก่อนหน้านี้เธอกับเพื่อนร่วมชมรมเคยเดิน รวมทั้งป่าไม้ไม่มีอยู่อีกแล้ว ภาพเบื้องหน้ามีแต่ความกว้างโล่ง น้ำที่ไหลทะลักลงมาจากยอดเขาได้พัดพาเอาดินหินลงมา ประดุจกระแสน้ำที่ไหลบ่า ซัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ตะลึงงันอยู่พักใหญ่ เธอจึงนึกถึงผู้นำทางสามคนขึ้นมาได้
เธอให้พวกเขารออยู่ที่ด้านล่างเนินเขา คงไม่…
ในใจสั่นสะท้านอย่างใหญ่หลวง เชียนโม่รีบมองลงไปที่เชิงเขาแล้วร้องตะโกนเรียกชื่อพวกเขา “…ทัง! จี!”
เสียงดังอยู่ในป่า แห้งเบาและแหบพร่า
เธออยากลงจากภูเขา แต่กลับหาเส้นทางไม่พบ ได้แต่ร้องตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่าจนปากคอแห้งผาก ปรากฏว่ากลับเหมือนกับโลกใบนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีใครขานรับเธอ
ความหวาดกลัวที่ไร้ความปรานีแผ่ลามเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง เชียนโม่ยืนอยู่ครู่หนึ่ง มองท้องฟ้าที่ยังเต็มไปด้วยก้อนเมฆดำทะมึน
เสียงฟ้าร้องครืนครั่นที่ขอบฟ้าคล้ายฝนระลอกใหม่กำลังก่อตัว
เชียนโม่รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ครู่หนึ่งก็ทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินด้านหลังแล้วร่ำไห้ออกมา
เธอกลับไปไม่ได้แล้ว
กลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ!
เธอถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่ ไม่ว่าที่ไหนก็ไปไม่ได้…
เธอไม่อยากตาย
แต่จะทำอย่างไรดี…ทำอย่างไรดี
“เชียนโม่…”
เธอซุกหน้าลงกับเป้ ท่ามกลางความสับสนเลอะเลือน ในสมองคล้ายมีเสียงที่เคยคุ้นเสียงหนึ่งดังขึ้น
บรรดาคนที่เรียกเธอเช่นนี้ได้อยู่คนละโลกกับเธอแล้ว ไม่มีวันได้พบเจอกันอีกแล้ว
เธอร้องไห้จนสาแก่ใจไปรอบหนึ่งจึงได้เก็บน้ำตา พลันนึกถึงผู้นำทางสามพ่อลูกนั่นอีก พวกเขาอยู่ที่ไหน เธออยากไปตามหาพวกเขา แต่สถานที่แห่งนี้เธอไม่อาจลงไปได้
ในใจยิ่งรู้สึกหงุดหงิดโมโหและเสียใจ น้ำตาไหลพรากลงมาอีกครั้ง
เธอไม่เพียงทำเส้นทางกลับบ้านหายไป ยังทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อน…เชียนโม่เช็ดน้ำตาบนใบหน้า น้ำตากลับยังไม่หยุดไหล ความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดยังน่ากลัวกว่าดินหินที่ไหลทะลัก ทำให้สิ่งค้ำยันสุดท้ายในใจของเธอถูกทำลายไปจนหมดสิ้น…
เชียนโม่นั่งอยู่บนก้อนหินนิ่งไม่ขยับ ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ดวงอาทิตย์แย้มหน้าออกมาจากร่องเล็กๆ ของชั้นเมฆ แสงอาทิตย์ร้อนแผดเผาสาดกระทบร่าง เธอไม่กระดุกกระดิก คล้ายเป็นเพียงร่างที่รู้จักหายใจเท่านั้น
ฉัน…อาจตายอยู่ที่นี่กระมัง…คิดในใจ
“โม่…” เธอเหมือนได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
อย่าเรียกอีกเลย อีกไม่นานฉันก็จะกลับไป ไม่นาน…
แต่ไม่นานนักเธอก็คล้ายได้ยินเสียงสวบสาบ ฟังดูชัดเจนอยู่หลายส่วน
เชียนโม่ในใจตะหนกวาบ รีบเงยหน้าขึ้น เหลียวมองไปรอบด้าน หมู่เขากับป่าไม้ยังคงเงียบสงบ
ความรู้สึกลวงหรือ
ทันใดนั้นเองต้นไม้ใหญ่ที่ด้านล่างก็สั่นเล็กน้อย คนผู้หนึ่งพลันปีนขึ้นมา
ทั่วร่างของเขาเปียกโชก พริบตาที่มองเห็นเธอ หว่างคิ้วก็คลี่ออก ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า
อะ…อะไรกัน
เชียนโม่มองเขาอย่างตะลึงงัน กระทั่งลืมว่าจะเช็ดน้ำตา
ฉู่หวังปัดๆ เศษหญ้าบนมือแล้วก้มลงมองเธอ “แรงงานหญิงโม่ ถ้ากว่าเหรินไม่มา เจ้าคิดจะนั่งร้องไห้อยู่ที่นี่จนฟ้ามืดหรือ”
เชียนโม่มองฉู่หวัง ยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“ท่าน…” เชียนโม่อ้าปากแต่กลับพูดอะไรไม่ออก เสียงแหบแห้งเหมือนมีอะไรตีบตันอยู่ในลำคอ
ฉู่หวังมองประเมินนาง สายตากวาดมองตั้งแต่หมวกประหลาดบนศีรษะนาง มาถึงเสื้อคลุมยาวที่เปียกโชกบนตัว แล้วมองรองเท้าของนาง…ยังมีห่อผ้าใบโตนั่น
มุมปากของเขากระตุกไหวสองสามครั้ง จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“เจ้า…นี่มันเสื้อผ้าอะไรของเจ้า” เมื่อก่อนเขาก็รู้สึกว่าหญิงผู้นี้ชอบกล มาวันนี้ได้เห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้อีก รู้สึกว่าทั้งสอดคล้องกับตัวนางและทั้งน่าขัน
เชียนโม่อึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าถูกฉู่หวังทำให้ตกใจหรือรู้สึกว่าถูกหัวเราะเยาะ ขอบตาเริ่มแดงขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมา
ฉู่หวังชะงักอึ้ง
“ร้องไห้ทำไม กว่าเหรินมาแล้ว…แรงงานหญิงโม่…” เขาขมวดหัวคิ้ว คิดจะเอ่ยคำปลอบใจ แต่ก็ไม่รู้ต้องพูดอย่างไร
เชียนโม่ซุกหน้าลงกับเป้สะพายหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้าจะกลับบ้าน…ฮือๆ…”
“อืม กลับบ้าน ส่งเจ้ากลับบ้าน!” ฉู่หวังรีบกล่าว
“กลับไปไม่ได้แล้ว…ฮือๆ…” เสียงของเชียนโม่ราวกับหัวใจแตกสลาย “กลับไปไม่ได้แล้ว…”
ฉู่หวังตะลึงงัน
“กลับไปไม่ได้” เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ถามเสียงต่ำ “เพราะเหตุใดจึงกลับไปไม่ได้”
“ถนน…ถนนถูกทำลายแล้ว! ฮือๆๆ…”
ฉู่หวังหันหน้าไป เห็นเนินเขาที่ถูกถล่มจนเหลือแต่ดินโคลน ดวงตาพลันสว่างวาบ
“ก็แค่ถนนเส้นนี้ถูกทำลาย ถนนสายอื่นเล่า อ้อมภูเขาลูกนี้ไป…”
“ไม่…ไม่มีถนนสายอื่น มีเพียงที่นี่…ฮือๆ! ฮือๆๆ…” เชียนโม่ยิ่งเสียใจหนัก หัวไหล่สั่นสะท้านไม่หยุด
ฉู่หวังมองนาง ลำคอรู้สึกตีบตัน
เขาพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “แรงงานหญิงโม่ ตามกว่าเหรินกลับไปเถิด!”
เชียนโม่ยังคงร้องไห้
“แรงงานหญิงโม่…”
“ข้า…ไม่ไปไหนทั้งนั้น…” เชียนโม่เงยหน้าขึ้น ใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าพลางสะอึกสะอื้น “ไม่ไปไหนทั้งนั้น…”
ฉู่หวังยิ้ม “ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะนั่งรอความตายอยู่ที่นี่หรือ”
เชียนโม่ไม่ส่งเสียง ยังคงเช็ดน้ำตา
“ต้าหวัง!” มีเสียงร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงดังมาจากด้านล่าง
ฉู่หวังขานรับไปคำหนึ่งแล้วหันมามองเชียนโม่อีกครั้ง กล่าวด้วยความอดทน “แรงงานหญิงโม่ ลงจากเขาก่อน มีเรื่องอะไรลงจากเขาแล้วค่อยปรึกษาหารือกัน”
เชียนโม่มองเขาด้วยอารมณ์หม่นหมอง ครู่ใหญ่ก็เช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้า
ฉู่หวังโล่งอก หันตะโกนไปทางด้านล่าง “จื่อโหยว!”
มีคนขานรับคำหนึ่ง ไม่นานเชือกป่านเส้นหนึ่งก็ถูกโยนขึ้นมา ฉู่หวังรับมาก่อนจะเอาไปพันกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งหลายรอบแล้วผูกเป็นปมแน่น
เชียนโม่รู้ว่าเขาจะอาศัยเชือกเส้นนี้ไต่ลงไปจึงยืนขึ้นมา เอาเป้ขึ้นสะพายหลังอีกครั้ง เสื้อกันฝนกับหมวกล้วนไม่สะดวกต่อการปีนป่าย เธอจึงถอดออกแล้วเก็บให้เรียบร้อย
ฉู่หวังลงไปก่อนแล้ว เขาใช้มือข้างหนึ่งจับเชือก เท้าเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ ทดสอบความแข็งแรงของเชือก
“แรงงานหญิงโม่” เขาเรียก
เชียนโม่ขานรับแล้วจับเชือกไต่ตามลงไป
ฉู่หวังเงยหน้า เห็นกางเกงยีนที่เชียนโม่สวมใส่อยู่ สายตาพลันจับนิ่ง
น้ำหนักตัวของเชียนโม่บวกกับเป้สะพายหลังห้อยอยู่กับเชือกดูกินแรงมาก ดีที่หน้าผาแห่งนี้มีต้นไม้ขึ้นอยู่มาก จึงหาที่วางเท้าได้ไม่ยาก ฉู่หวังยืนอยู่บนลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง มือเกาะผนังผามองเชียนโม่ไต่ลงมา เชียนโม่ค่อยๆ หยั่งเท้าลงมาทีละก้าวๆ ตอนแรกยังนับว่าราบรื่น แต่พอจะพักเท้าพลันได้ยินเสียงกร๊อบ เชียนโม่เหยียบพลาด รีบออกแรงจับเชือกไว้แน่น
มือดึงรั้งจนเจ็บ เชียนโม่ร้องด้วยความตกใจ ร่างแกว่งไปมาไร้ที่ยึดเหนี่ยว ฉับพลันนั้นเป้ของเธอก็ถูกคว้าไว้ พอตั้งหลักได้เธอก็ถูกมือข้างหนึ่งโอบรอบเอว
“ก้าวเท้าตามกว่าเหริน” เสียงฉู่หวังดังขึ้นเบาๆ
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของกันและกัน ใบหน้าของเชียนโม่แทบจะสัมผัสถูกหัวไหล่ของเขา ขณะหายใจก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่เคยคุ้น เป็นกลิ่นเหงื่อปะปนกับกลิ่นน้ำฝน พอช้อนตาขึ้นก็จะเห็นลูกกระเดือกของเขา…
เชียนโม่ไม่กล้าขยับตัวส่งเดช ฟังคำพูดของเขา ขาแนบติดตามไป เหยียบลงบนต้นไม้ต้นเดียวกับเขา
“ไต่ลงไปอีก มองให้ดีล่ะ!”ฉู่หวังพูดต่อ
เชียนโม่เก็บความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาไว้ ก้าวเท้าตามเขาไปทีละก้าวๆ กิ่งที่แยกออกไปของต้นไม้ถูกเหยียบจนสั่นไหว ส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บ
หน้าผาแห่งนี้สูงราวสิบเมตรได้ ในที่สุดทั้งสองก็ลงถึงพื้น ค่อยวางใจลงได้
“ต้าหวัง!” ผู้ติดตามทั้งหลายพากันเข้ามาห้อมล้อม
ฉู่หวังมองเชียนโม่ นัยน์ตาแวววาว ตอนจะปล่อยมือ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
“พวกเจ้าอย่าเข้ามา! ถอยไปอยู่หลังต้นไม้แล้วหมุนตัวไปให้หมด!”
เอ๋?
ทุกคนต่างแปลกใจ ทว่าก็ได้แต่ทำตามคำสั่งโดยดี หมุนตัวเดินไปอยู่หลังต้นไม้
เชียนโม่เองก็แปลกใจ พอก้มหน้ามองตามสายตาของฉู่หวังจึงได้เข้าใจว่าเพราะอะไร เธอรีบถอดเสื้อคาร์ดิแกนออกมาพันรอบใต้เอวไว้
ฉู่หวังสายตาไม่สงบนิ่ง กระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “คนทางบ้านเจ้าล้วนเป็นเช่นนี้หรือ แต่งตัวเช่นนี้เหมือน…” เขาคล้ายหาคำพูดมาบรรยายไม่ถูก นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วสั่ง “ต่อไปถ้ากว่าเหรินไม่ได้บอกให้เจ้าใส่ เจ้าห้ามใส่เด็ดขาด!”
เชียนโม่อยากจะโต้แย้ง แต่พอสบเข้ากับสายตาบังคับข่มขู่ก็ได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไป
ฉู่หวังเห็นนางไม่พูดอะไรก็พอใจ แล้วจึงสั่งให้ผู้ติดตามทั้งหลายเข้ามาเก็บเชือก
รอจนออกจากป่า เชียนโม่จึงเห็นผู้ติดตามฉู่หวังกลุ่มนี้ว่ามีจำนวนหลายสิบคน ยืนอยู่ข้างนอกศีรษะดำมืดไปหมด
เชียนโม่แปลกใจ เห็นอยู่ว่ามีคนให้เรียกใช้มากมายเช่นนี้ ฉู่หวังกลับไต่กิ่งไม้ขึ้นไปหาเธอคนเดียว…
“โม่!” เสียงหนึ่งดังขึ้น เชียนโม่มองไปก็เห็นผู้นำทางวิ่งเข้ามา ข้างหลังมีบุตรชายสองคนตามมาด้วย
ได้เห็นพวกเขา หินก้อนใหญ่ที่แขวนอยู่ในใจเชียนโม่ก็ตกลงมา รีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขา ถามพวกเขาด้วยความเป็นห่วงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“จะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร” ผู้นำทางยิ้มซื่อ “พวกข้าพอได้ยินเสียงผิดสังเกตก็รีบหาที่หลบแล้ว กลับเป็นห่วงเจ้า หาเจ้าอยู่นานก็หาไม่พบ คิดไม่ถึงว่ากลับไปเจอชาวฉู่!” พูดจบเขาก็ชำเลืองตามองไปทางฉู่หวัง บนใบหน้ามีแววระแวดระวัง
เชียนโม่ยิ้มแล้วมองทังกับจี เห็นพวกเขาปลอดภัยดี ในใจก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
“โม่” จีถามด้วยความอยากรู้ “เส้นทางที่เจ้าจะกลับบ้าน หาพบแล้วหรือไม่”
เชียนโม่สีหน้าหม่นหมองพลางสั่นศีรษะ
ทั้งสามมองหน้ากัน แม้จะไม่เหนือความคาดหมาย แต่ยังคงมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ลงจากเขาเถิด” ในเวลานี้เองฉู่หวังก็เดินเข้ามากล่าวกับเชียนโม่
เชียนโม่มองเขาแล้วรับคำ ขณะจะเดินไป เป้บนไหล่ก็ถูกฉู่หวังปลดลงมา
“จื่อโหยว!” เขาเรียกออกมาคำหนึ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบขานรับแล้ววิ่งออกมาจากกลุ่มคน
เชียนโม่เข้าใจแล้วว่าฉู่หวังคิดจะทำอะไรก็รีบบอก “ไม่ต้อง ข้าถือเองได้!”
ฉู่หวังกลับไม่สนใจนาง เอาเป้สะพายหลังยื่นให้ชายหนุ่มผู้นั้น “ของสิ่งนี้มอบให้เจ้าดูแล ห้ามมีอะไรเสียหาย”
ชายหนุ่มรับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พ่ะย่ะค่ะ!”
