สวีหรูไม่ชอบวัดเสียงอวิ๋น ที่นั่นสกปรกแล้วก็เสียงดัง ทั้งยังเต็มไปด้วยคนชั้นต่ำ ทำให้นางแปดเปื้อน โดยเฉพาะกลิ่นหอมฉุนที่กระจายอยู่ทั่ววัด ทำให้นางยากจะทนไหวมากที่สุด แต่เพราะท่านพ่อบอกนางว่าหลีจวินจะคุ้มกันไปส่ง ทำให้นางอยากใช้โอกาสนี้เข้าใกล้ทำตัวสนิทสนมกับเขา นางจึงยอมทำตาม หนำซ้ำยังตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ
“เจ้ากับคุณชายหลีรู้จักกันมาก่อนจริงหรือ” ทว่าทุกอย่างกลับไม่เหมือนที่นางคาดเอาไว้ ระหว่างทางหลีจวินไม่ได้มาดูแลนางแม้แต่น้อย ทำให้สวีหรูผิดหวังมาก นางมองหน้ามู่หวั่นชิวที่หลับตาครุ่นคิดสงบนิ่งราวกับผืนน้ำอยู่ข้างกาย ก็ไล่ถาม “ทำไมเขาไม่มาพูดคุยกับพวกเราเลย” จากนั้นจึงพลิกเปิดมุมม่านรถ แอบมองรถม้าคันหน้าที่เคลื่อนไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน เสียงเอี๊ยดอ๊าดฟังเสนาะหู แล้วหันไปสั่งมู่หวั่นชิว “เจ้าไปตามเขามาที”
มู่หวั่นชิวขยับหัวคิ้ว แต่ไม่ได้พูดจา
“เจ้า…”
มานั่งรถม้าคันเดียวกับตนได้ ถือว่านางลดตัวให้มากแล้ว ก็แค่คนชั้นต่ำที่มีอาคมคาถาคนหนึ่ง กล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเช่นนี้หรือ!
เผชิญหน้ากับมู่หวั่นชิวที่นิ่งเงียบไม่พูดจา สวีหรูพลันสีหน้าแดงก่ำในทันที
ถลึงตามองด้วยความโกรธอยู่นาน นางจึงยกมือฟาดออกไป…
มือนั้นชะงักอยู่ตรงระยะห่างหนึ่งนิ้วจากแก้มของมู่หวั่นชิว ความรู้สึกที่ถูกห้านิ้วราวคีมเหล็กของมู่หวั่นชิวบีบอยู่นั้นยังคงปรากฏตรงหน้า นางถลึงตามองมู่หวั่นชิวด้วยความโกรธ พลางเม้มริมฝีปากแน่น
มู่หวั่นชิวลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน สี่ตาสบประสาน มู่หวั่นชิวกวาดตามองมือของสวีหรูอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สวีหรูจึงรีบดึงมือตัวเองไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง ไม่ได้สนใจสวีหรูอีก
“เจ้าพูดบ้างสิ” คิดถึงคนในรถม้าข้างหน้าแล้ว สวีหรูพลันรู้สึกว้าวุ่นใจ นางทนไม่ไหวกับความเงียบอันไร้ขอบเขตภายในรถม้านี้ นั่งนิ่งได้ไม่ถึงครึ่งเค่อ ก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนูพูดหนวกหูเกินไปแล้ว” มู่หวั่นชิวไม่ได้ขยับเปลือกตา
“เจ้า!” สวีหรูมองนางหน้าแดงก่ำ แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างทันที “เจ้าแอบรักเขาไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านพ่อข้าบอกแล้วว่าอีกสักระยะจะพูดเรื่องแต่งงานของข้า จะให้ข้าแต่งงานกับเขา” สวีหรูพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ท่านพ่อนางเป็นเจ้าเมือง เป็นขุนนางที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้
