ฝนตกต่อเนื่องกันสามวันจริงอย่างที่ว่าไว้
คำพูดของมู่หวั่นชิวได้รับการพิสูจน์แล้ว และไม่ผิดไปจากนั้นแม้แต่น้อย ในวันที่สี่ ยามที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ทุกคนในจวนว่าการเจ้าเมืองล้วนเกิดความเลื่อมใสในตัวนาง ไม่กล้าล่วงเกินนางอีก
ในวันที่หก ท้องถนนถูกแดดส่องจนแห้งไปพอสมควรแล้ว มู่หวั่นชิวอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนชุดใหม่ท่ามกลางสายตางุนงงของชุ่ยหง แล้วไปที่โถงด้านหลังเพื่อขอพบใต้เท้าสวีแต่เช้า
ใต้เท้าสวีกับหลีจวินกำลังคุยกันอยู่ในโถง ได้ยินเรื่องที่สวี่เจี่ยแจ้งแล้ว ก็หันมองหน้าหลีจวินแวบหนึ่ง แล้วพูดต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “รีบเชิญนางเข้ามา”
“วันนี้ข้าน้อยจะไปแก้บนที่วัดเสียงอวิ๋นบนเขาเฟิ่งหวง…” ย่อคำนับใต้เท้าสวีกับหลีจวินแล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดออกมาตามตรง “จึงตั้งใจมากล่าวลาใต้เท้า”
“แก้บน!”
ใต้เท้าสวีลุกขึ้นยืนทันที แต่คิดดูแล้วว่าไม่ถูกต้อง จึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
“ข้าน้อยขอฝนได้ตามที่บอกไว้ ย่อมต้องไปแก้บนต่อหน้าพระโพธิสัตว์” ทำเป็นมองไม่เห็นความผิดปกติของใต้เท้าสวี มู่หวั่นชิวพูดอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ข้ากำลังจะกลับเมืองต้าเยี่ยพอดี” หลีจวินพูดต่อ “แม่นางไป๋จะไปเขาเฟิ่งหวงก็ผ่านทางนั้นพอดี”
“คุณชายหลีจะเดินทางแล้วหรือ!” มู่หวั่นชิวดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ท่านพ่อข้าจู่ๆ ก็มีเรื่องด่วนเร่งตามตัว ข้ากำลังอำลาใต้เท้าสวีอยู่” หลีจวินกวาดตามองใต้เท้าสวี
บังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ หลีจวินเพิ่งมาบอกว่าจะจากไป นางก็มาบอกว่าจะไปแก้บน
ใต้เท้าสวีมองหน้าหลีจวิน ก่อนจะหันมองมู่หวั่นชิว เขามีความรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ก็พูดไม่ถูก เขาที่แต่ไรมาก็เป็นคนคิดช้า ในตอนนี้แม้แต่คำปฏิเสธก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ในใจสับสนว้าวุ่นยิ่งนัก
“ตลอดทางหากได้คุณชายหลีช่วยคุ้มกันไปส่งย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” รีบฉวยโอกาสตอนที่ใต้เท้าสวียังไม่ทันตั้งตัว มู่หวั่นชิวก็ย่อคำนับหลีจวิน “อาชิวขอขอบคุณ”
“ก็จริง…” กุนซือโหวซานแอบสะกิดตัวใต้เท้าสวีที่นิ่งเป็นไก่ไม้ แล้วเข้าไปพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผ่านพ้นภัยพิบัติแล้ว ไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ถือเป็นเรื่องที่สมควร…” แล้วหันหน้าไปทางใต้เท้าสวี ขณะที่หันหลังให้หลีจวินนั้นเขาก็ขยิบตาใส่ใต้เท้าสวี “คุณหนูใหญ่ก็ร่ำร้องอยากจะไปแก้บนแต่เช้ามิใช่หรือขอรับ ก็ให้นางไปกับแม่นางไป๋ได้พอดี”
คุณหนูใหญ่ร่ำร้องจะไปแก้บนอะไรกัน!
ใต้เท้าสวีตะลึงไป จากนั้นดวงตาปูดโปนทั้งสองก็เปล่งประกายขึ้นทันที “ใช่ๆ หากกุนซือไม่พูด ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ” เขารีบหันหน้าไปสั่งทหาร “เร็วเข้า! เตรียมม้า เตรียมรถ เรียกรวมกำลังคน คุ้มครองส่งคุณหนูใหญ่กับแม่นางไป๋ไปแก้บนที่วัดเสียงอวิ๋นบนเขาเฟิ่งหวง”
“ใต้เท้า…” มู่หวั่นชิวเรียกรั้งเขาทันที “มีคุณชายหลีไปส่ง ข้าน้อยต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ใต้เท้าไม่ต้องลำบากรวบรวมคนหรอก”
“แม่นางไป๋คงไม่รู้…” ใต้เท้าสวีโบกมือ “เกิดภัยแล้งมากว่าครึ่งปี ในเมืองผิงเฉิงมีคนเร่ร่อนเข้ามามากมาย ครั้งนี้ไปที่เขาเฟิ่งหวง ไกลออกไปสามสิบลี้ นับว่าไม่ปลอดภัยอย่างมาก” จากนั้นจึงมองไปทางหลีจวิน “คุณชายหลีเพียงแค่คุ้มครองเจ้าไปส่ง ตอนที่แม่นางไป๋กลับมา อย่างไรก็ต้องมีคนคุ้มครอง”
เขาจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘กลับมา’ สายตาจับจ้องตัวมู่หวั่นชิวไม่วางตา
หลีจวินก้มหน้าลง ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ ไม่ได้พูดอะไร
“เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าแล้ว” มู่หวั่นชิวยิ้มบางๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงฉายความซาบซึ้งใจ
“ฮ่าๆๆๆ” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไร ใต้เท้าสวีจึงหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “แม่นางไป๋เกรงใจเกินไปแล้ว เจ้าเป็นผู้มีคุณของชาวเมืองผิงเฉิง คุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าเป็นหน้าที่ของข้าเช่นกัน” จากนั้นจึงหันไปสั่งการ “เวลานี้สายแล้ว รีบไปเชิญคุณหนูใหญ่เถอะ”