เชียนโม่ยังคงไม่วางใจ คิดจะเอากลับมา กลับถูกฉู่หวังดึงแขนไว้
“ให้เขาถือเถิด!” ฉู่หวังกล่าวกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “บิดาของเขาให้เขามารับใช้กว่าเหริน หากไม่ให้เขาทำอะไรบ้าง กว่าเหรินคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขไปตลอดทาง”
เสียงของเขาทุ้มต่ำ มีความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน
เชียนโม่มองเขา เหงื่อเปียกชุ่มจอนผมของเขาจนดำวาว เสื้อผ้าก็เปียกโชกแล้ว ลำคอสีแทนเพิ่งจะผ่านการเช็ดแรงๆ จึงมีสีแดงเล็กน้อย
เธอไม่พูดอะไรอีก เพียงพยักหน้า
เส้นทางขากลับเดินไม่ลำบากนัก
กองกำลังคนกลุ่มใหญ่คอยฟันขวากหนามบุกเบิกทางอยู่ข้างหน้า พอมาถึงช่วงที่เชียนโม่เดิน เส้นทางก็ราบเรียบไร้สิ่งกีดขวางแล้ว เชียนโม่เดินตามหลังฉู่หวังนิ่งเงียบมาตลอดทาง ฉู่หวังก็ไม่ถามอะไรมาก เรียกผู้นำทางมาถามเรื่องบางอย่างทั่วๆ ไป
เพราะก่อนหน้านี้ชาวฉู่เคยมาโจมตีเผ่าซู ตอนแรกผู้นำทางพ่อลูกจึงหวาดระแวงชาวฉู่อยู่มาก หลบไปอยู่ห่างๆ แต่กับฉู่หวัง พวกเขาไม่อาจล่วงเกิน เมื่อถูกเรียกตัวก็เข้ามาหาแต่โดยดี คิดไม่ถึงว่าฉู่หวังกลับไม่ได้วางท่าสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นแม้แต่น้อย กลับพูดคุยกับผู้นำทางถึงเคล็ดลับต่างๆ ในการล่าสัตว์ ซึ่งพูดได้มีเหตุผลน่าฟังมาก ผู้นำทางและคนอื่นๆ ต่างแปลกใจยิ่ง ตลอดทางสนทนากันได้อย่างถูกคอ กระทั่งความหวั่นหวาดในช่วงก่อนหน้านี้ก็ลดน้อยลงมาก
ดวงตะวันอยู่เหนือศีรษะ ฉู่หวังหยิบถุงหนังใส่น้ำดื่มมาดื่มน้ำลงไปคำหนึ่ง แล้วอดหันมามองเชียนโม่ไม่ได้
เชียนโม่เดินไปเงียบๆ บนศีรษะสวมหมวกใบนั้น ใต้ปีกหมวกเห็นเพียงริมฝีปากและปลายคาง
ฉู่หวังคิดไปคิดมาก็ยื่นถุงหนังใส่น้ำดื่มมาให้ “ดื่มหรือไม่”
เชียนโม่เงยหน้ามองเขา เอ่ยเบาๆ “ข้ามี”
ฉู่หวังชำเลืองมองกาน้ำในมือของนางที่ไม่รู้ทำมาจากอะไรแวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ
ชาวฉู่กับชาวซูต่างชำนาญการปีนเขาข้ามสันเขาเหมือนกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉู่หวังล้วนเป็นทหารที่องอาจห้าวหาญเต็มไปด้วยกำลังวังชา ก่อนหน้านี้พวกเชียนโม่เนื่องจากต้องตามหาเครื่องหมายจึงจำใจต้องอ้อมไปในทางที่ไม่ได้อยากไป ขากลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ทุกคนจึงเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด แม้ตอนเริ่มออกเดินทางจะเลยยามอู่มาแล้ว แต่หลังล่วงเข้าพลบค่ำได้ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านบนเขาแล้ว
เชียนโม่มองไป เพียงเห็นที่ริมฝั่งน้ำมีแสงไฟทอดติดต่อกันยาวเหยียด เรือใหญ่หลายลำจอดอยู่ เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นเรือที่ฉู่หวังนำมา
“แรงงานหญิงโม่!” ซื่อเหรินฉวีเห็นเชียนโม่แต่ไกลก็วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ มองนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โชคดี! โชคดี! ข้ายังนึกว่าเจ้าจะถูกหมาป่าคาบไปแล้ว!”
เมื่อได้มาพบกับบรรดาคนที่เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งกล่าวคำอำลากันไปอย่างจริงจัง เข้าใจว่าคงไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกแล้ว ในใจของเชียนโม่ก็รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
เธอส่งเสียงขานรับไปคำหนึ่ง อยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก
ซื่อเหรินฉวีเห็นนางท่าทางมีเรื่องหนักอกหนักใจก็ไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย
ฉู่หวังให้จื่อโหยวคืนกระเป๋าให้เชียนโม่ สั่งให้ซื่อเหรินฉวีพานางไปพักผ่อน ซื่อเหรินฉวีรับคำ ขยิบๆ ตาให้เชียนโม่แล้วพานางเดินจากไป
มู่หวังบิดาของฉู่หวังทำลายล้างแคว้นซู ทุกเผ่าในดินแดนซูต่างอยู่ใต้อำนาจของฉู่ ตอนต้นปีคนยงปลุกระดมชนเผ่าหรงชนเผ่าอี๋ทุกเส้นทางให้ก่อกบฏชาวซูก็รวมอยู่ในนั้นด้วย และได้ถูกซือหม่าโต้วเจียวนำกองกำลังทหารปราบปราม รุกไล่จนพ่ายแพ้ยับเยิน
ค่ำคืนของเมื่อวันวาน จู่ๆ เรือของฉู่หวังก็มาจอดที่ริมฝั่ง คนในหมู่บ้านเข้าใจว่าภัยพิบัติมาถึงตัวแล้ว ทว่าเหนือความคาดหมาย ฉู่หวังกลับไม่ได้เคลื่อนไหวกระทำการอะไร เพียงส่งตัวแทนมาถามด้วยความเกรงอกเกรงใจว่าสตรีที่ชื่อโม่ผู้นั้นอยู่ที่ใด
หลังจากหัวหน้าเผ่าตอบคำถามอย่างตัวสั่นงันงก เขาก็ยิ่งต้องตกใจจนปากอ้าตาค้าง ด้วยฉู่หวังถึงกับเสด็จมาด้วยตัวเอง
วัดเล็กมีเทพใหญ่มาเยือน ทุกคนในหมู่บ้านไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างไม่กล้าเมินเฉย ได้แต่สั่งอะไรมาก็ทำตาม สิ่งที่ฉู่หวังต้องการก็ไม่มีอะไรมาก เพียงถามรายละเอียดถึงทิศทางที่เชียนโม่ไป สั่งการให้ทหารที่ชำนาญการสะกดรอยนำทาง แล้วขึ้นเขาไปตามหาเชียนโม่
บัดนี้พวกเขากลับลงมาอย่างปลอดภัยแล้ว หัวหน้าเผ่าต้อนรับขับสู้เต็มที่ ไม่กล้าให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง
ซื่อเหรินฉวีแต่ไรมาก็ปรนนิบัติดูแลได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จัดเตรียมน้ำอุ่นและสิ่งของเสื้อผ้าที่จะต้องผลัดเปลี่ยนทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว เชียนโม่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอชำระล้างร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำมีความอุ่นอยู่เล็กน้อย ราดรดตั้งแต่ศีรษะลงมา เส้นผมเปียกชุ่มแนบติดอยู่กับหลัง เรื่องที่ได้พบได้เจอมาทั้งหมดในช่วงสองวันนี้ผุดขึ้นมาในสมองตามสายน้ำใสสะอาดที่ราดรดลงมาทีละขันๆ การเฝ้ารอคอย ความกระสับกระส่ายร้อนรนใจ ความหวาดกลัว ความเศร้าโศกเสียใจ ความสิ้นหวัง…กระทั่งตอนได้รับการช่วยเหลือในท้ายที่สุด เธอก็ไม่ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง
เธอลูบน้ำบนใบหน้า สมองที่ถูกกระบวนความคิดซับซ้อนยุ่งเหยิงรุมเร้า ในที่สุดก็เริ่มสงบเยือกเย็นขึ้นบ้าง
ในใจคิดถึงฉู่หวังขึ้นมา
คนโง่เท่านั้นที่จะเข้าใจว่าเขาบังเอิญผ่านมาทางนี้และถือโอกาสช่วยเธอไว้ เขาทุ่มเททำเพื่อเธอถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้ก็เป็นปัญหาเรื่องจ่ายค่าตอบแทนแล้ว
หลังจากเชียนโม่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกร่างกายหนาวเย็น จึงรีบเช็ดตัวให้แห้ง
เธอกลับมาสวมเสื้อคลุมยาวของชาวฉู่อีกครั้ง เดินออกมาก็มีสาวใช้รออยู่แล้วและใช้ผ้าช่วยเช็ดผมให้เธอ
ซื่อเหรินฉวีเข้ามาก่อนจะสั่งให้สาวใช้ล่าถอยออกไป เขามองเชียนโม่แล้วทอดถอนใจ
“ในพระทัยของต้าหวังคิดถึงเจ้า” เขากล่าว “เหล่าขุนนางในแคว้นอยากให้ต้าหวังเสด็จไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่ง สับเปลี่ยนกันมาเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า ต้าหวังก็ทรงไม่ยอมพยักหน้า แต่พอได้ยินว่าเจ้ากลับบ้านหนทางยากลำบาก ไม่ทรงคิดอะไรมากก็เสด็จมาเลย”
“ได้ยิน?” เชียนโม่เงยหน้า ในที่สุดก็ยอมเปิดปาก “ได้ยินใครว่าหรือ”
ซื่อเหรินฉวีแสยะปากยิ้มยอมรับโดยปริยาย
เชียนโม่เม้มๆ ปาก ก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ต้าหวังมีรับสั่ง ไม่พักค้างแรมที่นี่ แรงงานหญิงโม่ หลังจากเจ้าเก็บข้าวของเสร็จก็ตามพวกข้ากลับไปเถิด” ซื่อเหรินฉวีกล่าวกับเชียนโม่
เชียนโม่ไม่ได้ตอบ
ซื่อเหรินฉวีมองนาง อดร้องเรียกไม่ได้ “แรงงานหญิงโม่…”
“พาข้าไปพบต้าหวังเถิด” เธอเงยหน้า เอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้ามีคำพูดอยากจะพูด”
เชียนโม่ไม่อยากตาย ต่อให้รู้ว่าตนไม่อาจกลับไปได้แล้วก็ยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายเธอก็กลับมาเส้นทางเดิมอีกครั้ง หลังจากไตร่ตรองถึงสถานะของตนในเวลานี้อย่างรอบคอบแล้ว เธอก็ต้องยอมรับด้วยความเศร้าใจว่าซื่อเหรินฉวีพูดได้ไม่ผิด
ติดตามฉู่หวังคือทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอ
แต่จะติดตามอย่างไร จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในตำหนักฝ่ายในของเขาหรือ
เชียนโม่จินตนาการไม่ออก เรื่องนี้ออกจะเกินความรู้ความเข้าใจของเธอไปแล้ว
พูดตามความเป็นจริง ฉู่หวังเป็นคนไม่เลวคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล รูปร่างหน้าตาหรือท่าทีที่มีต่อเธอ ต่อให้อยู่ในสมัยปัจจุบันก็เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม แต่เชียนโม่กระจ่างแก่ใจดี การใช้ชีวิตอยู่กับฉู่หวัง เธอไม่มีทางได้ใช้ชีวิตเช่นแต่ก่อนในช่วงที่มีความรัก งอนกัน ทะเลาะกัน อีกฝ่ายยังต้องงอนง้อให้เธอกลับมา ซื่อเหรินฉวีบอกเธออย่างชัดเจนแล้ว ฉู่หวังแม้ไม่ได้แต่งภรรยาอย่างเป็นทางการ แต่เชียนโม่อย่างมากก็เป็นได้เพียงสนมคนหนึ่ง ในตำแหน่งนั้นฉู่หวังก็คือศูนย์กลาง เขาคือผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ
หากมีเรื่องอะไรไปทำให้เขาโมโห จะสังหารเธอทิ้งก็แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น
หลินเชียนโม่ เธอต้องการเช่นนี้จริงหรือ
มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาในใจ
เชียนโม่นั่งอยู่บนเตียง มองจ้องปลายเท้าของตนนิ่ง
ซื่อเหรินฉวีที่ไปรายงานไม่นานก็กลับมา ก่อนจะพาเชียนโม่ไปพบฉู่หวัง
ฉู่หวังอยู่บนเรือ ยามค่ำคืนแสงไฟสะท้อนภาพกลับหัวอยู่บนผิวน้ำ คล้ายดั่งด้านล่างของลำเรือยังมีห้องโดยสารอีกชั้นหนึ่ง ซื่อเหรินฉวีพาเชียนโม่ขึ้นมาบนเรือ เชียนโม่เห็นแสงไฟในห้องโดยสารแล้ว
ซื่อเหรินที่อยู่บนเรือเห็นเชียนโม่มา ใบหน้าก็มีท่าทีคลุมเครือมีเลศนัย
“ไปเถิด” ซื่อเหรินฉวียิ้มน้อยๆ ไม่เดินต่อไปอีก รวบชายแขนเสื้อยืนอยู่ที่กราบเรือ
เชียนโม่มองๆ พวกเขา ครู่เดียวก็มองไปทางห้องโดยสารแล้วเดินเข้าไปตามลำพัง
ฉู่หวังนั่งอยู่บนตั่ง คล้ายเพิ่งอาบน้ำมา เขาสวมเพียงเสื้อตัวใน คอเสื้อที่อ่อนนุ่มแบะออกเล็กน้อย ท่าทางดูผ่อนคลายสบายใจ ในมือของเขาถือของเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง เหมือนกำลังชื่นชมพินิจพิเคราะห์ ครั้นเชียนโม่เข้ามา เขาก็ชำเลืองตาขึ้น สายตาจับจ้องมาที่ร่างของเธอ
เห็นเสื้อผ้าที่เชียนโม่สวมใส่และเส้นผมยาวที่ม้วนขึ้นของนาง ฉู่หวังก็ยิ้ม “เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ดูดีกว่า”
เชียนโม่ไม่รู้ควรพูดต่อเช่นไร ออกจะกะทันหันเกินไป
“มานี่” ฉู่หวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เชียนโม่มองเขา หัวใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ครู่หนึ่ง ยังคงเดินเข้าไป
“นั่งลง”
เชียนโม่ลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วทำตามที่เขาสั่งคุกเข่าลงที่หน้าตั่ง
ฉู่หวังมองนางขณะยื่นมือไป
เชียนโม่ในใจตระหนกวาบ เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตญาณ
“อย่าขยับ!” ฉู่หวังเอ่ยเสียงต่ำ นิ้วมือจับปลายคางนางไว้เบาๆ
บนศีรษะรู้สึกคันยุบยิบ เชียนโม่ตัวแข็งทื่อ ชะงักค้าง
ผ่านไปครู่หนึ่งฉู่หวังก็ยิ้ม “เสร็จแล้ว”
เชียนโม่ยกมือขึ้นคลำดูด้วยความสงสัย แล้วก็เจอของลื่นๆ ชิ้นเล็กๆ บนศีรษะ
เป็น…กิ๊บติดผม
เธองงงัน
“นี่เป็นของที่เจ้าทิ้งไว้กับกว่าเหรินตอนอยู่เขาถงซานคราวก่อน” น้ำเสียงของฉู่หวังหนักและเนิบช้า “หลินเชียนโม่ เวลานี้ของกลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว”
เชียนโม่มองเขา มีท่าทีอึ้งตะลึง
เขา…เอ่ยชื่อของเธอออกมา แม้การออกเสียงจะแปลกๆ แต่ก็เป็นชื่อของเธอจริงๆ
ฉู่หวังเห็นเชียนโม่จ้องมองตน ดวงตาคู่นั้นดุจแก้วเจียระไนสีดำ แวววาวอ่อนหวานละมุนละไม ในใจของเขาสะท้านหวั่นไหว ประกายตาวาววับ นิ้วมือไล้ผ่านข้างแก้มนาง เขามองกลีบปากที่เย้ายวนใจก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้…
ในอ้อมแขนกลับว่างเปล่า
ฉู่หวังประหลาดใจ มองเชียนโม่ที่จู่ๆ ก็หมอบกราบลงกับพื้น
“ต้าหวัง” เชียนโม่เอ่ยขึ้นเบาๆ น้ำเสียงไม่ค่อยมั่นคง “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอความเมตตา!”