มุมปากขยับเล็กน้อย มู่หวั่นชิวพลางยิ้มเยาะในใจ การแต่งงานของเขาใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับพ่อของเจ้าสักหน่อย…
“ข้าขอบอกเจ้า พอข้าแต่งเข้าบ้านแล้ว จะไม่ยอมให้เขาได้มีอนุเด็ดขาด!” ถลึงตามองมู่หวั่นชิวที่นิ่งไม่ไหวติงแล้ว สวีหรูก็พูดอย่างดุดัน
ในสายตานาง หญิงสาวผู้นี้ที่คิดหาทุกหนทางเพื่อแสดงฝีมือการเล่นพิณต่อหน้าหลีจวินในคืนนั้น ก็เพราะอยากปีนขึ้นเตียงของเขา อยากเป็นอนุของเขาเป็นแน่ สวีหรูคิดว่า มู่หวั่นชิวมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้ ตำแหน่งภรรยาเอกคงไม่กล้าคิดถึง
“ยินดีกับบุพเพมงคลของคุณหนูกับเขาด้วย” มู่หวั่นชิวพูดเสียงเรียบ เหมือนกับน้ำที่ไม่อุ่นไม่เย็น
เดิมเป็นคำอวยพรประโยคหนึ่ง แต่เพราะพูดอย่างสงบนิ่งเกินไป สวีหรูฟังแล้วจึงรู้สึกเสียดแทงหูอย่างยิ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นเพียงคนชั้นต่ำคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวที่ทั้งดำและผอม ไม่อาจเทียบกับนางที่สูงศักดิ์กว่าได้เลย นางที่มีฐานะสูงไม่จำเป็นต้องใส่ใจแม้แต่น้อย ทว่านางกลับถูกความสงบนิ่งราวกับมองเห็นทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ และความไม่แยแสเหนือคนธรรมดาทั่วไปของอีกฝ่ายนั้นกระตุ้นให้นางรู้สึกโมโหขึ้นมา
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้ความสงบนิ่งถึงขีดสุดนั้นก็เป็นการอวดอ้างอย่างหนึ่ง
เหตุใดมู่หวั่นชิวจึงไม่เหมือนคนข้างกายนางเหล่านั้นที่ยอมศิโรราบให้ ทั้งยังเชื่อฟังคำทุกอย่าง…
หรือเพราะมู่หวั่นชิวมีเงินมหาศาล?
ความคิดแล่นผ่านในหัว สวีหรูพลันคิดถึงคำสั่งของบิดาก่อนที่จะออกมา นางจึงหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าได้ใจไป ท่านพ่อข้าบอกว่า…”
จู่ๆ เสียงพูดก็หยุดลง
บิดานางบอกว่าหลังจากส่งคุณชายหลีไปแล้ว ก็จะรับไป๋ชิวเป็นอนุ จึงอยากให้นางคอยจับตาดูมู่หวั่นชิวไว้ตลอดทาง แต่พอคำพูดมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก สวีหรูจึงนึกถึงคำสั่งของบิดาได้ว่า… ‘จะให้ความลับรั่วออกไปมิได้’
หลังจากกลืนคำพูดลงท้องไปแล้ว สวีหรูก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ นางคิดถึงภาพเรือนด้านหลังจวนว่าการเจ้าเมือง ชีวิตรันทดของอนุที่บิดาของนางเบื่อแล้วก็กำหมัดแน่น แอบคิดในใจว่า ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อนเถอะ รอจนเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว จะคอยดูว่าอย่างเจ้าน่ะหรือจะไม่มาคุกเข่าขอร้องข้า!
พอรับรู้ถึงความเย็นยะเยือก มู่หวั่นชิวจึงลืมตาขึ้นมาอย่างตกใจ ภาพที่สวีหรูกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็ปรากฏแก่สายตา จึงแอบคิดในใจว่า…เห็นที ใต้เท้าสวีไม่คิดจะปล่อยข้าไปจริงๆ!