หน้าวัดเสียงอวิ๋น คนมาจุดธูปไหว้พระกันอย่างล้นหลาม
หลังลงจากรถม้า มู่หวั่นชิวก็เห็นรถม้าของหลีจวินจอดอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เขายืนอยู่ข้างรถม้าอย่างเงียบๆ
มู่หวั่นชิวค่อยๆ เดินเข้าไปย่อตัวคำนับ
“นี่ก็คือวัดเสียงอวิ๋น แม่นางไป๋จะจุดธูปไหว้พระ ก็เข้าไปได้เลย” เขามองดูสวีหรูที่จับตัวสาวใช้ค่อยๆ เดินลงมาจากตัวรถ “ข้าลาก่อนล่ะ…”
สวีหรูเพียงแค่แต่งเติมหน้าในรถ เสียเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าพอลงจากรถก็ได้ยินว่าหลีจวินจะจากไปแล้ว นางไม่สนใจความสำรวมอีก รีบก้าวขึ้นหน้าไปหลายก้าว “คุณชายหลีจะไปแล้วหรือ”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาวรณ์
“ถึงวัดเสียงอวิ๋นแล้ว” หลีจวินพยักหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ…” สวีหรูฉายความลังเลออกมาหลายส่วน “ในเมื่อมาแล้ว คุณชายหลีเข้าไปไหว้พระกับหรูเอ๋อร์สักนิดดีหรือไม่”
เสียงพูดของนางดูหวาดหวั่น ทั้งยังมีความสำรวมอยู่หลายส่วน ไม่ว่าชายคนใดได้ฟัง ล้วนไม่มีทางปฏิเสธ
“แม่นางไป๋เดินเข้าไปแล้ว” หลีจวินกวาดตามองมู่หวั่นชิวที่เดินใกล้จะถึงประตูวัดแล้ว
สวีหรูสะดุ้ง นางนึกถึงภารกิจสำคัญที่บิดามอบหมายมา จึงรีบส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ย เฝ่ยชุ่ยจึงรีบตามขึ้นไป สวีหรูนั้นหันมาย่อตัวคำนับหลีจวิน “หากคุณชายหลีไม่อยากเข้าไป ก็รออยู่ข้างนอกนี้สักครู่ก่อน หรูเอ๋อร์เข้าไปประเดี๋ยวก็ออกมา”
หลีจวินมองนางแวบหนึ่ง ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อย่างเขา ต้องมีความสำรวมอยู่บ้าง เขาไม่พูดอะไรแบบนี้ ก็คงตอบรับแล้ว… เห็นหลีจวินไม่พูดอะไร สวีหรูก็ได้แต่คิดเองเออเอง พลางส่งยิ้มให้เขา แล้วให้สาวใช้ช่วยประคองนางก่อนจะรีบเดินเข้าไปในวัด
ตรงข้ามกับความวุ่นวายนอกประตู ภายในวัดกลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก เสียงเคาะเกราะปลาไม้*ไม่เร็วไม่ช้า ทว่ากลับไม่ผ่อนและตีไปอย่างต่อเนื่องนั้นยิ่งเพิ่มความเร้นลับ ความสงบ รวมถึงความน่าเกรงขามให้กับวัดมากขึ้นอีกหลายส่วน
เห็นมู่หวั่นชิวปักธูปสามดอกด้วยความศรัทธาแล้วลุกยืน สวีหรูก็ทำตามนางเช่นกัน แต่กลับปักธูปสามดอกไปอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงหันมาดึงตัวมู่หวั่นชิวให้รีบเดินออกไปข้างนอก
คุณชายหลียังรออยู่ข้างนอก!
แต่สวีหรูกลับถูกมู่หวั่นชิวดึงตัวมาที่หน้าเณรน้อยตรงปากประตูแทน สองมือประนม “ขอเรียนถามเณรน้อย ในวัดนี้มีโถงธรรมหรือไม่ ข้าอยากจะสวดมนต์”
“อมิตตาภพุทธ…” เณรน้อยสองมือประนม “สีกาจะสวดมนต์ก็เชิญตามอาตมามา”
“ปักธูปแล้ว ยังจะสวดมนต์อะไรอีก!” สวีหรูน้ำเสียงหมดความอดทน นางดึงมู่หวั่นชิวจะลากออกไปข้างนอกให้ได้
“คุณหนูใหญ่ ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ต้องแสดงความเคารพ” สะบัดมือออกจากสวีหรูเบาๆ แล้ว มู่หวั่นชิวก็พูดอย่างสงบนิ่ง
“อมิตตาภพุทธ…” เณรน้อยโค้งตัวให้สวีหรู สองมือประนม “หากสีกาไม่ยินดี ก็เชิญไปเถิด”
ได้ยินน้ำเสียงดูแคลนของสวีหรู เณรน้อยจึงไล่นางโดยไม่ไยดี
ขวับๆๆ สายตาของคนที่มาจุดธูปไหว้พระก็ล้วนมองมาที่ตัวสวีหรูในพริบตา
สวีหรูโกรธเกรี้ยวหน้าคล้ำราวมะเขือม่วง ริมฝีปากขยับ นึกอยากจะพูดอะไร แต่คิดได้ว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็คือวัด อยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ นางจะทำเกินเลยไม่ได้ คำพูดจึงติดอยู่ที่ลำคอ จึงหันหน้ามองออกไปทางประตูวัด ก่อนจะพบว่าคนที่มาจุดธูปไหว้พระเดินขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย นางไม่อาจมองเห็นเงาร่างของหลีจวินได้เลย ทว่าพอหันหน้ากลับมาอีกครั้ง มู่หวั่นชิวก็หายตัวไปแล้ว สวีหรูพลันรู้สึกตกใจ
นางคงไม่ได้หนีไปทางประตูด้านหลังหรอกนะ!
ความคิดเพียงแล่นผ่าน สวีหรูก็ก้าวเท้าวิ่งตามไป ออกมาจากประตูด้านข้าง มองไกลๆ ออกไปก็เห็นมู่หวั่นชิวขาข้างหนึ่งอยู่ในประตู อีกข้างอยู่นอกประตู กำลังก้าวเข้าไปในโถงธรรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในลานวัดด้านหลัง สวีหรูจึงค่อยถอนใจยาว
“ไร้อวิชชา และเมื่อไร้อวิชชา ย่อมไร้ความไม่เที่ยง เมื่อไร้ความไม่เที่ยงอย่างที่สุด ย่อมไร้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไร้ปัญญา ไร้การยึดถือ…” มู่หวั่นชิวคุกเข่าบนแท่นรองนั่งอย่างสงบ สองตาปิดสนิท ท่องบทสวดด้วยความศรัทธา
ราวกับมีหมัดไต่ไปมาอยู่เต็มตัว สวีหรูที่คุกเข่าข้างมู่หวั่นชิวจึงขยุกขยิกไม่หยุด นางหันหน้ามองลานเล็กที่เงียบสงบนอกโถงธรรมอยู่บ่อยครั้ง แล้วหันมองมู่หวั่นชิวที่ดูราวกับก้าวเข้าสู่ความเป็นอนัตตาไปแล้ว
นางเป็นแบบนี้ แล้วข้ายังต้องรอไปถึงเมื่อใดเล่า?!