ภายใต้แสงไฟ สีหน้าฉู่หวังไม่แตกต่างจากเดิม
“เรื่องอะไร” ครู่หนึ่งเขาก็เปิดปากถาม
“ต้าหวังเคยตรัสว่าจะช่วยถอดถอนข้าจากความเป็นทาส และใช้ชีวิตอยู่ที่แคว้นฉู่ได้” เชียนโม่กล่าว “ต้าหวังทรงเมตตาช่วยเหลือ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน เพียงขอให้ต้าหวังส่งตัวข้าไปทำงานในราชสำนัก ให้ข้าได้อุทิศตนรับใช้ต้าหวัง”
ฉู่หวังประหลาดใจอย่างยิ่ง
เขารู้มานานแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้มีความคิดแตกต่างจากคนทั่วไป และคาดการณ์อยู่ก่อนว่าบางทีนางอาจจะยังดื้อรั้นอยากกลับบ้าน ไม่สมัครใจจะตามเขากลับแคว้นฉู่ เขายังเคยคิดว่าถ้านางไม่ยอมไป ต่อให้ต้องจับมัดก็จะพานางกลับไปให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกินอาหารไม่รู้รสชาติไปวันๆ
คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะอยู่หรือไปนางกลับคล้อยตามโดยดี แต่ว่า…เข้าทำงานในราชสำนัก
ฉู่หวังเพียงรู้สึกไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เจ้าจะอุทิศตนรับใช้อย่างไร จะทำงานด้านใด” เขาถามอย่างนึกสนุก
เชียนโม่กล่าว “ข้าทำอะไรได้มากมาย อ่านออกเขียนได้ วาดภาพก็ได้ ยังคิดเลขได้…” พูดถึงคิดเลข ในใจพลันเกิดความคิด “ข้าเชี่ยวชาญการคิดเลขเป็นพิเศษ ภาษีที่นาทองคำแพรไหม เงินเข้าเงินออกคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อยนิด ไม่มีตกหล่น”
พูดจบแล้วฉู่หวังกลับไม่ได้ตอบคำ
เชียนโม่รู้สึกได้ถึงความนิ่งเงียบ ในใจคล้ายรัวกลอง อดตึงเครียดไม่ได้ แต่กลับไม่กล้าเงยหน้า
“เจ้ามาพบกว่าเหรินก็เพื่อจะพูดเรื่องนี้?” ครู่หนึ่งฉู่หวังจึงเอ่ยถามขึ้น ฟังไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจ
เชียนโม่กัดๆ ปาก เอ่ยเสียงแผ่ว “เพคะ”
“เจ้าเงยหน้าขึ้น”
เชียนโม่ยิ่งกระวนกระวายใจหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น
ฉู่หวังจ้องมองนาง “หากกว่าเหรินรับปาก เจ้าก็จะตามกว่าเหรินกลับแคว้นฉู่ เชื่อฟังคำสั่งของกว่าเหริน และก็จะไม่คิดเรื่องกลับบ้านอีก ใช่หรือไม่”
เชียนโม่ชะงักอึ้งไปชั่วขณะ พอได้ยินคำว่ากลับบ้านสองคำนี้ แววตาก็หม่นขรึมลง
“เพคะ” เธอตอบเสียงแผ่ว
ใบหน้าของฉู่หวังปรากฏรอยยิ้มที่ฝากแฝงความหมายลึกซึ้ง
“จื่อโหยว!” เขาไม่ได้พูดกับเชียนโม่อีก แต่กลับร้องเรียกออกไปทางนอกห้องโดยสาร
เสียงฝีเท้ารีบเร่งดังขึ้น ชายหนุ่มที่ชื่อจื่อโหยวผู้นั้นวิ่งเข้ามาแล้วทำความเคารพ “ต้าหวัง”
“สั่งให้ชาวฉู่ขึ้นเรือ เดินทางกลับทันที”
จื่อโหยวรับคำแล้วรีบออกไปสั่งการ ไม่นานก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นที่ด้านนอก ทุกคนได้รับคำสั่ง ที่เก็บข้าวของก็เก็บข้าวของ ที่ขึ้นเรือก็ขึ้นเรือ
เชียนโม่ยังห่วงข้าวของเหล่านั้นของตน อยากจะไปดูแต่กลับถูกฉู่หวังเรียกตัวไว้
“ไม่ใช่จะให้กว่าเหรินมอบหมายงานให้เจ้าหรอกหรือ” ฉู่หวังนั่งอยู่บนตั่ง เอ่ยเสียงเรียบ “งานแรก มาช่วยทุบหลังให้กว่าเหริน”
ตอนมาค่อนข้างฉุกละหุก ตอนกลับก็ราวลมพัดเช่นนั้นมาก่อกวนจนชาวซูในหมู่บ้านบนภูเขาพากันแตกตื่นตกใจ แต่ฉู่หวังก็ไม่ปฏิบัติต่ออย่างขาดตกบกพร่อง ก่อนจากไปได้ให้คนนำเนื้อแห้งแพรพรรณจากบนเรือมามอบให้คนในหมู่บ้านถือเป็นรางวัล
เชียนโม่ยืนอยู่ด้านข้างของตัวเรือ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดาของชาวซูและสิ่งของเป็นเข่งๆ บนพื้น ในใจกลับดีใจไม่ออก ในความรู้สึกของเธอ สิ่งที่เธอติดค้างฉู่หวังได้เพิ่มขึ้นมาเห็นๆ อีกก้อนโต…
เมื่อเบิ่งตามองไกลออกไป ราตรีกาลมืดมิด ป่าและภูเขาสูงล้วนจมหายไปกับความมืด มองไม่เห็นแม้เงา เนินเขาที่ถูกทำลายไปลูกนั้นก็ยิ่งดูเหมือนอยู่ไกลโพ้น
แม้จะเป็นฤดูร้อน สายลมกลับเย็นยะเยือก
ในใจของเชียนโม่สงบนิ่งอย่างประหลาด
อาจเพราะเมื่อกลางวันร้องไห้มากไป แม้เธอจะยังคงเสียใจ แต่กลับร้องไห้ไม่ออกแล้ว ได้แต่มองจ้องไปยังทิศทางที่เคยมีเนินเขาตั้งอยู่เงียบๆ มองแสงไฟในหมู่บ้านที่ค่อยๆ หายลับไป
มีเสียงกระแอมไอเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง
เชียนโม่หันหน้าไปก็เห็นซื่อเหรินฉวี
เขามองเธอ แววตาดูแปลกๆ
“ขอให้ต้าหวังมอบหมายงานให้ทำ หืม?” เขามีท่าทีคล้ายครุ่นคิดอะไรในใจ “แรงงานหญิงโม่ ทั้งที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายสวมแพรพรรณเนื้อดีกินอาหารชั้นเลิศ เพราะเหตุใดกลับอยากจะสวมผ้าเนื้อหยาบกินอาหารชั้นเลว หรือว่าเจ้าคิดจะกลั่นแกล้งต้าหวัง ให้เขาไม่อาจได้มาและต้องการเจ้ามากยิ่งขึ้น”
เชียนโม่ไร้คำพูด
เธอไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ กลับบอก “ผ้าเนื้อหยาบอาหารชั้นเลวก็ไม่มีอะไรไม่ดี”
“หากเป็นอย่างแรก ทางที่ดีเจ้าล้มเลิกความคิดเสีย!” ซื่อเหรินฉวีขมวดหัวคิ้ว เสียงกดต่ำ “เจ้าเข้าใจว่าเป็นเพราะต้าหวังรักและทะนุถนอมผู้มีความสามารถหรือ เขายอมอ่อนข้อให้เจ้า ยังไม่ใช่เพราะเขามีใจต่อเจ้า? ต่อให้ต้าหวังพอใจเพียงใด ความอดทนก็มีขีดจำกัด เจ้าต้องรู้จักไขว่คว้าไว้ หาไม่ รอจนเขาหมดใจแล้ว คิดจะให้เขาดูแลเจ้าอีกก็ยากแล้ว!”
เชียนโม่อึ้งตะลึง ครู่หนึ่งก็แค่นยิ้มแล้วว่า “เช่นนั้นหรือ จะดีหรือร้าย ก็แค่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของต้าหวัง”
ซื่อเหรินฉวีฟังความหมายในคำพูดนี้ออก ชะงักอึ้งไปชั่วขณะแล้วรีบเอ่ย “แรงงานหญิงโม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความเช่นไร” เชียนโม่กล่าว “ซื่อเหรินฉวี ในตำหนักฝ่ายในของต้าหวังมีสนมที่สูญเสียความโปรดปรานหรือไม่ พวกนางมีชีวิตอยู่กันอย่างไร”
ซื่อเหรินฉวีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่เลว กินใช้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ทั้งมีคนปรนนิบัติ แรงงานหญิงโม่ ต้าหวังไม่ว่าโปรดปรานหรือไม่ล้วนไม่เคยปฏิบัติต่อสตรีของตนอย่างบกพร่อง” คำพูดของเขาอัดแน่นไปด้วยน้ำใสใจจริง “แรงงานหญิงโม่ ต่อให้เป็นสนมที่สูญเสียความโปรดปราน ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าพวกเรามากนัก”
เชียนโม่อ้าปากเล็กน้อย
แม้จะไม่เหนือความคาดหมาย แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องตำหนักฝ่ายในของฉู่หวัง
มีสนมที่โปรดปราน
ไม่เคยปฏิบัติต่ออย่างบกพร่อง
เชียนโม่มองน้ำในแม่น้ำที่ดำมืดใต้ลำเรือ ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นเบาๆ “ซื่อเหรินฉวี ข้าเพียงแต่ยังไม่ได้คิดให้ดี”
ซื่อเหรินฉวีมองใบหน้าที่ดูเลอะเลือนของเชียนโม่ ยังอยากพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ทอดถอนใจ
“แรงงานหญิงโม่ ข้าหวังดีต่อเจ้า”
“ข้ารู้” เชียนโม่หันมามองเขา เม้มๆ ปากก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณ”
เรือใหญ่แล่นออกจากซูไปนครอิ่งตูในคืนนั้นเลย
บนท้องฟ้าดวงดาวสว่างไสว ดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง คนเรืออาศัยตำแหน่งที่ตั้งของดวงดาวแยกแยะทิศทาง กลางดึกก็มาถึงเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่คนฉู่ตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ จึงเข้าเทียบริมฝั่งพักผ่อน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางต่อ
เชียนโม่นอนอยู่ในห้องโดยสารมาโดยตลอด ห่างจากฉู่หวังเพียงชั่วฝาผนังกั้น
คืนวันแรกตอนเธอพักผ่อน มีซื่อเหรินตั้งใจเดินมาถามข้อสงสัย ‘ต้าหวังไม่นอนร่วมเตียงกับเจ้าหรือ’
เชียนโม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่แท้…ต้องนอนร่วมเตียงกันหรือ
โชคดีที่คำพูดเช่นนี้ฉู่หวังไม่เคยเอ่ยออกมา
แต่เชียนโม่รู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิด
พอเช้าขึ้นมา เขาก็เอาแต่ ‘แรงงานหญิงโม่ แรงงานหญิงโม่’ เรียกใช้ไม่หยุดไม่หย่อน เรื่องล้างหน้าบ้วนปากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ปกติซื่อเหรินฉวีเป็นคนปรนนิบัติเขาก็โยนมาให้เธอทั้งหมด
ล้างหน้าบ้วนปากไม่ลำบากอะไร เชียนโม่ก็แค่คอยส่งผ้าเช็ดหน้า แต่ปรนนิบัติเขาสวมเสื้อผ้าก็ลำบากแล้ว เสื้อผ้าในยุคนี้ยาวเหมือนเสื้อคลุมยาว เชียนโม่ต้องผูกสายรัดทุกจุดให้แน่น จับจีบเสื้อให้เรียบร้อย ยังต้องคาดสายรัดเอวให้เขาแล้วเกี่ยวตะขอตอนเธอพบฉู่หวังครั้งแรกที่ถงซานก็เคยเกิดเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะช่วยเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจจึงรู้สึกแสลงใจอยู่มาก
ฉู่หวังกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง กางแขนออก ปล่อยให้เชียนโม่จัดเสื้อผ้าให้ตน
พูดตามตรง รูปร่างของฉู่หวังไม่เลวเลย กล้ามเนื้อล่ำสันแข็งแรง สัดส่วนดีเลิศ เชียนโม่ยืนอยู่ด้านหน้า พลิกคอเสื้อของเขาออกมาพับให้เรียบร้อย นัยน์ตามองตรงไป เพียงเห็นปลายคางของเขา ใบหน้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่มาจากด้านบนขุมนั้น เชียนโม่อดช้อนตาขึ้นมองไม่ได้ แล้วก็เห็นฉู่หวังกำลังมองเธออยู่ ดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
คล้ายถูกคนมองเห็นความในใจ หัวใจของเชียนโม่เต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่ง เธอรีบดึงสายตากลับ ก้มหน้าจัดเสื้อผ้าเขาให้เรียบร้อย
ขณะจะเดินผละไปก็ได้ยินฉู่หวังเอ่ย “หยกประดับ”
เชียนโม่หยุดชะงัก จำต้องหยิบหยกประดับที่ร้อยด้วยเชือกไหมพวงหนึ่งมาผูกกับสายรัดเอวของเขา
“เจ้าอยู่ที่บ้าน คนที่บ้านเรียกเจ้าว่าอย่างไร” ฉู่หวังพลันถามขึ้น
“เชียนโม่” เธอตอบ
“เชียนโม่” ฉู่หวังเรียกเสียงต่ำเจือหัวเราะ ในลมหายใจมีกลิ่นน้ำปรุงที่ใช้บ้วนปากจางๆ “เจ้าไม่ใช่อยากทำงานหรือ นับจากวันนี้ไป งานของเจ้าก็คือผู้ปรนนิบัติรับใช้ประจำตัวกว่าเหริน”
บทที่แปด ซืออี
แม้เชียนโม่จะเคยบอกอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการเข้าทำงานในราชสำนัก แต่ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฉู่หวัง เขาบอกให้เธอรับใช้อยู่ข้างกาย น้ำเสียงนั้นไม่ได้ต้องการขอความคิดเห็นจากเธอ หากแต่เป็นคำสั่ง
อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่น เชียนโม่ก็ได้แต่ต้องฟังคำสั่ง
ความจริงปรนนิบัติดูแลฉู่หวังก็ไม่จำเป็นต้องให้เธอทำอะไร งานหลักมีซื่อเหรินทำอยู่แล้ว ที่เชียนโม่ต้องทำก็แค่ยกๆ น้ำ คอยหยิบโน่นส่งนี่ แล้วก็เป็นคนคอยติดตาม
ฉู่หวังออกจากเมืองครั้งนี้ไม่ได้พาขุนนางใหญ่มาด้วย แต่กลับเอางานราชการที่เขียนอยู่ในม้วนไม้ไผ่มาจำนวนมาก ระหว่างทางเขาก็ตรวจอ่านอยู่ในห้องโดยสารบนเรือ ส่วนเชียนโม่ก็นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่มีอะไรทำ
รูปแบบการนั่งคุกเข่าพับขาของคนโบราณช่างทรมานคน จนแล้วจนรอดเธอก็ยังคงไม่ได้เรื่องได้ราว นั่งได้ไม่นานขาทั้งสองข้างก็เป็นเหน็บชาแล้ว เธอเริ่มขยับท่าขยับทางไม่หยุดเพื่อให้ตนเองสบายขึ้นบ้าง
หลังจากฉู่หวังสังเกตเห็นก็ชำเลืองตามองมา
เชียนโม่ไม่ขยับตัวแล้ว
ฉู่หวังถอนสายตากลับ อ่านม้วนไม้ไผ่ต่อ
เชียนโม่อดทนอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักก็ขยับยุกยิกอีก
ฉู่หวังวางม้วนไม้ไผ่ลง “หลินเชียนโม่…”
“ข้าไม่ได้เจตนา ขาทั้งสองข้างของข้าชาแล้ว” เชียนโม่รีบกล่าว
ฉู่หวังแปลกใจ
“ชา?” เขามองๆ ขาของนาง “ชาได้อย่างไร”
เชียนโม่รู้สึกขัดเขิน “นั่งนานเกินไป”
“นั่งนานไม่ใช่ยืนนาน ขาจะชาได้อย่างไร”
“ข้าไม่ชินกับการนั่งแบบนี้”
ฉู่หวังยิ่งแปลกใจมากขึ้น มองนางอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าชินกับการนั่งอย่างไร”
เชียนโม่เม้มๆ ปาก ยันตัวลุกขึ้นมายืน จากนั้นก็นั่งเหยียดขาออกไปกับพื้น
ฉู่หวังมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“ที่บ้านเจ้า…ล้วนนั่งกันเช่นนี้?” เขาย่นหัวคิ้ว
เชียนโม่พยักหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกไม่ถูกต้อง
“พวกข้าไม่นั่งกับพื้น” เธอพูดแล้วก็ออกจะรู้สึกลำบากใจ ยุคนี้ยังไม่มีพวกโต๊ะเก้าอี้ขาสูงปรากฏขึ้น ทั้งเธอก็จนปัญญาจะใช้ภาษาฉู่เรียกคำนามของสิ่งเหล่านี้ออกมา เชียนโม่ครุ่นคิดไปมาแล้วมองตั่งที่นั่งของฉู่หวัง ประกายความคิดพลันวาบขึ้น “แต่จะนั่งบนตั่งที่สูงหน่อยแล้ววางเท้าลงมา”
“สูง?” ฉู่หวังถาม “สูงแค่ไหน”
เชียนโม่ใช้มือกะระดับความสูง “สูงประมาณนี้”
ฉู่หวังก้มลงมองตั่ง แล้วมองๆ โต๊ะเตี้ย “สูงขนาดนี้จะใช้โต๊ะอย่างไร”
“โต๊ะก็สูงขึ้นอีก”
ฉู่หวังมีสีหน้าว่านึกภาพไม่ออก
เชียนโม่มองเขา พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ รู้สึกว่าอาจเป็นหนทางไม่เลวถ้าจะให้ฉู่หวังเห็นว่าเธอแปลกประหลาดแล้วล้มเลิกความคิดที่จะรับเธอเข้าตำหนักฝ่ายใน
“พวกเราที่โน่นยังมีอะไรมากมายที่ไม่เหมือนกัน” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองๆ เสื้อผ้าของฉู่หวัง “พวกเราที่โน่นมีหลายอย่างที่แตกต่างจากแคว้นฉู่ พวกเราไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่กว้างและยาวเช่นต้าหวัง บุรุษก็มีน้อยมากที่จะไว้ผมยาว อากาศแบบนี้ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อแขนสั้นตัวสั้น”
“อ้อ” ฉู่หวังคิด “สตรีก็เช่นกันหรือ”
“ไม่ต่างกันมาก” เชียนโม่กล่าว
“ก็สวมสนับเพลาเช่นที่เจ้าสวมตอนอยู่บนภูเขาเช่นนั้นรึ”
สนับเพลา? เชียนโม่อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็เข้าใจขึ้นมา เขาคงหมายถึงกางเกงยีนตัวนั้น เธอจึงพยักหน้า
ดวงตาฉู่หวังเปล่งประกายเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีส่วนใดที่เลือกมาใช้ไม่ได้เลย” เขายิ้ม “เจ้าคิดถึงบ้านหรือ ในคลังหลวงของกว่าเหรินมีแพรพรรณทุกแบบ เจ้าชอบสนับเพลาเช่นนั้นก็ตัดสักหลายตัว”
เชียนโม่พูดอะไรไม่ออกไปทันที เบ้ๆ ปาก ไม่พูดอะไรอีก
เชียนโม่ไม่ชอบความคลุมเครือ แต่เธอรู้ ความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่หวังในเวลานี้ ไม่ว่าจะในสายตาตนเองหรือผู้อื่นล้วนคลุมเครือยิ่ง
เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่ก็สับสนมาก ไม่รู้ว่าทางออกของตนอยู่ที่ไหน เธอรู้ว่าเมื่อใดที่เข้าไปนั่งอยู่ในฐานะสนมของฉู่หวังจริง ตนเองก็ยากจะมีเส้นทางอื่นให้เดินได้อีก ด้วยเหตุนี้เธอจึงระวังตัวแจ เวลาปรนนิบัติฉู่หวังก็พยายามไม่ให้คำพูดและการกระทำไปยั่วยุเขา รักษาระยะห่างเอาไว้
ฉู่หวังคล้ายไม่ใส่ใจ ตั้งแต่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ายันทุบหลัง เดี๋ยวๆ ก็บอก “กว่าเหรินรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น
ที่ทำให้เชียนโม่รู้สึกไม่ค่อยรื่นหูก็คือนับแต่เธอบอกให้เขารู้ว่าคนในครอบครัวเรียกเธอว่าอย่างไร เขาก็เริ่มเรียกเธอว่า ‘เชียนโม่’ ตามไปด้วย
จาก ‘แรงงานหญิงโม่ กว่าเหรินกระหายน้ำแล้ว’ เปลี่ยนเป็น ‘เชียนโม่ กว่าเหรินกระหายน้ำแล้ว’
‘เชียนโม่ เอาหมึกกับพู่กันมา’
‘เชียนโม่ เปลี่ยนเสื้อ’
‘เชียนโม่…’
‘เชียนโม่…’
‘เชียนโม่…’
เชียนโม่เหลือกตามองบน ไร้ซึ่งคำพูด
คนในสมัยโบราณใช้การออกเสียงในสมัยปัจจุบันมาเรียกชื่อเธอ แม้จะไม่ขัดหูแต่ก็ทำให้คนรู้สึกแปลกๆ กระทั่งเธอเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะอะไรตอนซื่อเหรินฉวีช่วยแก้ไขการออกเสียงภาษาฉู่ของเธอจึงมักมีสีหน้าอับจนปัญญาเช่นนั้น
ตอนขบวนเรือผ่านภูเขากุยซานและภูเขาเสอซานอีกครั้ง เชียนโม่นั่งอยู่ในห้องโดยสาร เหม่อมองภูเขาลูกเล็กที่อยู่ไกลๆ
ฉับพลันนั้นฉู่หวังก็ขยับเข้ามาใกล้ มองตามเธอไปด้วย
“ครั้งก่อนตอนผ่านบริเวณนี้ เจ้าทั้งตากฝนทั้งจะกระโดดแม่น้ำ” เขามีสีหน้าครุ่นคิด “ก็แค่เนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง มีอะไรแตกต่าง”
เชียนโม่มองๆ เขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองทางเดิม เอ่ยขึ้นเบาๆ “ไม่มีอะไร เพียงรู้สึกว่าคล้ายสถานที่เก่าแก่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง”
ฉู่หวังเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย ครู่หนึ่งก็เรียกจื่อโหยวเข้ามา
“เจ้าเคยตามบิดาของเจ้ามาเฝ้ารักษาการณ์ที่นี่” เขาชี้ “ภูเขาที่ริมฝั่งแม่น้ำลูกนั้นมีความเป็นมาเช่นไร”
จื่อโหยวงงงัน มองไปแล้วสั่นศีรษะ “ไม่มีความเป็นมาอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ที่นี่สายน้ำทอดยาวเหยียด มีเพียงภูเขาลูกนั้นกับภูเขาอีกลูกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีที่ให้พักอาศัยได้ ทั้งอยู่ตรงข้ามกันพอดี กองทัพของเราจึงตั้งป้อมค่ายอยู่บนภูเขาทั้งสองลูกเพื่อป้องกันอวิ๋นเมิ่ง”
“ป้อมค่าย?” ฉู่หวังมีท่าทีสนใจ “มีคนอยู่เท่าไร”
“ไม่มากพ่ะย่ะค่ะ ที่ละสิบคนโยกย้ายมาจากเมืองใกล้เคียง” พูดจบเขาก็มองๆ ฉู่หวัง “ต้าหวังจะเสด็จไปตระเวนสังเกตการณ์หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หวังไม่ตอบ กลับชายหางตาไปทางเชียนโม่
“เจ้าจะลองไปดูว่าใช่สถานที่เก่าแก่คุ้นเคยหรือไม่” เขาถาม
เชียนโม่งุนงง ครู่หนึ่งก็สั่นศีรษะ
“ไม่ไป” เธอเม้มๆ ปาก ดวงตาทั้งสองเบิ่งมองไปยังที่ไกลอย่างสงบ “มันไม่ใช่”
เส้นทางไปนครอิ่งตู เรือต้องแล่นทวนน้ำ ไปได้ไม่เร็วนัก แต่อากาศดียิ่ง ยามค่ำคืนดวงดาวเต็มท้องฟ้า
เชียนโม่นอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงคลื่นซัดสาด มองดวงดาวที่นอกหน้าต่าง ไม่มีมลภาวะใดๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่งดงามราวกับปูลาดด้วยเพชรนิลจินดา
เป้สะพายหลังของเธอถูกวางทิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของห้องโดยสาร ดูโดดเดี่ยวเดียวดาย นับแต่ออกจากหมู่บ้านบนเขาของชาวซูมาเธอก็ไม่ได้แตะต้องมันอีก
ตอนคุณย่าถึงแก่กรรม คุณปู่เคยบอกว่าคุณย่าจะกลายเป็นดาวดวงหนึ่ง
และตอนคุณปู่ถึงแก่กรรม เชียนโม่ก็ไม่เชื่อคำพูดหลอกเด็กเช่นนี้แล้ว แต่ก็แปลก ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นดวงดาวที่กะพริบระยิบระยับเหล่านั้นอีกครั้ง เธอกลับเต็มใจจะเชื่อ คุณปู่คุณย่าอยู่บนนั้น
บางทีพวกท่านอาจไม่เคยจากไปไหน ต่อให้อยู่ในช่วงมิติเวลาที่แตกต่างกัน พวกท่านก็ยังคงอยู่บนท้องฟ้าอย่างสงบ
เชียนโม่…
ขณะกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ในสมองคล้ายได้ยินเสียงพวกท่านร้องเรียกตนอยู่แว่วๆ
ลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง นำพาความเย็นมาด้วย
ฉู่หวังกลับจากตระเวนสังเกตการณ์ขบวนเรือที่จอดเทียบริมฝั่งน้ำ ครั้นพบว่าห้องพักของเชียนโม่ยังมีแสงไฟจึงเดินเข้าไป กลับเห็นเชียนโม่หลับไปแล้ว นางขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนบาง บนใบหน้าที่สงบนิ่งยังมีประกายน้ำตาสะท้อนให้เห็นจางๆ
เขายืนมองนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ดับตะเกียง ยื่นมือไปปิดบานหน้าต่างไม้แล้วหมุนตัวเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขบวนเรือก็กลับมาถึงนครอิ่งตูอันเป็นเมืองหลวง
ก่อนหน้านี้ฉู่หวังไม่ได้บอกได้กล่าว จู่ๆ ก็ไปตระเวนสังเกตการณ์ทางด้านตะวันออกของอวิ๋นเมิ่ง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างงงงัน ทว่าฉู่หวังแต่ไรมาก็ทำอะไรรีบๆ ร้อนๆ ทุกคนต่างไม่แปลกใจมานานแล้ว เวลานี้เห็นเขากลับมา หน่วยงานต่างๆ ก็รีบนำงานที่หมักหมมหลายวันมาทูลรายงาน ฉู่หวังยังไม่ทันได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยก็มีงานยุ่งแล้ว
แต่ในยามนี้คนที่ช่างสังเกตทั้งหลายต่างพบว่าข้างกายฉู่หวังมีหญิงสาวมาคอยปรนนิบัติเข้าๆ ออกๆ วังต้องห้ามเพิ่มอีกคน
มีคนบอกว่านั่นเป็นนางกำนัลคนใหม่ แต่นางกำนัลมาจากที่ไหนถึงได้ตามปรนนิบัติฉู่หวังทุกย่างก้าวเช่นนี้ได้
มีคนบอกว่านั่นเป็นสนมโปรดคนใหม่ของฉู่หวัง แต่สนมของฉู่หวังแต่ไรมาก็อยู่ในตำหนักฝ่ายใน หญิงสาวผู้นี้กลับไม่ต่างอะไรกับซืออี* พักอยู่ในเรือนพักข้าราชสำนัก
และมีคนไปถามเสี่ยวเฉินฝู
ตั้งแต่ฉู่หวังทำศึกได้ชัยชนะกลับมา เสี่ยวเฉินฝูก็ถูกฉู่หวังมอบหมายให้ไปควบคุมดูแลการเซ่นไหว้ที่ศาลบรรพชน ตอนเขามาทูลรายงานเรื่องการงานต่างๆ ต่อฉู่หวังก็ได้พบกับเชียนโม่ ในใจอดตื่นตะลึงไม่ได้ พอนึกถึงรายละเอียดเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน
“เหตุใดจึงไม่บอกให้ข้ารู้” ออกมานอกตำหนัก เขาพบซื่อเหรินฉวีก็ออกจะไม่ค่อยพอใจ
“ต้าหวังจู่ๆ ก็บอกว่าจะเสด็จไปตระเวนตรวจการทางตะวันออก ผู้น้อยก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อน” ซื่อเหรินฉวียิ้มเจื่อน
ในเวลานี้เองซื่อเหรินลู่แห่งวังเหยียนเหนียนก็มาถึง พอเห็นคนทั้งสองก็บอก “ได้ยินว่าต้าหวังกลับมาแล้ว มู่ฟูเหรินต้องการจะพบต้าหวัง”
แต่ไรมาเสี่ยวเฉินฝูก็ให้ความเกรงใจซื่อเหรินลู่จึงรับคำ คิดอยู่ครู่หนึ่งกลับบอกว่า “ต้าหวังเพิ่งเสด็จกลับมาถึงไม่นาน ยังจัดการราชกิจอยู่ หากเป็นการเสวยพระกระยาหาร เกรงว่าต้องช้าหน่อย”
“หากต้าหวังพอมีเวลาว่าง ยังคงกราบทูลให้ทรงทราบเร็วหน่อยจะดีกว่า” ซื่อเหรินลู่กล่าว สีหน้าลึกลับซับซ้อน “เท่าที่ข้ารู้ เรื่องต้าหวังจะอภิเษกฟูเหริน การเสี่ยงทายพอจะมีเค้าเรื่องแล้ว มู่ฟูเหรินจะเชิญต้าหวังไปปรึกษาหารือและตัดสินใจ!”
“ชุดต้าฉิวและมงกุฎ ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ไท่อีและจวนซวีเกาหยาง* ชุดกุ่นเหมี่ยน ใช้ในพิธีเซ่นไหว้อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น ชุดเหวยเปี้ยนใช้ในพิธีที่เกี่ยวกับการทหาร ชุดผีเปี้ยนใช้ในพิธีต่างๆ ของราชสำนัก…”
เชียนโม่มือหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่ มือหนึ่งถือพู่กัน จดบันทึกอย่างละเอียด นับแต่มาถึงโลกแห่งนี้เธอก็ใช้พู่กันเขียนตัวอักษรได้เร็วขึ้นมาก ไม่นานก็เขียนตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่เต็มไปกว่าครึ่งแล้ว
กลับมาถึงวังหลวงของแคว้นฉู่ในครั้งนี้ ศักดิ์ฐานะของเชียนโม่ไม่ใช่แรงงานหญิงอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นซืออีตามที่ซื่อเหรินฉวีบอก สำหรับคนในวังแล้วถือเป็นตำแหน่งขุนนางที่ไม่เล็กไม่ใหญ่
ตอนได้รู้เรื่องนี้ เชียนโม่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เธอกลัวมากว่าฉู่หวังจะเอาตัวเธอไปอยู่ในตำหนักฝ่ายใน ตำแหน่งซืออีนี้แม้จะยังอยู่ในวังหลวงแต่ก็ดูเป็นตำแหน่งหน้าที่ที่เป็นทางการมาก มีผู้ช่วยสองคน ผู้จดบันทึกหนึ่งคน ขุนนางชั้นผู้น้อยหนึ่งคน ผู้ติดตามสิบคน เชียนโม่มองคนที่เข้าแถวทำความเคารพอยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกตื่นตะลึง ตระหนักได้ว่าตนเป็นขุนนางแล้วจริงๆ
‘เจ้าบอกจะเข้าทำงานในราชสำนัก ต้าหวังจึงให้ข้าไปดูว่ามีที่ใดขาดคน ข้าตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว มีเพียงสำนักซืออีที่ขาดซืออี’ ซื่อเหรินฉวีพูดด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ‘ตอนนี้ควรเรียกเจ้าว่าซืออีโม่แล้ว’
ซืออี…พอเห็นชื่อก็คิดโยงไปถึงความหมาย นั่นก็คือผู้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลเสื้อผ้าและเครื่องใช้ประจำวันทั้งหมดของฉู่หวัง ฉู่หวังมีเพียงคนเดียว เสื้อผ้า มงกุฎ เครื่องประดับต่างๆ ลำพังประเภทหนึ่งก็มีเป็นร้อยชิ้น สำนักซืออีที่เก็บเสื้อผ้าเครื่องใช้ก็ใหญ่มาก ลำพังเสื้อผ้าที่ใช้ในงานมงคลก็กินเนื้อที่ไปหนึ่งห้อง ไท่ไจ่*ผู้ควบคุมดูแลงานการต่างๆ ในวังหลวงเห็นเธอไม่รู้อะไรสักอย่างก็ให้ผู้ช่วยซ้ายขวาของสำนักซืออีพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับรายละเอียดของงานแต่ละประเภท สองคนนั้นพูดอะไรมากมาย เชียนโม่เพียงรู้สึกหัวสมองพองโต ชื่อสิ่งของต่างๆ แต่ละประเภทมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอฟังไม่เข้าใจ จำต้องหยิบพู่กันและหมึกมา ขอให้พวกเขาพูดช้าหน่อยแล้วเธอจดบันทึกไว้ทีละคำ
ผู้ช่วยซ้ายขวาล้วนเป็นคนที่ทำงานรับใช้อยู่ในวังมาหลายปี เห็นหน้าตาและอายุของเชียนโม่ ทั้งได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงท่าทีที่ฉู่หวังมีต่อนาง ต่างก็ออกจะมีความคิดที่รู้แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย ฉู่หวังแต่ละสมัยในอดีตล้วนมีตำหนักฝ่ายใน มีสนมคนโปรดทุกรูปแบบ คนในวังก็พบเห็นมาไม่น้อย สตรีผู้นี้แม้จะไม่ได้อยู่ในตำหนักฝ่ายใน แต่ด้วยท่าทีที่ฉู่หวังให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คนรอบข้างมีหรือจะไม่เข้าใจ
ทั้งสองเดิมคิดว่าจะดูแลเอาใจใส่ด้วยความระมัดระวังสักหน่อย แต่เห็นเชียนโม่พูดจาสุภาพอ่อนโยนก็วางความระแวดระวังลงบ้าง ข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นในใจไว้ไม่อยู่ จึงพูดจาตีสนิทด้วย
“ฟังสำเนียงของซืออีดูไม่คล้ายชาวฉู่” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบซืออีเป็นคนที่ใดหรือ”
เชียนโม่ก้มหน้าจดบันทึก ตอบไปตามความเคยชิน “ทางใต้”
ทั้งสองงงงัน
“ทางใต้?” ผู้ช่วยซ้ายเอ่ย“ทางนั้นไม่ใช่มีแต่ไป่ผู หยางเยวี่ย…”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถูกผู้ช่วยขวาถองไปทีหนึ่งจึงรีบหยุดปาก
“ทางใต้หรือ” ผู้ช่วยขวารีบพูดแก้สถานการณ์ คิดหาถ้อยคำ พลันนึกถึงเรื่องปราบยงที่เคยได้ยินมาในช่วงก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ “ทางใต้ดี! ผู้น้อยได้ยินว่าครั้งก่อนแรงงานหญิงที่ช่วยรักษาโรคระบาดให้กับทัพฉู่ ทั้งยังช่วยต้าหวังเอาไว้ก็เป็นคนทางใต้”
“อ้อๆ ใช่ๆ!” ผู้ช่วยซ้ายยิ้มพลางคล้อยตาม
“ใช่แล้ว” เชียนโม่เงยหน้า ยิ้มให้พวกเขาสองคน “แรงงานหญิงผู้นั้นก็คือข้า”
ทั้งสองตะลึงงัน รอยยิ้มแข็งค้าง
เชียนโม่คล้ายไม่ได้ใส่ใจในความอึดอัดขัดเขินของพวกเขา ก้มหน้าเขียนต่อแล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่บอกว่าพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าทั้งห้า*สวมชุดอะไรนะ”
“อ้อ ชุดซีเหมี่ยน!” ทั้งสองมีทางออกแล้ว ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก คนหนึ่งรีบกระวีกระวาดตอบ อีกคนหนึ่งก็ชี้ที่เก็บชุดซีเหมี่ยนให้เชียนโม่ดู
เชียนโม่พยักหน้า จดเอาไว้ ท่าทางตั้งอกตั้งใจเรียนรู้อย่างจริงจัง เห็นสองคนนั้นพยายามปรับสีหน้า เชียนโม่ก็รู้สึกเบิกบานใจคลายความอัดอั้นเล็กน้อย หลายวันมานี้รอบตัวเธอมีแต่สายตาที่มองมาอย่างคาดเดามีเลศนัย จนเธอแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว คิดในใจ ฉันไม่ใช่สนมคนโปรดอะไร ฉันมีสติปัญญา มีวิชาความรู้ เดิมทีก็อาศัยความสามารถของตนเองอยู่แล้ว…
ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นพลันมีเสียงซื่อเหรินฉวีดังขึ้นที่ด้านนอก “ซืออีโม่!”
เชียนโม่ได้ยินแล้วก็ส่งเสียงขานรับ
“ต้าหวังหาเจ้า!” เขาพูดเสียงดัง “ต้าหวังจะเสด็จไปวังมู่ฟูเหริน มีรับสั่งให้เจ้าไปรับใช้!”
เชียนโม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หันไปมองผู้ช่วยซ้ายขวา บนใบหน้าของพวกเขามีท่าทีรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายปรากฏขึ้น
มาไม่ช้าไม่เร็ว…ในใจเชียนโม่รู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้ม บนใบหน้ากลับได้แต่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไร ปากก็เอ่ยบอก “ข้าไปสักประเดี๋ยวก็มา”
ผู้ช่วยทั้งสองรีบยิ้มแล้วทำความเคารพ “ซืออีค่อยๆ เดิน”
ซื่อเหรินฉวีเห็นเชียนโม่เดินออกมาอย่างอ้อยส้อยก็ร้องเร่ง “เร็วหน่อย ต้าหวังออกจากที่ประชุมขุนนางแล้ว ยังต้องผลัดเปลี่ยนภูษา”
ในวังหลวงใช่มีฉันคนเดียวที่ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้นะ!เชียนโม่นึกตำหนิอยู่ในใจแล้วเดินตามเขาไป
เดิมเธอเข้าใจว่าฉู่หวังให้เธอเป็นซืออีแล้ว เรื่องที่เคยบอกให้เธอเป็นคนรับใช้ประจำตัวอะไรนั่นก็คงยกเลิกไปโดยปริยาย ใครเลยจะคาดคิด ฉู่หวังยังคงให้เธออยู่ข้างกายเรียกใช้โน่นเรียกใช้นี่ มีเพียงช่วงที่ขุนนางใหญ่มาปรึกษาข้อราชกิจจึงผละออกมาเงียบๆ ได้
ตำแหน่งซืออี หน้าที่ออกจะครอบคลุมกว้างขวางเกินไปแล้ว ก็ไม่น่าแปลกถ้าคนอื่นจะมองว่าไม่ปกติ!เชียนโม่บ่นพึมพำในใจ
ซื่อเหรินฉวีพบว่านางไม่พูดไม่จาจึงหันมามอง “เป็นอะไรไป”
“ซื่อเหรินฉวี” เชียนโม่อดรนทนไม่ไหว เอ่ยถามขึ้น “แต่ก่อนซืออีใช่เป็นเช่นข้าหรือไม่ นอกจากดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายของต้าหวังแล้ว ยังต้องคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ตลอดเวลาด้วย”
“ไม่ต้อง” ซื่อเหรินฉวีตอบตรงไปตรงมา
เชียนโม่สีหน้ากระตุกไหว
ไม่รอให้เธอเอ่ยปาก ซื่อเหรินฉวีก็กล่าวต่อ “ทว่าคนในวังหลวงแห่งนี้ล้วนเป็นผู้รับใช้ต้าหวัง ไม่ว่าตำแหน่งหน้าที่อะไร ต้าหวังเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น เจ้าไม่เห็นว่ากงอิ่นก็ต้องยกทัพไปทำศึกหรือ ขอเพียงต้าหวังเอ่ยปากก็ถือเป็นงานในหน้าที่” พูดจบสีหน้าท่าทางของเขาก็ดูแฝงความหมายลึกซึ้ง “หากเจ้าเห็นว่าตำแหน่งซืออีมีชื่อเสียงไม่สมจริงก็ทูลต้าหวัง จะต้องทรงยินดีที่จะเอาเจ้าไปไว้ที่อื่น”
เชียนโม่รู้ว่าที่อื่นที่เขาพูดคือที่ไหน ขู่ขวัญกันชัดๆ เชียนโม่จึงไม่พูดอะไรอีก
วังเกาหยางของฉู่หวังอยู่ไม่ไกลจากสำนักซืออี เชียนโม่เดินตามซื่อเหรินฉวีผ่านเส้นทางในวัง เข้าประตูวังแล้วเดินผ่านระเบียงวนไป ตัวอาคารใหญ่โตของวังเกาหยางก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว
ตำหนักหลักที่ฉู่หวังประทับตั้งอยู่บนพื้นที่ยกสูงกว่าหนึ่งช่วงคน ขั้นบันไดปูลาดด้วยหิน บนฐานหินขนาดใหญ่มีเสาใหญ่มหึมาขนาดสองคนโอบตั้งเรียงรายอยู่สี่ด้าน ค้ำยันหลังคารูปทรงสลับซับซ้อนและประณีตงดงาม ยามแหงนหน้ามองไปแลละม้ายนกยักษ์กำลังกางปีก
ทหารรักษาการณ์และราชองครักษ์ต่างรู้จักเชียนโม่ เห็นนางมาก็ไม่ขัดขวาง
เชียนโม่เดินเข้าไปในตำหนัก เสี่ยวเฉินฝูอยู่ข้างในแล้ว ได้กล่าวตำหนิซื่อเหรินฉวี “เหตุใดจึงชักช้าเช่นนี้” แล้วก็หันมามองเชียนโม่ แต่กลับยิ้มๆ “ต้าหวังอยู่ในตำหนัก ซืออีเชิญ!”
เชียนโม่ทำความเคารพเขาแล้วเข้าไปข้างใน ฉู่หวังกำลังถือม้วนไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง อ่านพลางหยิบลูกเหมย* เข้าปากไปพลาง
“ไปที่ใดมา” เขาถามทั้งที่ไม่ได้เหลือบตามอง
“สำนักซืออีเพคะ” เชียนโม่ตอบพลางเดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่ไปประชุมขุนนางให้เขาด้วยความชำนิชำนาญ แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมตัวบางที่สบายกว่าให้เขา หลังจากผลัดเปลี่ยนเสร็จ ฉู่หวังสั่งให้เสี่ยวเฉินฝูไปจัดเตรียมราชรถ ครู่หนึ่งก็หันมามองเชียนโม่
“เจ้าตามกว่าเหรินไปด้วย” เขากล่าว
เชียนโม่งงงัน
มู่ฟูเหรินเป็นมารดาของฉู่หวัง หรือก็คือพระพันปี ให้เธอตามไปด้วย…
“ต้าหวัง ข้ายังมีงานที่สำนักซืออียังทำไม่เสร็จ” เชียนโม่กล่าว
“งานอะไร”
“เสื้อผ้าข้าวของที่ใช้ในงานพิธีเฉลิมฉลองกับพิธีเซ่นไหว้ยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย” เชียนโม่พูดไปเรื่อยเปื่อย
“ล้วนเป็นเสื้อผ้าข้าวของของกว่าเหริน ไม่เรียบร้อยจะเป็นไร” ฉู่หวังไม่ใส่ใจ “รีบตามมา!” พูดจบก็หมุนตัวเดินไป
หน้าวังเหยียนเหนียนมีซือกง* และซื่อเหรินมารออยู่ก่อนแล้วเห็นฉู่หวังมาถึงก็รีบเข้ามารับหน้า
ฉู่หวังลงจากรถ เหลียวมองไปรอบด้านแล้วหันกลับมา
เชียนโม่ยืนอยู่หลังซื่อเหรินฉวี กำลังมองภาพวาดที่สกัดกั้นความชั่วร้ายนำมาซึ่งความสุขความเจริญบนผนังฉากกั้น คล้ายสนอกสนใจอย่างมาก
ซื่อเหรินฉวีเห็นแล้วรีบกระตุกแขนเสื้อเชียนโม่ เชียนโม่หันมา เห็นฉู่หวังกำลังมองตนก็รู้ความหมายของเขา จำต้องก้าวเข้าไป
ฉู่หวังคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับ เดินเข้าไปในวัง
วังเหยียนเหนียนแม้จะไม่ใหญ่โตโอฬารเท่าวังเกาหยาง แต่ก็มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ยังเดินไม่ถึงห้องโถง เชียนโม่ก็ได้ยินเสียงจงและชิ่งดังสอดรับกัน ติงๆ ตังๆ สูงต่ำสลับกัน ไพเราะยิ่ง
เชียนโม่เดินตามหลังฉู่หวัง สายตามองไปข้างในอย่างห้ามใจไม่อยู่ เพียงเห็นจงและชิ่งห้อยเรียงกันชุดหนึ่งตั้งอยู่ในห้องโถง นักสังคีตหลายคนกำลังใช้ไม้ที่มีตุ้มเล็กๆ ตรงปลายเคาะตี ภายใต้แสงไฟ ทองแดงหล่อรูปคนบนชั้นห้อยระฆังดูแวววาวมีชีวิตชีวา
ในห้องโถง เจิ้งจีกำลังสนทนากับมู่ฟูเหริน เห็นฉู่หวังเข้ามาก็รีบถอยไปด้านข้างแล้วทำความเคารพ
“คารวะเสด็จแม่” ฉู่หวังทำความเคารพมู่ฟูเหริน เชียนโม่รีบลงหมอบกราบกับพื้นตามซื่อเหรินฉวี
“ต้าหวังมาแล้วหรือ” มู่ฟูเหรินสีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา เข้ามาประคองต้าหวังด้วยตัวเอง
“ก่อนหน้านี้แม่ได้ยินว่าพวกจื่อเป้ยขอให้ต้าหวังไปล่าสัตว์ที่อวิ๋นเมิ่ง ต้าหวังไม่ไป แต่หลายวันมานี้ไม่เห็นหน้า กลับไปตระเวนสังเกตการณ์ทางตะวันออกกลับมาแล้ว” มู่ฟูเหรินมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ถ้อยคำเจือตำหนิจางๆ “ต้าหวังไปที่ใดก็ควรจะบอกให้แม่รู้สักคำ”
ฉู่หวังยิ้มแล้วว่า “เสด็จแม่อย่าเพิ่งกริ้ว ครั้งนี้ข้าไปตระเวนสังเกตการณ์ทางตะวันออก เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาฉับพลันกะทันหัน ไปไม่กี่วันก็กลับ หากบอกเสด็จแม่ก็เกรงเสด็จแม่จะเป็นกังวล ดังนั้นจึงคิดว่ารอกลับมาแล้วค่อยมาขออภัยโทษ” พูดจบก็ให้เสี่ยวเฉินฝูนำสิ่งของต่างๆ ที่เขานำมาจากทางตะวันออกขึ้นถวาย มู่ฟูเหรินดูๆ แล้ว ครานี้จึงได้คลี่ยิ้มออกมา บ่นว่าอย่างอับจนปัญญาอีกสองสามประโยคแล้วจึงแยกย้ายกันลงนั่ง
วันนี้ฉู่หวังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มู่ฟูเหรินเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟัง สองแม่ลูกสนทนากันด้วยความอบอุ่นสนิทสนม
เจิ้งจียืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง มองดูฉู่หวัง ไม่นานสายตาก็มองไปยังร่างหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของเขา
ฉู่หวังกลับมาได้ไม่นาน เจิ้งจีก็ได้ยินข่าวแล้วว่าเขาพาหญิงสาวคนหนึ่งกลับมาด้วย ยิ่งเล่าลือกันว่าฉู่หวังไปตระเวนตรวจการทางตะวันออกก็เพราะหญิงสาวผู้นี้…เจิ้งจีมองหญิงสาวผู้นี้ด้วยความอยากรู้ เพียงเห็นนางสวมเสื้อผ้าพื้นๆ ธรรมดา เทียบไม่ได้กระทั่งสนมที่มีฐานะต่ำสุดในตำหนักฝ่ายใน ทว่าใบหน้านั่น…สายตาของเจิ้งจีจับนิ่งไปที่ใบหน้าของนาง นางก้มหน้าน้อยๆ มองเห็นใบหน้าไม่ถนัด แต่เส้นผมดำขลับผิวพรรณขาวผ่อง เพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ถือกำเนิดในครอบครัวยากจนข้นแค้น
คล้ายรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองจากทางด้านนี้ หญิงสาวผู้นั้นพลันช้อนสายตาขึ้น
สายตามองสบประสานกัน ในใจของเจิ้งจีคล้ายถูกอะไรเคาะตี
“…เจิ้งจี” ในเวลานี้เอง นางได้ยินมู่ฟูเหรินเรียกตนจึงรีบขานรับแล้วเบนสายตาไป
มู่ฟูเหรินกล่าว “สั่งให้ยกสำรับ”
เจิ้งจีก้มศีรษะรับคำ ซอยเท้าเล็กๆ ล่าถอยออกไป
ไม่นานซื่อเหรินก็เข้ามาจัดโต๊ะ ภาชนะที่มีอาหารส่งกลิ่นหอมถูกจัดวางเต็มโต๊ะ
นับแต่มาอยู่ในยุคสมัยนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เชียนโม่ได้เห็นโต๊ะอาหารที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ จึงอดที่จะสอดส่ายสายตามองไม่ได้ อาหารมีทั้งเนื้อและผัก มีทุกอย่างที่ควรมี ทว่าดูเหมือนอาหารส่วนใหญ่จะใช้การต้มนึ่ง…ขณะเชียนโม่กำลังครุ่นคิดในใจ ในเวลานี้เองก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นชวนดมมากขุมหนึ่ง แล้วก็เห็นหญิงงามที่จ้องมองตนเมื่อครู่ก่อนก้าวช้าๆ เข้ามา ซื่อเหรินที่อยู่ข้างกายประคองอ่างทองแดงมาด้วย
เจิ้งจีลงหมอบกราบเบื้องหน้าฉู่หวังด้วยอากัปกิริยาที่งดงาม “หม่อมฉันจะช่วยล้างมือให้ต้าหวังเพคะ”
ฉู่หวังมองนางแล้วยิ้มบาง แต่กลับบอก “ไม่ต้อง” พูดจบก็หันไป “เชียนโม่ เจ้ามา”
เจิ้งจีอึ้งตะลึง
เชียนโม่เองก็ตะลึงงันไป พริบตานั้นสายตาของทุกคนก็มารวมอยู่ที่ร่างเธอทั้งหมด ทำให้เธอออกจะรับมือไม่ทัน
มู่ฟูเหรินก็มองมา มีท่าทีแปลกใจ
ซื่อเหรินเอาอ่างน้ำวางไว้ตรงหน้าฉู่หวังแล้ว เชียนโม่เดินไป มองๆ อ่างน้ำใบนั้นแล้วก็มองฉู่หวัง ไม่มีใครเคยสอนงานนี้ให้เธอ…เชียนโม่อดคร่ำครวญอยู่ในใจไม่ได้
“พับแขนเสื้อของต้าหวังขึ้น…” ซื่อเหรินฉวีเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาชี้แนะ
เชียนโม่เข้าใจในทันที รีบนั่งลงไปตรงหน้าฉู่หวังแล้วพับแขนเสื้อของเขาขึ้น
จากนั้น…
เธอมองมือของฉู่หวังที่วางนิ่งไม่ขยับ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า
ช้อนตาขึ้นก็เห็นหัวคิ้วที่เลิกขึ้นน้อยๆ ของฉู่หวังพอดี
ฉู่หวังมีสีหน้าอับจนปัญญา จุ่มมือลงไปในอ่างน้ำแล้วล้างจนสะอาด จากนั้นก็ดึงผ้าในมือเชียนโม่มาเช็ดเองจนแห้งแล้วโยนลงไปในอ่างน้ำ
เอ่อ…ที่แท้ก็แบบนี้เอง เชียนโม่ยิ้มเหย
“ท่านนี้ก็คือซืออีที่ต้าหวังพากลับมาด้วยกระมัง” ในเวลานี้เองมู่ฟูเหรินที่นั่งในตำแหน่งสูงมองประเมินเชียนโม่พลางเอ่ยถาม
ฉู่หวังไม่ได้คิดจะปิดบังพระมารดา จึงยิ้มแล้วว่า “ใช่”พูดจบก็มองไปที่เชียนโม่ บอกเป็นนัยให้นางก้าวขึ้นมา
เชียนโม่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ จำต้องก้าวออกมาทำความเคารพมู่ฟูเหริน “คารวะฟูเหริน”
มู่ฟูเหรินคลี่ยิ้มจางๆ “อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” พูดจบก็หันไปทางเจิ้งจี
เจิ้งจียืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้ามีรอยยิ้ม แววตากลับเปล่งประกายวาววับ
ท่ามกลางเสียงดนตรีดังคลออยู่ ซื่อเหรินเข้ามารายงานในห้องโถงว่าจงอิ่นและปู่อิ่นมาถึงแล้ว
มู่ฟูเหรินสั่งให้เชิญเข้ามาในห้องโถง กล่าวกับฉู่หวังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เชิญต้าหวังมาวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ครั้งก่อนได้ปรึกษาและตกลงกันไว้ว่าให้ปู่อิ่นเสี่ยงทายว่าควรอภิเษกสมรสกับสตรีจากทิศใด เวลานี้เสี่ยงทายเรียบร้อยแล้ว รายละเอียดให้ปู่อิ่นทูลให้ต้าหวังทรงทราบ”
ฉู่หวังงงงัน แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยรับปากเรื่องนี้ไว้จริง
“เช่นนั้นหรือ” เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เชียนโม่อยู่ด้านหลังได้ยินคำพูดเหล่านี้ ในใจอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ฉู่หวังจะแต่งภรรยา ก่อนหน้านี้นางเพิ่งได้ยินซื่อเหรินฉวีบอกเรื่องที่ฉู่หวังยังไม่มีฟูเหริน เวลานี้จะแต่งแล้วหรือ ทว่าดูจากอายุของฉู่หวัง แม้จะเพิ่งยี่สิบกว่า แต่คนในยุคสมัยนี้โดยทั่วไปเป็นผู้ใหญ่เร็ว คนอายุสิบเจ็ดสิบแปดมีลูกสองสามคนก็มีให้พบเห็นอยู่ไม่น้อย คนมีศักดิ์ฐานะเช่นฉู่หวัง เพิ่งจะแต่งงานนับว่าช้าไปสักหน่อย
ไม่นานจงอิ่นกับปู่อิ่นก็เข้ามาข้างใน ทำความเคารพฉู่หวัง
“ได้ยินว่าปู่อิ่นเสี่ยงทายเรียบร้อยแล้ว” ฉู่หวังเอ่ยถาม “รายละเอียดเป็นอย่างไร”
ปู่อิ่นเป็นชายสูงวัยที่มีท่วงทีคล้ายผู้บำเพ็ญพรตอยู่หลายส่วน เขาหมอบกราบลงอีกครั้งแล้วก้าวเข้ามาทูลรายละเอียดขั้นตอนในการเสี่ยงทายด้วยความเคารพนบนอบ
เชียนโม่ฟังแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจ มีหลายคำที่ฟังไม่ออก เพียงฟังออกว่ามีอะไรสิริ มีอะไรมงคล เขาพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ แต่กลับฟังไม่เข้าใจว่าผลออกมาว่าอย่างไร
ท้ายที่สุด คงเพราะฉู่หวังก็ไม่มีความอดทนมากพอจึงเอ่ยขึ้น “ผลจากการเสี่ยงทาย กว่าเหรินควรแต่งสตรีจากทิศใด”
ปู่อิ่นทูลตอบ “ผลจากการเสี่ยงทาย ต้าหวังอภิเษกสมรสกับสตรีจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นสิริมงคลที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตะวันออกเฉียงเหนือ” ฉู่หวังมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ชำเลืองไปทางมู่ฟูเหริน “แคว้นไช่หรือ”
“ตอนข้าได้ยินก็แปลกใจมาก” มู่ฟูเหรินยิ้ม “ต้าหวัง นี่เป็นลิขิตสวรรค์ หากต้าหวังอภิเษกสมรสกับสตรีจากแคว้นไช่ก็เท่ากับเทพอุ้มสม”
“ตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นฉู่หาใช่มีเพียงแคว้นไช่” ฉู่หวังเอ่ยเสียงราบเรียบ “ส่งทูตไปยังแคว้นต่างๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ สอบถามดูว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์มีหญิงสาวที่อยู่ในวัยเหมาะสมหรือไม่ จากนั้นค่อยเสี่ยงทายอีกครั้ง”
จงอิ่นรีบรับพระบัญชา
มู่ฟูเหรินได้ยินแล้วสีหน้าไม่สบอารมณ์ ขณะกำลังจะเอ่ยปาก ฉู่หวังกลับลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้มอบให้จงอิ่นไปดำเนินการ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว” พูดจบก็ทำความเคารพมู่ฟูเหริน “ข้ายังต้องไปประชุมปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอีก หากเสด็จแม่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ขอทูลลา” พูดจบก็เดินจากไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เชียนโม่คาดคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉู่หวังจะเปลี่ยนสีหน้า เห็นซื่อเหรินฉวีเดินตามไปแล้วก็รีบตามติดไปข้างหลัง
“ต้าหวัง!” มู่ฟูเหรินเรียกออกมาคำหนึ่ง ฉู่หวังไม่ได้หยุดฝีเท้า ทิ้งไว้เพียงเงาด้านหลัง
มู่ฟูเหรินโมโหยิ่งนัก พลันนั้นก็เกิดเสียงดังโครม กล่องเคลือบเงาบนโต๊ะถูกนางขว้างออกมา พุทราแห้งที่ใส่อยู่ในนั้นกระจายเต็มพื้น
จงอิ่นกับปู่อิ่นต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กล่าวปลอบใจไปสองสามประโยคแล้วรีบทูลลา
เจิ้งจีรีบเก็บกล่องเคลือบเงาขึ้นมา ให้ซื่อเหรินเก็บกวาดสิ่งของที่ตกหล่นให้สะอาด
“ต้าหวังเพียงหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ ฟูเหรินอย่าโมโหไปเลยเพคะ จะเสียสุขภาพ” นางเอากล่องเคลือบเงาวางกลับคืนบนโต๊ะ กล่าวปลอบใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หุนหันชั่วขณะ?” มู่ฟูเหรินแค่นเสียงฮึ “เขาน่ะแข็งกร้าวแล้ว เวลานี้ไม่ว่าคำพูดใครก็ไม่ฟัง บอกเปลี่ยนสีหน้าก็เปลี่ยนสีหน้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะต้องลำบาก!”
เจิ้งจีรีบกล่าว “ฟูเหรินโปรดอย่ากล่าวเช่นนี้ ต้าหวังกับฟูเหรินจะต้องสุขสบายตลอดไป” พูดพลางยื่นน้ำผสมน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งให้มู่ฟูเหรินถึงมือ
มู่ฟูเหรินดื่มไปคำหนึ่ง ความขุ่นเคืองใจจึงค่อยสลายลงบ้าง
นางมองเจิ้งจีแวบหนึ่งแล้วถอนใจ “ข้าก็ทำไปเพียงเพื่อให้ตำหนักฝ่ายในมีความสนิทสนมกลมเกลียวกัน ฟูเหรินคนใหม่หากเป็นคนครอบครัวเดียวกันย่อมพูดจากันง่าย พวกเจ้าก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก” พูดจบจู่ๆ นางก็เอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ซืออีผู้นั้น เห็นบอกว่าเป็นคนโปรดคนใหม่ของต้าหวัง เจ้าเห็นแล้วคิดว่าอย่างไร”
เจิ้งจีอึ้งตะลึง รีบตอบเสียงแผ่วเบา “ต้าหวังงโปรดย่อมเป็นเรื่องดีเพคะ”
มู่ฟูเหรินยิ้ม
“เจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจ” นางกล่าว “บุรุษยังหนุ่มแน่น ใครบ้างไม่ชอบของใหม่เบื่อของเก่า เจ้าต้องพยายามฉกฉวยโอกาส มีลูกสาวลูกชายสักคนสองคน วันหน้าจะได้มีตำหนักเป็นเอกเทศ ทั้งฐานะก็มั่นคง”
เจิ้งจีก้มหน้าเอียงอาย กล่าวขอบพระทัยมู่ฟูเหรินพลางมองชายเสื้อ แววตาซับซ้อนสับสน
ฉู่หวังอารมณ์ไม่ดี ตลอดทางที่เดินไปทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เพิ่งกลับถึงวังก็มีซื่อเหรินมารายงานว่าคนที่มาร่วมปรึกษาหารือได้มารออยู่แล้ว ฉู่หวังรับทราบ ให้เชียนโม่ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เชียนโม่มองเงาร่างที่เดินออกไปของเขาพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พูดขึ้นมาแล้ว ท่าทางสีหน้าเย็นชาของฉู่หวังทำให้คนหวั่นเกรงมากจริงๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเสื้อให้เขา เขาไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว เชียนโม่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า กลัวจะไปแตะถูกเกล็ดย้อน* ของเขาเข้า
“ต้าหวังหรือ…ความจริงก็แค่เจ้าอารมณ์ไปหน่อย” ซื่อเหรินฉวีก็อับจนปัญญา ยกชายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดๆ เหงื่อที่หน้าผากแล้วกล่าวกับเธอ
เชียนโม่ไร้คำพูด เจ้าอารมณ์ก็ทำให้คนหวาดผวามากแล้ว
“เพราะเหตุใดต้าหวังจึงไม่ยินดีจะอภิเษกสมรสกับหญิงแคว้นไช่” รอจนซ้ายขวาไม่มีคนแล้ว เชียนโม่จึงถามซื่อเหรินฉวี
ซื่อเหรินฉวียิ้มเจื่อน “ก็ไม่ใช่ไม่ยินดี”
เชียนโม่งงงัน
ซื่อเหรินฉวีถอนหายใจ “ต้าหวังก็เป็นเช่นนี้ หากตัวเองต้องการ ไม่ต้องให้เจ้าพูดอะไร เขาก็จะไปทำเอง แต่ถ้าเจ้าบีบบังคับให้เขาทำอะไร เขาก็จะโกรธ กระทั่งทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เจ้าต้องการ ฟูเหรินใจร้อนเกินไป เฮ้อ!”
เชียนโม่ฟังแล้วก็ยิ้มขำ ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กในวัยต่อต้าน…
เธอไม่มีความสนใจในเรื่องของสองแม่ลูกเท่าไร แค่สอดรู้เล็กน้อยเท่านั้น เห็นว่าฉู่หวังคงไม่กลับมาง่ายๆ จึงไปที่สำนักซืออี
ซื่อเหรินฉวีรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมากที่เชียนโม่ยังดึงดันจะไปสำนักซืออีเช่นนี้ ในความคิดของเขา ฉู่หวังมอบหมายให้นางเป็นซืออีก็เพราะที่นั่นมีคนมาก ทำให้เชียนโม่ทั้งมีฐานะและมีเวลาปรนนิบัติดูแลฉู่หวังได้เต็มที่ เชียนโม่ทำเช่นนี้จึงเท่ากับไม่ใส่ใจงานหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่สำนักซืออี ดูแลดีเพียงใดแล้วอย่างไร นางทำเช่นนี้สิ้นเปลืองกำลังวังชาเปล่าๆ
เชียนโม่รู้ว่าคำพูดของซื่อเหรินฉวีมีเหตุผล แต่เธอเห็นว่ายุคสมัยนี้ ทางออกของอิสตรีเดิมก็มีน้อยอยู่แล้ว ฉู่หวังให้เธอเป็นซืออี ไม่ว่าเจตนาของเขาคืออะไร อย่างน้อยก็เป็นโอกาสหนึ่ง เธอไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่า
เชียนโม่เพิ่งจะเดินออกจากประตูวังก็พบกับอู่จวี่เข้าโดยบังเอิญ
ดูจากทิศทางที่เขาเดินมา คงเพิ่งออกมาจากการประชุมที่ท้องพระโรง ข้างๆ มีคนท่าทางเหมือนขุนนางอีกคนหนึ่งเดินมาด้วย คล้ายกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล
อู่จวี่เองก็เห็นเชียนโม่แล้ว เขามีสีหน้าประหลาดใจ
เชียนโม่ยิ้มๆ เดินเข้าไปหา
“อู่ต้าฟู” เชียนโม่ทำความเคารพ
อู่จวี่ทำความเคารพตอบ มองนางด้วยสีหน้าแฝงรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเวลานี้เจ้าเป็นซืออีแล้ว”
“ใช่เจ้าค่ะ” เชียนโม่ตอบ ในใจออกจะอับจนปัญญา กระทั่งอู่จวี่ก็ยังรู้แล้ว…
“จะไปไหนหรือ”
“ไปสำนักซืออีเจ้าค่ะ”
อู่จวี่พยักหน้า ขุนนางที่อยู่ข้างๆ เขาไม่ได้พูดอะไร ตลอดเวลาเอาแต่มองประเมินเชียนโม่
“ป๋ออวี๋ ผู้นี้คือซืออีที่มาใหม่ของวังหลวง” อู่จวี่นึกได้ว่าพวกเขายังไม่รู้จักกันจึงรีบหันไปกล่าวกับซูฉง พูดจบก็หันมากล่าวกับเชียนโม่ “ท่านนี้คือซูฉง ซูต้าฟู ฝู่ไจ่*แห่งสำนักซานเฉียนคนใหม่”
เชียนโม่ไม่รู้ว่าสำนักซานเฉียนคืออะไร ยิ้มแล้วหันไปทำความเคารพซูฉง “ฝู่ไจ่”
ซูฉงมองเชียนโม่ ส่งเสียงอืมออกมาทางจมูก
เชียนโม่เห็นอู่จวี่กับซูฉงกำลังปรึกษาเรื่องอะไรกันอยู่จึงไม่รบกวน ทำความเคารพอีกครั้งแล้วลาไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ของซูฉงดังมาจากด้านหลัง “ต้าหวังถึงกับเอานางในคนโปรดมาไว้ที่ราชสำนัก เหลวไหลสิ้นดี!”
เชียนโม่ชะงักค้าง เพียงรู้สึกแผ่นหลังแทบจะถูกนัยน์ตาที่คมดังมีดแทงทะลุแล้ว
อู่จวี่จนปัญญา ชายตามองเงาด้านหลังของเชียนโม่ “เบาเสียงหน่อย”
“ข้าจะไปพบต้าหวัง!” ซูฉงยิ่งไม่พอใจ “สำนักซานเฉียนเงินเข้าเงินออกสับสนวุ่นวาย ข้าฝู่ไจ่ผู้นี้ กระทั่งตัวเลขเป็นจริงที่เชื่อถือได้ก็ยังไม่มี! คลังหลวงสับสนยุ่งเหยิง ราชสำนักมีคนทุจริตต่อหน้าที่! ต้าหวังยังจะให้ท้ายสนมมาก่อความวุ่นวายให้ราชสำนัก แคว้นฉู่มีหรือจะไม่เสื่อมทรุด!”
“ป๋ออวี๋…”
อู่จวี่ยังพูดไม่ทันจบ พลันได้ยินเสียงพูดอย่างระมัดระวังดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ขอถาม…คลังหลวงสับสนยุ่งเหยิงมากหรือ”
อู่จวี่กับซูฉงสองคนต่างชะงักอึ้ง หันหน้ามาก็เห็นเชียนโม่ไม่รู้เดินย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร กำลังมองมาที่พวกเขา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ตัวเลขที่ไม่ชัดแจ้งเหล่านั้น ให้ข้าดูสักหน่อยจะได้หรือไม่”
ฉู่หวังประทับอยู่เบื้องบน กำลังฟังด้านล่างโต้เถียงกัน สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
เหว่ยเหมิงคนในวงศ์สกุลเดียวกับเหว่ยจย่า เนื่องจากมีความดีความชอบในการปราบยงจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และที่นาศักดินา หลายวันก่อนเหว่ยเหมิงได้รับรายงานจากคนในครอบครัวว่าต้นกล้าที่เพิ่งจะปลูกซ่อมแซมลงไปในที่นาถูกวัวกินไปจำนวนมาก เหว่ยเหมิงตกใจจึงรีบไปตรวจดู เห็นต้นกล้าถูกทำลายไปหลายสิบหมู่* หลังจากตามสืบสาวราวเรื่องดูก็พบว่าเป็นวัวในที่นาศักดินาของโต้วเหวย หลานชายของลิ่งอิ่นโต้วปัน เหว่ยเหมิงไปต่อว่าต่อขาน โต้วเหวยกลับบอกว่าที่นาแห่งนี้เดิมเป็นของพวกเขา ได้รับพระราชทานศักดินามาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ทำเป็นที่เลี้ยงสัตว์ล่าสัตว์มาโดยตลอด ทั้งกล่าวหาสกุลเหว่ยว่าใช้ถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะประจบสอพลอ ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องแย่งชิงที่ดินศักดินาของผู้อื่นมาเป็นของตน เหว่ยเหมิงเดือดดาลหนัก ระดมคนในครอบครัวยึดวัวของโต้วเหวยไป โต้วเหวยก็ไม่อ่อนข้อ วันเดียวกันนั้นก็พาคนมาโจมตีกลับ ชิงวัวกลับคืนไป
เรื่องนี้ทะเลาะกันใหญ่โต ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นสกุลใหญ่ ต้าฟูในท้องที่ที่ควบคุมดูแลอยู่ไม่อาจจัดการได้ ลำบากใจยิ่ง หลังจากฉู่หวังทราบเรื่องจึงเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเข้ามาในวัง ให้พวกเขาถกเหตุผลกันต่อหน้าตน คนเหล่านี้เห็นฉู่หวัง ตอนแรกยังไม่กล้ากำเริบเสิบสาน แต่หลังจากต่างฝ่ายต่างบอกเล่าเรื่องราวออกมาก็เริ่มเป็นปากเป็นเสียงกัน ทั้งสองฝ่ายต่างยืนกรานความถูกต้องของตน โต้เถียงกันเอะอะโวยวายขึ้นมา
ฉู่หวังก็ไม่กริ้ว มองไปทางลิ่งอิ่นโต้วปันและกงอิ่นเหว่ยจย่า พวกเขาถูกฉู่หวังเรียกตัวมา เพิ่งเร่งรุดถึง พอเห็นคนในวงศ์สกุลของตนกำลังโต้เถียงกันจนหน้าแดงหูแดงอยู่ในท้องพระโรงก็อดที่จะอับอายไม่ได้
“พอแล้ว! มาส่งเสียงเอะอะโวยวายในท้องพระโรงได้อย่างไร!” โต้วปันตวาดขึ้น กล่าวตำหนิ
เหว่ยจย่าก็ก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าต่างได้รับพระเมตตา กลับมาแย่งชิงผลประโยชน์กันต่อหน้าพระพักตร์ต้าหวัง ไม่อัปยศอดสูกันเสียเลย!”
ทุกคนเห็นหัวหน้าวงศ์สกุลของตนบันดาลโทสะก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบก้มหน้าปิดปากเงียบ
“ต้าหวัง” โต้วปันใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ ลงหมอบกราบต่อหน้าฉู่หวัง “คนในวงศ์สกุลไร้มารยาท เป็นความบกพร่องในการอบรมสั่งสอนของกระหม่อม ต้าหวังโปรดลงอาญา”
ฉู่หวังมองพวกเขา สีหน้าไร้คลื่นลม
“ตามความเห็นของลิ่งอิ่น เรื่องนี้ควรจัดการเช่นไร” ฉู่หวังเอ่ยถาม
ไม่รอให้โต้วปันตอบ เหว่ยจย่าก็ชิงกล่าวขึ้นก่อน “ลิ่งอิ่นไม่มีความผิดอะไร เรื่องนี้สกุลเหว่ยเป็นฝ่ายรุกล้ำที่นาของสกุลโต้ว สกุลเหว่ยได้รับพระราชทานศักดินาทีหลังย่อมสมควรถอยให้ กระหม่อมมีที่นาศักดินาที่รอบนอกนครอิ่งตูสองร้อยหมู่ ยินดีมอบให้สกุลโต้วเป็นการชดใช้”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทุกคนในท้องพระโรงต่างพากันประหลาดใจ
โต้วเหวยนัยน์ตาเป็นประกาย ที่นารอบนอกนครอิ่งตูทุกผืนล้วนอุดมสมบูรณ์ เปรียบกับที่ดินในมือเหว่ยเหมิงพวกนั้นแล้วดีกว่าไม่รู้เท่าไร เขามองไปทางโต้วปัน เพียงเห็นโต้วปันสีหน้าไม่สงบนิ่ง
สกุลเหว่ยเป็นวงศ์สกุลที่เกิดขึ้นมาทีหลัง แต่ไรมาก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของสกุลโต้วที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนเหว่ยจย่าที่เป็นคนรุ่นหลัง โต้วปันก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างธรรมดาทั่วไปไม่ร้อนไม่หนาว คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะแสดงออกด้วยความใจกว้างเช่นนี้ ทำให้โต้วปันนอกจากคาดคิดไม่ถึงแล้ว ในใจก็รู้สึกสบายใจ
“กงอิ่นกล่าวเกินไปแล้ว!” โต้วปันกล่าว “เด็กๆ พิพาทกัน ไยต้องให้กงอิ่นตัดใจทิ้งของรัก ไม่อาจทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”
เหว่ยจย่ายิ้มน้อยๆ “ลิ่งอิ่นอย่าปฏิเสธเลย ผู้น้อยแต่ไรมาก็เกียจคร้าน ทั้งที่นาก็ไม่ค่อยได้ดูแลใส่ใจ กระทั่งมีหญ้าขึ้นรก ไม่สู้มอบให้อยู่ในนามสกุลโต้ว ทั้งสามารถยุติข้อพิพาทในครั้งนี้ ทั้งสามารถเพิ่มจำนวนข้าวให้กับยุ้งฉาง ดีเช่นนี้ไยจึงไม่ทำเล่า”
คนของสกุลโต้วต่างดีอกดีใจ โต้วปันก็ไม่บอกปัดอีก การโต้เถียงกันยุติลงด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น
ฉู่หวังเห็นเรื่องนี้สงบลงแล้วก็โบกมือให้แยกย้ายกันไป
“ท่านอา” ตอนเดินออกจากท้องพระโรง เหว่ยเหมิงรู้สึกฉงนและไม่ยินยอม “ที่นานั่นต้าหวังปูนบำเหน็จให้ เพราะเหตุใดต้องยอมถอย”
“ถอย?” เหว่ยจย่ามองเขาแล้วยิ้มบาง “หากถอยเพื่อจะรุก การถอยก็ไม่ใช่การถอย” พูดจบเขาก็มองท่าทางภาคภูมิใจในความสำเร็จของพวกสกุลโต้ว แล้วกล่าวอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “รอดูกันไป พวกเขากระหยิ่มยิ้มย่องได้อีกไม่กี่ปีหรอก”
ตอนพระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ฉู่หวังก็กลับถึงวัง ซื่อเหรินที่อยู่ปรนนิบัติต่างถวายบังคม
ฉู่หวังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว เดินตรงเข้าข้างใน ครู่หนึ่งเสี่ยวเฉินฝูก็เข้ามา “ต้าหวัง เมื่อเช้าต้าหวังตรัสว่าจะเสด็จไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่วังมู่ฟูเหริน ต้าหวัง…”
“ไม่ไป! บอกไปว่ากว่าเหรินพักผ่อนแล้ว ไว้วันหลัง” เขาพูดด้วยความรำคาญ
เสี่ยวเฉินฝูรีบรับคำแล้วเดินออกไป
ฉู่หวังนั่งลงบนตั่งแล้วเอนพิงพนัก ใช้นิ้วมือกดที่จุดไท่หยาง* เบาๆ
นึกถึงเรื่องในท้องพระโรงเมื่อครู่ เขาก็เดือดดาลหนัก คนสกุลโต้วที่ร้ายกาจถึงกับกล้าพูดเรื่องที่นาที่อดีตหวังประทานให้ ปฏิเสธไม่ยอมรับการประทานศักดินาของเขา รั่วเอ๋ามีอิทธิพลมาก เป็นความหนักใจของหวังแห่งแคว้นฉู่มาทุกยุคทุกสมัย ฉู่หวังเพิ่งกำราบสกุลเฉิงลง สกุลโต้วก็โผล่ออกมาอย่างอดใจรอไม่ไหว เปรียบกับสกุลเฉิงแล้วยังยิ่งใหญ่กว่าแข็งแกร่งกว่า เขาเคยตรวจดูที่ดินศักดินาของสกุลโต้ว ถึงกับครอบครองที่ดินกว่าสามส่วนของที่ดินศักดินาทั้งหมดในแคว้นฉู่เลยทีเดียว กองกำลังทหารส่วนตัวก็มีจำนวนมาก หากสั่งยกเลิกง่ายๆ ก็เกรงจะทำให้เกิดศึกภายใน ฉู่หวังรู้สึกว่าเรื่องนี้แก้ยากน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง
ฉู่หวังยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ หยิบถ้วยน้ำมาดื่มอึกหนึ่ง กลับพบว่าน้ำเย็นไปแล้ว
เขาย่นหัวคิ้วแล้วร้องเรียก “เชียนโม่!”
ไม่มีคนขานรับ
ฉู่หวังเรียกอีกคำ เชียนโม่ยังคงไม่ปรากฏตัวขึ้น
เขาแปลกใจจึงลุกขึ้นมาแล้วเดินไปรอบตำหนัก แต่ไม่พบแม้เงาของนาง ถามซื่อเหรินที่อยู่แถวนั้นก็ไม่มีใครบอกได้
“ซืออีโม่ไม่อยู่ในวังพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเหรินฉวีถูกเรียกตัวมา รีบชี้แจงด้วยสีหน้าเหยเก “เมื่อครู่มีคนจากสำนักซานเฉียนมารายงานว่าซืออีโม่ไปที่สำนักซานเฉียนแล้ว ต้องค่ำหน่อยจึงจะกลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
สำนักซานเฉียน?
ฉู่หวังงงงัน จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยน
ไร้เหตุผลสิ้นดี!
ซูฉงได้ยินคำพูดของเชียนโม่ ตอนแรกไม่คิดจะใส่ใจ แต่อู่จวี่กลับวางท่าเป็นคนใจดีมีเมตตา ไม่สนใจว่าเขาจะขมวดคิ้วถลึงตา รับปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พาซูฉงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจกับเชียนโม่ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจดีใจไปที่สำนักซานเฉียน
ประจวบเหมาะกับสองวันนี้คนของสำนักซือฮุ่ย* มาคำนวณและเก็บตัวเลขซูฉงบอกหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่ทางซือฮุ่ยส่งมาสั้นๆ ว่าสตรีผู้นี้คิดเลขได้ ให้นางลองทำดู พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
หัวหน้าฝ่ายบัญชีควบคุมดูแลเจ้าพนักงานเจ็ดแปดคน ทั้งยังกำลังถูกแท่งคำนวณกับตัวเลขที่จดบันทึกอยู่บนแผ่นไม้ไผ่กองใหญ่ทำให้กลัดกลุ้ม พอได้ยินคำสั่งนี้ เดิมออกจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ซูฉงเป็นขุนนางใหญ่ ทั้งแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนพูดง่าย หัวหน้าฝ่ายบัญชีมองเชียนโม่ที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไมมีอัธยาศัยแล้วก็อับจนปัญญา จำต้องให้ลูกน้องพาเชียนโม่ไป เอางานให้นางทำ
“เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก” อู่จวี่หันไปมองเชียนโม่ที่นั่งลงตรงหน้าโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะกล่าวกับซูฉง “นางตั้งใจมาช่วยเจ้า ทั้งไม่เคยหาเรื่องเจ้า เหตุใดจึงเอาแต่ชักสีหน้าใส่ผู้อื่น”
ซูฉงบอกอย่างรำคาญใจ “ที่นี่คือสำนักซานเฉียน อนุญาตให้นางเข้ามาได้ก็นับว่ามีไมตรีแล้ว”
อู่จวี่รู้นิสัยของเขาดีจึงไม่พูดอะไรอีก
ซูฉงมีงานต้องทำมากมายก่ายกอง อู่จวี่แม้จะว่างอยู่แต่ก็ไม่ไปไหน กลับเดินดูทั่วๆ ห้องนี้กว้างใหญ่มาก บนชั้นวางที่เรียงเป็นแถวมีม้วนไม้ไผ่วางอยู่เต็มไปหมด พอดีอู่จวี่อยากจะทำความเข้าใจตัวเลขเข้าออกบางอย่าง จึงหยิบม้วนไม้ไผ่จำนวนหนึ่งมาอ่านดู
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในห้องไม่นับว่าสงบเงียบ เหล่าข้าราชสำนักจากสำนักซือฮุ่ยที่มาคำนวณตัวเลขพลิกแผ่นไม้ไผ่ ขยับแท่งคำนวณไปมา ปากก็ท่องบ่นอะไรขมุบขมิบ เมื่อเปรียบกันดูแล้วเชียนโม่กลับเงียบสงบกว่ามาก นางนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง แทบจะไม่มีใครใส่ใจ
อู่จวี่อ่านม้วนไม้ไผ่ในมือหมดก็หันไปมองเชียนโม่ อดไม่ได้ที่จะเดินไปดู นางดูเพลิดเพลินยิ่ง ไม่รู้สึกตัวเลยว่าอู่จวี่เข้ามาใกล้ เขาเห็นเพียงศีรษะที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างจริงจัง บนโต๊ะของนางไม่ได้เต็มไปด้วยแท่งคำนวณเหมือนคนอื่นๆ แต่บนพื้นกลับมีถาดทรายที่ปกติเจ้าหน้าที่ในสำนักใช้ฝึกเขียนอักษรวางอยู่ถาดหนึ่ง เชียนโม่ถือท่อนไม้เล็กๆ เขียนๆ วาดๆ อยู่ในถาดทราย คล้ายลวดลาย บางครั้งก็วาดขีดขวางลงไปขีดหนึ่ง อู่จวี่ดูด้วยความมึนงง
เขาไม่ได้รบกวนนาง เดินออกมาเงียบๆ
ซูฉงก็กำลังตรวจสอบสมุดบันทึก ยิ่งดูหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น สำนักซานเฉียนเป็นคลังเงินของแคว้นฉู่ ที่ผ่านมาจื่ออวิ่นผู้เป็นอาของฉู่หวังเป็นผู้ควบคุมดูแล จื่ออวิ่นรักสบาย ทั้งยังเป็นญาติผู้ใหญ่ของฉู่หวัง ไม่ค่อยรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ก่อนหน้านี้ไม่นานจื่ออวิ่นอ้างว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ กลับไปพักรักษาตัวในที่ดินศักดินา แต่ความจริงแล้วไปล่าสัตว์กับผู้อื่น สำนักซานเฉียนไม่มีคนดูแลจัดการกว่าครึ่งเดือน ฉู่หวังทราบเรื่องก็กริ้วหนัก ถอดถอนจื่ออวิ่นออกจากตำแหน่งฝู่ไจ่ทันทีแล้วให้ซูฉงรับหน้าที่แทน
ซูฉงเข้าใจว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสำนักซานเฉียนเป็นเพียงเพราะความหย่อนยานเล็กน้อย รอจนรับมอบงานมาดูตัวเลขทั้งหมดกลับพบว่าไม่ว่าอะไรก็ไม่ตรงกันเลย ถึงได้รู้สึกถึงความหนักหนาของเรื่องราว เขารีบรายงานฉู่หวัง ให้ซือฮุ่ยส่งคนมาตรวจสอบเงินเข้าออกในสำนักอย่างละเอียดอีกครั้ง
“มิน่าต้าหวังถึงได้มอบสำนักซานเฉียนให้ข้า” ซูฉงดูตัวเลขเหล่านั้นจนเวียนหัว เอาม้วนไม้ไผ่โยนลงบนโต๊ะ “มีแต่เรื่องที่ทำให้จิตใจย่ำแย่”
อู่จวี่หยิบขึ้นมา ดูๆ แล้วว่า “สำนักซานเฉียนใหญ่และสำคัญ จำเป็นต้องมีคนที่ควบคุมรักษาการณ์ได้ ย่อมต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน พลันเห็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีถือแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นเดินเข้ามา สีหน้าดูสับสน
“มีอะไรหรือ” ซูฉงถาม
“ซืออีท่านนั้นคิดยอดรายรับรายจ่ายทั้งหมดในช่วงเวลาเกือบสองเดือนเสร็จแล้ว” หัวหน้าฝ่ายบัญชีว่า
ซูฉงชายตามองแผ่นไม้ไผ่แวบหนึ่ง “มีอะไรหรือ”
“ตัวเลขที่ได้ไม่ผิดจากที่พวกผู้น้อยคิดออกมา”
ซูฉงส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง มองไปทางอู่จวี่อย่างยั่วเย้าเหน็บแนม “นางบอกว่านางคิดเลขได้ก็คิดได้จริง ทั้งไม่ผิดจากที่คนอื่นคิดออกมา หึๆ…”
“ฝู่ไจ่ ผู้น้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หัวหน้าฝ่ายบัญชีกลืนน้ำลาย “ตัวเลขนี้ สำนักซือฮุ่ยคำนวณออกมาใช้เวลาไปทั้งหมดสามวัน”
ซูฉงตะลึงงัน
อู่จวี่มองหน้าเขาแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นซืออีโม่ใช้เวลาไปเท่าไร”
“สามชั่วยาม…”
ทั้งสองคนต่างตื่นตะลึง
อู่จวี่บนใบหน้ามีรอยยิ้มผุดขึ้น มองไปทางซูฉงที่มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แล้วยิ้มอย่างฝากแฝงความหมายลึกซึ้ง “นางคำนวณเป็นจริงๆ ป๋ออวี๋อย่าดูเบาผู้อื่น!”
เชียนโม่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย อีกปีกว่าจึงจะจบการศึกษา ทว่าผลการเรียนในวิชาเอกกลับไม่เลว
สำนักซานเฉียนดูแลเรื่องทองคำ เงิน ทองแดง ทรัพย์สินทั้งสามอย่างนี้ เป็นสำนักการคลังที่มีชื่อเสียงสมจริง สิ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากภาษีที่นาและภาษีอื่นๆ การขุดเหมืองแร่และการค้าต่างแคว้น มีเงินเข้าออกทุกวันย่อมต้องมีรายการบัญชี ทว่ากำลังการผลิตและระดับความคึกคักทางการค้ายังไม่สูง ปริมาณไม่นับว่ามากมายมหาศาล รูปแบบการคิดคำนวณก็เรียบง่ายกว่าสมัยปัจจุบันมาก อุปสรรคสำคัญในการทำงานของเชียนโม่อยู่ที่รูปแบบในการทำบัญชี รายการบัญชีเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ตัวเลข หรือวิธีจดบันทึกล้วนแตกต่างจากสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ทว่าเรื่องนี้กล่าวสำหรับเชียนโม่แล้วไม่นับว่าเกินความสามารถ ดูบัญชีรายวันไม่กี่ชุดก็พอจะเข้าใจกฎเกณฑ์พื้นฐานแล้ว หัวหน้าฝ่ายบัญชีเอาข้อมูลรายรับรายจ่ายต่างๆ ในแต่ละเดือนมาให้ เชียนโม่ก็เริ่มลองจัดทำให้เป็นระเบียบ
ตอนนางเอาผลที่ได้ออกมามอบให้หัวหน้าฝ่ายบัญชี หัวหน้าฝ่ายบัญชีผู้นั้นย่นหัวคิ้ว ถามผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นอย่างไม่ชอบใจนักว่าใครเอาตัวเลขที่ตรวจสอบและคำนวณเสร็จตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนให้นาง ข้าราชสำนักเหล่านั้นต่างมีสีหน้างงงวย บอกว่าไม่มีใครลุกออกจากที่ สีหน้าของหัวหน้าฝ่ายบัญชีเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมาทันที รีบไปดูต้นร่างของเชียนโม่ กลับพบว่าดูไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
ภายใต้ความตื่นตะลึงและสงสัย หัวหน้าฝ่ายบัญชีจึงเอาข้อมูลของอีกเดือนหนึ่งมาให้เชียนโม่ ให้นางจัดทำอีกครั้ง พอผลออกมา ความรู้สึกของหัวหน้าฝ่ายบัญชีก็ไม่สามารถใช้คำว่าประหลาดใจมาบรรยายได้แล้ว
เชียนโม่เห็นสีหน้าของหัวหน้าฝ่ายบัญชีเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ยังไปเชิญซูฉงคนที่ดูเหมือนพูดจาด้วยยากผู้นั้นมาด้วย ก็อดที่จะยิ่งตื่นเต้นไม่ได้
“นี่เจ้าเป็นคนทำหรือ” ซูฉงถือแผ่นไม้ไผ่เหล่านั้นมาถามเชียนโม่
เชียนโม่ลังเล ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
เขายังหยิบแผ่นไม้ไผ่ที่นางใช้เป็นต้นร่างเหล่านั้นมาด้วย และก็ดูไม่ออกเหมือนคนอื่น “วิธีการคิดเลขของเจ้าไปเรียนมาจากที่ใด”
“บ้านเกิด” เชียนโม่ตอบอย่างระมัดระวัง
ซูฉงมองจ้องนาง บนใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แววตาออกจะบีบคั้นคนอยู่หลายส่วน เชียนโม่ก็มองเขา รู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของตนใกล้จะแข็งค้างแล้ว
ฉับพลันนั้นเองมุมปากของซูฉงก็หยักโค้งขึ้น ความตึงเครียดที่หน้าผากก็ดูผ่อนคลายลง
“หัวหน้าฝ่ายบัญชี” เขาหันไปสั่งการ “ยังมีรายรับรายจ่ายเดือนใดที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จ แบ่งมาให้นางส่วนหนึ่ง!”
เชียนโม่คาดคิดไม่ถึงว่าซูฉงจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ งงงันอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีให้ลูกน้องพานางไปทำงานก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ขอบคุณมาก…ขอบคุณมากฝู่ไจ่!”เชียนโม่กล่าวขอบคุณเสียงตะกุกตะกัก
ซูฉงยิ้มแล้วหมุนตัวเดินจากไป
อู่จวี่เห็นผลออกมาเช่นนี้ก็ยิ้มไปด้วย เขามองไปทางหญิงประหลาดผู้นั้น เพียงเห็นนางรับม้วนไม้ไผ่หอบใหญ่ที่คนของสำนักซือฮุ่ยส่งให้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม งานของสำนักซือฮุ่ยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเหนื่อยยากและน่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด แต่หญิงผู้นี้กลับคล้ายได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ที่ใฝ่ฝันหาแม้ในยามหลับ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เขาเดินเข้าไป มองเชียนโม่เอาแผ่นไม้ไผ่เหล่านั้นค่อยๆ วางลงบนโต๊ะแล้วหยิบขึ้นมาดูทีละแผ่นๆ ปากก็ท่องวันที่จดบันทึก คล้ายกำลังคิดว่าอันไหนมาก่อน อันไหนมาหลัง จากนั้นก็วางเรียงให้เป็นระเบียบ
“อันที่สามผิดแล้ว” อู่จวี่ตาแหลม ชี้มือไปแล้วอธิบาย “แผ่นนี้ปิงจื่อคือวัน ส่วนแผ่นนั้นติงโฉ่วคือเดือน* หาใช่วันติดกันไม่”
เชียนโม่ดูๆ แล้วก็เห็นเป็นเช่นที่เขาพูดจริง นางรีบหยิบอันที่วางผิดออกมาแล้วยิ้มอายๆ
“ข้าดูผิดไปแล้ว” นางกล่าว “ขอบคุณต้าฟู!”
อู่จวี่สีหน้าอ่อนโยน และนั่งลงช่วยนางจัดเรียงเสียเลย
ข้าราชสำนักซือฮุ่ยต่างอยากรู้อยากเห็น พากันเข้ามาล้อมวงดู เห็นเชียนโม่เขียนลายเส้นรูปร่างแปลกประหลาดเหล่านั้นก็ถาม “นี่คืออะไร”
“ตัวเลข” เชียนโม่บอก
พวกเขายิ่งประหลาดใจหนัก
“พวกเจ้าคนทางใต้เขียนตัวเลขเช่นนี้หรือ”
“สามเขียนอย่างไร”
“ห้าเล่า”
“เอาขีดหนึ่งกับสองมารวมกันก็ง่ายดี”
“ไม่สวย”
“เหมือนภาพวาดของเด็กๆ…”
ฟังพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์คนละคำสองคำ เชียนโม่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่นานหัวหน้าฝ่ายบัญชีพบว่าไม่มีคนทำงานก็เดินมาไล่พวกเขากลับไป
เชียนโม่กับอู่จวี่มองหน้ากันแล้วหัวเราะ ขณะกำลังจะเรียงแผ่นไม้ไผ่ต่อพลันได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตู “ถวายบังคมต้าหวัง!”
เอ๋?
เชียนโม่กับอู่จวี่ต่างประหลาดใจ ครู่เดียวก็เห็นเงาร่างฉู่หวังเดินเข้ามาข้างใน ทุกคนรีบลุกขึ้นแล้วหมอบกราบลงกับพื้น
ฉู่หวังยังสวมชุดที่ไปประชุมปรึกษาหารืออยู่ เขาสาวเท้ายาวๆ เข้ามา แล้วก็เห็นเชียนโม่ที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง
จากนั้นเขาก็เห็นอู่จวี่ที่คุกเข่าถวายบังคมอยู่ด้วยกันกับนาง
ฉู่หวังอึ้งไปชั่วขณะ
“ถวายบังคมต้าหวัง” ในเวลานี้เองเสียงของซูฉงก็ดังขึ้นมาที่ข้างกาย ฉู่หวังมองไป เพียงเห็นเขากำลังทำความเคารพตนตามปกติ
ซูฉงเป็นคนเด็ดขาดกล้าพูดกล้าทำ เวลาพูดจากับเขา ฉู่หวังมักรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนพูดกับคนอื่นๆ
ฉู่หวังควบคุมอารมณ์อยู่ชั่วขณะ แล้วโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น
“กว่าเหรินเพิ่งเลิกจากประชุม ถือโอกาสผ่านมาดู” เขากล่าวเสียงราบเรียบแล้วนั่งลงบนตั่ง
ทุกคนได้ฟังคำพูดนี้ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ
เชียนโม่แอบนึกขำในใจ สถานที่ประชุมปรึกษาหารือของเขาอยู่ที่วังเกาหยาง สำนักซานเฉียนอยู่ในสถานที่ทำการห่างออกมาหลายลี้ นี่นับเป็นการถือโอกาสผ่านมาแบบไหนกัน…
ขณะกำลังวิจารณ์อยู่ในใจก็ได้ยินฉู่หวังเอ่ยขึ้น “ซืออีโม่ น้ำ”
เชียนโม่คาดคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ตนจะถูกเรียกชื่อ เงยหน้าขึ้นก็เห็นฉู่หวังกำลังมองมา เธออึดอัดลำบากใจ จำต้องไปรินน้ำมาให้ฉู่หวัง
ซูฉงมองๆ อู่จวี่ แววตาบ่งบอกความเข้าใจหลายส่วน แต่กลับเอ่ยขึ้น “ต้าหวังเสด็จมาพอดี กระหม่อมกำลังคิดจะไปทูลรายงานเรื่องตัวเลขที่ตรวจสอบในช่วงสองสามวันมานี้”
“อ้อ” ฉู่หวังรับถ้วยน้ำที่เชียนโม่ยื่นส่งให้ มองนางแวบหนึ่ง “เป็นอย่างไร”
ซูฉงได้ยินสามคำนี้ก็รีบให้ผู้ติดตามเอาตัวเลขที่ตรวจสอบและคำนวณออกมาในช่วงหลายวันนี้มาถวายฉู่หวัง แล้วเล่าถึงสถานการณ์ในสำนักซานเฉียน ตั้งแต่ขั้นตอนการควบคุมดูแลจนถึงรูปแบบการทำงาน ความสะเพร่าตกหล่นต่างๆ เขาได้ตำหนิติเตียนไปอย่างหนักแล้ว
“สำนักซานเฉียนเกี่ยวพันถึงการเงินของแคว้น กลับปล่อยปละหย่อนยาน หลายสิ่งเกิดความผิดพลาดเพราะความประมาทเลินเล่อ กระหม่อมเห็นว่าต้าหวังควรโยกย้ายสับเปลี่ยนคนที่เฉื่อยเนือยออกไป เพิ่มกำลังคนเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สินในคลังและรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนใหม่อีกครั้ง ให้ตัวเลขยอดรวมรายรับรายจ่ายในหนึ่งปีสอดคล้องตรงกัน!”ซูฉงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉู่หวังพยักหน้า “ดีมาก ทำตามที่ท่านว่ามา” พูดจบก็วางถ้วยน้ำแล้วลุกขึ้น
“พรุ่งนี้ตอนประชุมขุนนาง เจ้าก็พูดเรื่องสำนักซานเฉียนต่อหน้าลิ่งอิ่น ซือหม่า กงอิ่นอีกครั้ง จะได้ปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดและกำหนดลงไป” พูดจบเขาก็สั่งการ “ซืออีโม่ ตามกว่าเหรินกลับวัง” จากนั้นก็จะเดินออกนอกประตู
เชียนโม่ใจกระตุกขึ้นวาบหนึ่ง ในเวลานี้เองซูฉงก็เข้าขวางหน้าฉู่หวังไว้
“ยังมีเรื่องอะไรอีก” ฉู่หวังมองซูฉงที่ประสานมือคารวะแทบจรดพื้นพลางย่นหัวคิ้ว
“กระหม่อมขอให้ต้าหวังได้โปรดให้ซืออีโม่อยู่ต่อ” เขากล่าว
ฉู่หวังใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก “นางเป็นซืออีของกว่าเหริน”
“กระหม่อมกำลังจะทูลรายงานเรื่องนี้ต่อต้าหวัง” ซูฉงกล่าว “ต้าหวัง ซืออีโม่เชี่ยวชาญการคิดเลข เวลานี้สำนักต่างๆ รวมทั้งซือฮุ่ยล้วนขาดแคลนคน โดยเฉพาะคนที่เชี่ยวชาญการคำนวณ กระหม่อมขอให้ต้าหวังโปรดโยกย้ายซืออีโม่มาอยู่สำนักซือฮุ่ยเพื่อบรรเทาความเร่งด่วนนี้”
“ซือฮุ่ย?” ฉู่หวังคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พวกท่านล้วนเป็นบุรุษ ยังไม่อาจทำงานให้ลุล่วงได้ กลับจะให้สตรีผู้หนึ่งมาทำ”
“กระหม่อมเห็นว่าไม่มีอะไรไม่ได้” ซูฉงพูดฉะฉานมีเหตุผล “ต้าหวัง สติปัญญาของคนเราเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ฉลาดหรือโง่เขลาไม่ได้แบ่งตามชายหญิง ต้าหวังแสวงหาผู้มีสติปัญญาทั้งในราชสำนักและประชาชน ใต้หล้าต่างรู้กันทั่ว ในเมื่อซืออีโม่เชี่ยวชาญการคำนวณ มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง แล้วไยต้องถือเคร่งว่าเป็นชายหญิง นี่เป็นประการที่หนึ่ง ประการที่สอง กระหม่อมเห็นว่าหากต้าหวังทรงอนุญาต ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่าต้าหวังมีจิตใจที่มุ่งแสวงหาผู้มีสติปัญญา ทำให้ผู้มีสติปัญญาความสามารถบากหน้ามาพึ่งพาแคว้นฉู่ ไยมิใช่เป็นเรื่องดียิ่งหรือ”
แววตาฉู่หวังกระตุกไหว มองเชียนโม่
เชียนโม่มองเขา หัวใจเต้นตึกตัก ดวงตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย
“กว่าเหรินไม่อนุญาต” เหนือความคาดหมาย ฉู่หวังกลับกล่าวอย่างเบาหวิวออกมาประโยคหนึ่ง “ซือฮุ่ยขาดคนคิดคำนวณ พรุ่งนี้กว่าเหรินจะถ่ายทอดคำสั่งให้ทั้งแคว้นแนะนำคนมา ซือฮุ่ยขาดคนกี่คน กว่าเหรินก็เพิ่มคนให้เท่านั้น”
หัวใจของเชียนโม่จมดิ่ง
ซูฉงได้ยินแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นฉู่หวังจะเดินต่อ เขาก็เข้าขวางหน้าไว้อีกครั้ง เอ่ยด้วยเสียงก้องกังวาน “ต้าหวังได้โปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ซูฉง!” ในที่สุดฉู่หวังก็สุดจะทนไหว สีหน้าเย็นชา “กว่าเหรินบอกไม่อนุญาต นี่เป็นคำสั่ง ท่านไม่ได้ยินหรือ”
“กระหม่อมได้ยินแล้ว ถึงได้ทักท้วง!” ซูฉงก็พูดอย่างแข็งกร้าว “ต้าหวังมีความฮึกเหิมมุ่งมั่นที่จะปกครองบ้านเมือง เวลานี้เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น กลับยอมจะได้ชื่อว่าลุ่มหลงมัวเมาในสุรานารีอีกครั้ง แต่ไม่ยอมป่าวประกาศชื่อว่าเป็นผู้มุ่งแสวงหาผู้มีสติปัญญา! ต้าหวังลืมคำสาบานต่อหน้าศาลบูรพกษัตริย์ในตอนนั้น ไยมิใช่ทำให้ราชสำนักและประชาชนผู้จงรักภักดีต้องผิดหวัง”
เสียงของเขาหนักแน่นทรงพลัง ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตระหนกจนไม่กล้าแม้จะหายใจแรง รวมทั้งเชียนโม่ด้วย
ฉู่หวังโกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ มองจ้องเขม็ง กัดฟันเอ่ยขึ้น “คนไร้มารยาท สั่งประหารได้!”
ซูฉงกลับไม่ยอมแพ้ ยืดอกเชิดหน้าก้าวเข้ามาแล้วคุกเข่าลงหมอบกราบอีกครั้ง กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “สกุลซูรับเบี้ยหวัดจากต้าหวังมาหลายชั่วคน หากต้องตายเพราะทูลทัดทานเพื่อบ้านเมือง ถือเป็นบุญวาสนาของซูฉง!”
เส้นโลหิตของฉู่หวังเต้นตุบๆ แทบจะพ่นไฟออกมา
เชียนโม่ไม่แปลกใจเลยหากอีกสักครู่เขาจะเอาแผ่นไม้ไผ่บนโต๊ะกองนั้นทุบใส่ศีรษะซูฉง แบบนี้ไหนเลยเรียกว่าทัดทาน นี่เป็นการยั่วยุชัดๆ…
แม้เธอจะหวาดกลัว แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตนเป็นเหตุ ดูเหมือนเธอควรจะพูดอะไรบ้าง
ลังเลอยู่ครู่ใหญ่เธอก็ก้าวออกไปข้างหน้า แต่แล้วในเวลานี้เองชายแขนเสื้อก็ถูกดึงรั้งไว้ เธอหันกลับไปก็เห็นว่าเป็นอู่จวี่
เขาก้าวขึ้นมา ไปหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างฉู่หวังกับซูฉงแล้วหันไปคารวะฉู่หวังอย่างนอบน้อม
“ต้าหวัง” เขาเอ่ย “กระหม่อมเห็นว่าคำพูดของซูฝู่ไจ่ก็มีเหตุผล สำนักซานเฉียนกำลังตรวจสอบสะสาง ขาดแคลนกำลังคนหนัก ในเมื่อซืออีโม่ช่วยได้ เหตุใดต้าหวังไม่ให้นางมาช่วยซือฮุ่ยชั่วคราว เบื้องบนดีต่อต้าหวังและบ้านเมือง เบื้องล่างก็ดีต่อราชสำนักและราษฎร”
ฉู่หวังมองเขา สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงเย็นชาแข็งกระด้าง
“ซืออีโม่ ตามกว่าเหรินกลับวัง” เขาถอนสายตากลับ ตวัดชายแขนเสื้อ เดินอ้อมคนทั้งสองออกไป
ล้อรถม้ากลิ้งบดไปบนถนนในวัง ดังเอี๊ยดอ๊าดดุจเสียงฟ้าคำราม ดังมาเข้าหูเชียนโม่ก็ยิ่งทำให้จิตใจว้าวุ่น
เชียนโม่กับบรรดาซื่อเหรินสาวเท้าเร็วๆ เดินตามอยู่ด้านหลังรถม้า เพียงรู้สึกว่าหัวใจยังเต้นเร็วกว่าฝีเท้า เสียงดังตึกๆ
ฉู่หวังนั่งอยู่บนรถม้า ไม่ได้มองนางแม้แต่แวบเดียว ครั้นมาถึงหน้าวังรถม้าก็หยุดลง ซื่อเหรินก้าวไปข้างหน้า คิดจะช่วยพยุงฉู่หวังลงจากรถ กลับถูกฉู่หวังผลักออก
“ซืออีโม่!” เสียงของเขาแข็งกระด้างประดุจก้อนหิน ทำให้เชียนโม่ได้ยินแล้วเนื้อตัวสั่น
เธอก้าวเข้าไป มองฉู่หวังอย่างขลาดกลัว ยื่นมือออกไป ฉู่หวังกลับไม่รับแล้วกระโดดลงมาเอง
เชียนโม่กำลังงงงัน ทันใดนั้นก็ถูกฉู่หวังคว้าแขน พาเดินเข้าไปในวังด้วยความโมโหฮึดฮัด
เชียนโม่ถูกฉุดกระชากจนซวนเซไป เสื้อผ้าพันเท้า เดินตามเขาไม่ทัน
“ต้าหวัง…” เธอเพิ่งส่งเสียง ฉู่หวังกลับสีหน้าเยียบเย็น ฉับพลันนั้นก็โอบเอวเธอแบกขึ้นบ่า
“อา!” เชียนโม่ตื่นตระหนก ดิ้นรนพลางกรีดร้องไปตลอดทาง
ฉู่หวังกลับไม่สนใจ แขนโอบรัดร่างของเธอ ร่างเหยียดตรงไม่สะทกสะท้าน
เหล่าทหารองครักษ์และซื่อเหรินต่างตื่นตระหนก รีบเดินตาม กลับได้ยินเสียงเยียบเย็นของฉู่หวังดังขึ้น “ผู้ใดตามมาตาย!”
ทุกคนชะงักฝีเท้า มองเงาร่างฉู่หวังหายลับเข้าไปในตำหนัก ครู่หนึ่งก็มีเสียงปิดประตูดังปังตามมา
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความประหลาดใจ
*‘ทุกสิ่งเตรียมพร้อมสรรพ ขาดเพียงลมบูรพา’ เป็นสำนวน หมายถึงเหลือเพียงองค์ประกอบสำคัญอย่างสุดท้าย แผนการที่เตรียมมาก็จะลุล่วง มีที่มาจากเรื่องสามก๊ก ตอนศึกผาแดง ขงเบ้งคิดแผนการเผาทัพเรือของโจโฉด้วยธนูไฟ หลังจากใช้เล่ห์กลรวบรวมธนูได้จำนวนที่มากพอ สิ่งจำเป็นอย่างสุดท้ายคือลมจากทางตะวันออกที่จะช่วยส่งให้ธนูยิงไปถึงเรือของข้าศึก
*จงและชิ่ง เป็นเครื่องดนตรีโบราณประเภทเครื่องตีกระทบ โดยแขวนกับราวเรียงเป็นแถวตามขนาดจากเล็กไปใหญ่ ซึ่ง ‘จง’ มีลักษณะเป็นเหมือนลูกระฆัง ส่วน ‘ชิ่ง’ มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ ทำจากหิน ต่อมาเปลี่ยนเป็นใช้แผ่นหยกหรือแผ่นทองเหลือง
**จงอิ่น เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ดูแลศาลบรรพชนในวังหลวงและพระราชพิธีต่างๆ เทียบได้กับฝ่ายกรมพิธีการในสมัยต่อๆ มา
*ซืออี เป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้ดููแลเครื่องแต่งกายของกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ภายในวัง
*จวนซวีเกาหยาง คือกษัตริย์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ซย่า และผู้ครองแคว้นฉู่ในเวลาต่อมา
*ไท่ไจ่ เป็นตำแหน่งหัวหน้าผู้ทำหน้าที่ดูแลควบคุมข้าราชสำนัก และจัดการกิจต่างๆ ทั่วไปภายในวัง
*เทพเจ้าทั้งห้าได้แก่เทพทวารบาล เทพเจ้าเรือน เทพบ่อน้ำ เทพเตาไฟ และเทพเจ้าที่
*ลูกเหมย คือลูกบ๊วย
*ซือกง เป็นตำแหน่งหัวหน้าขันทีที่รับผิดชอบดูแลกิจต่างๆ ของตำหนักใน
*เกล็ดย้อน คือเกล็ดบริเวณลำคอด้านล่างของมังกรซึ่งมีลักษณะขึ้นย้อนทิศทางกับเกล็ดทั่วไป ชาวจีนเชื่อกันว่าหากมีผู้ใดมาแตะต้องจะทำให้มังกรโกรธเกรี้ยวและสังหารคนผู้นั้น ภายหลังมักใช้เปรียบเปรยถึงการทำให้ผู้มีอำนาจบันดาลโทสะ
*ฝู่ไจ่ เป็นตำแหน่งขุนนางเทียบได้กับเสนาบดี หรือเจ้ากรม
*หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ เทียบได้ประมาณ 666.67 ตารางเซนติเมตร
*จุดไท่หยาง เป็นจุดชีพจรบริเวณขมับ
*ซือฮุ่ย เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจสอบผลการทำงานของขุนนางในแต่ละหน่วยงาน การปูนบำเหน็จ การจัดเก็บภาษี รวมทั้งแบ่งสันงบประมาณรายจ่าย
*นับแต่สมัยโบราณมา ชาวจีนมีฐานคิดในการนับวันเวลาเรียกว่าก้านสวรรค์กิ่งพิภพ (เทียนก้านตี้จือ) โดยก้านสวรรค์ทั้งสิบเรียงตามลำดับคือ 1.จย่า 2.อี่ 3.ปิ่ง 4.ติง 5.อู้ 6.จี่ 7.เกิง 8.ซิน 9.เหริน 10.กุ่ย และกิ่งพิภพทั้งสิบสองซึ่งชาวจีนใช้เป็นคำเรียกโมงยามด้วยได้แก่ 1.จื่อ 2.โฉ่ว 3.อิ่น 4.เหม่า 5.เฉิน 6.ซื่อ 7.อู่ 8.เว่ย 9.เซิน 10.โหย่ว 11.ซวี 12.ไฮ่ เมื่อนำก้านสวรรค์มาจับคู่กับกิ่งพิภพก็จะเป็นคำเรียกปี และเคยใช้การจับคู่กับการเรียกเดือนด้วย แต่ภายหลังไม่ค่อยได้รับความนิยมจึงเลิกใช้ไป คงเหลือแต่การใช้กิ่งพิภพเป็นชื่อเดือนทั้งสิบสอง