ในที่สุด สวีหรูที่จิตใจว้าวุ่นก็ทนต่อไปไม่ไหว นางลุกขึ้นยืนทันใด
ก้าวเดินออกมานอกโถงธรรมแล้ว สวีหรูก็กวักมือเรียกเฝ่ยชุ่ยที่ยืนคอยอยู่ไกลๆ “คอยเฝ้าตรงนี้ไว้ให้ดี”
เฝ่ยชุ่ยรีบตอบรับคำ
เดินหาคนไปมาอยู่หลายรอบตรงที่หลีจวินจอดรถม้าไว้ก่อนหน้านี้ แต่สวีหรูก็ยังไม่เห็นเงาร่างของเขา แม้แต่รถม้าสีน้ำเงินที่ประดับอย่างหรูหราคันนั้นก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “เขาคงทนรอไม่ไหว ถึงได้จากไปเสียก่อน!”
สวีหรูหันหน้ามองขวับเข้าไปในวัด ขบฟันอย่างเคียดแค้น “ปล่อยให้เจ้าอวดดีไปก่อนสักพัก รอให้เงินของเจ้าหมด ท่านพ่อข้าเบื่อเจ้าเมื่อใด มาดูกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไรบ้าง!”
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นลูกกลมสีแดงสด ย้อมท้องฟ้าให้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปครึ่งฟ้า
“นางยังสวดอยู่หรือ” เดินเตร่อยู่หลายก้าว สวีหรูจึงหันไปถามเฝ่ยชุ่ยที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงหมดความอดทน
อาทิตย์จะตกดินแล้ว หากสายกว่านี้ คงกลับบ้านไม่ทันก่อนฟ้ามืด!
“เจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยยื่นหน้าเหลือบมองในโถงธรรมแวบหนึ่ง
ก้าวไปถึงหน้าประตู ยังคงเห็นร่างบางอยู่ตรงนั้น สวีหรูก็กำหมัดแน่น ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมา
เดินวนเล่นไปอีกหลายรอบ เห็นลูกกลมสีแดงเพลิงทางทิศตะวันตกหายลับไปทางหลังเขากว่าครึ่งแล้ว รอบด้านเริ่มมีหมอกสีเทาขาวขมุกขมัวปกคลุม สวีหรูทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้าวเท้าเข้าไปในโถงธรรม “เจ้าจะสวดไปถึงเมื่อ…” มือคว้าร่างบางนั้นไว้ สวีหรูก็เอ่ยถาม แต่พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว นางก็ตกตะลึง ตรงหน้านางคือหญิงสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่ง กำลังจ้องมองนางกลับมาด้วยสายตาหวาดกลัว
นี่…ใช่มู่หวั่นชิวเสียที่ไหนกัน!
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร”
นางมองไปรอบๆ อีกครั้ง มีเงาร่างของมู่หวั่นชิวเสียที่ไหน
สวีหรูจึงหันมาจับตัวหญิงสาวคนนั้นไว้อีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร แล้วคนที่นั่งสวดมนต์ก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“เจ้าหมายถึงแม่นางที่ผิวดำๆ มีดวงตาโตสวยงามคู่หนึ่งน่ะหรือ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“นางนั่นล่ะ” สวีหรูพยักหน้า “นางไปที่ใดแล้ว เหตุใดเจ้าจึงสวมเสื้อผ้าของนาง”
“ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!” หญิงสาวยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี แล้วทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง พลางก้มลงบีบนวดสองขาของตนไม่หยุด ปากก็พูดโอดครวญ “ข้าคุกเข่ามาตลอดทั้งบ่าย จนขาเป็นเหน็บไปหมดแล้ว ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาล่ะ”
“เจ้า…” สวีหรูยังไม่คลายสงสัย จึงจับตัวหญิงสาวขึ้นมาด้วยความโมโห “เจ้าบอกมา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
“นางให้เงินข้าก้อนหนึ่ง ให้ข้าสวมเสื้อผ้าของนางมาสวดมนต์ที่นี่แทนนาง จนกว่าสหายของนางจะมาเรียกจึงจะลุกขึ้นได้” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “นางยังบอกว่า ถ้าข้าทำได้ดี แม้แต่เสื้อผ้าชุดนี้ก็จะยกให้ข้า…” นางลูบชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพูตัวใหม่เอี่ยมบนตัวอย่างชื่นชอบ “เพื่อชุดที่มีเนื้อผ้าชั้นเลิศนี้แล้ว ข้าสวดมนต์ตลอดบ่ายก็นับว่าคุ้มค่า”
หญิงสาวพูดพลางสะบัดตัวออกจากมือของสวีหรู แล้วก้มลงบีบนวดสองขาที่ยังคงเป็นเหน็บชาต่อไป “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้าก็ไปล่ะ ท่านแม่รอข้าอยู่ที่บ้านจะต้องร้อนใจมากเป็นแน่”
“เจ้า…” สวีหรูสีหน้าจากแดงกลายเป็นม่วง แล้วเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เดินเข้าไปจับหญิงสาวเอาไว้ เงื้อมือจะตบลงไป
“อมิตตาภพุทธ…” เสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “สีกา ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ได้โปรดสำรวมตนด้วย”
ฝ่ามือหยุดลงข้างแก้มของหญิงสาว สวีหรูถลึงตามองหญิงผู้นั้นที่มีใบหน้าตื่นตกใจ “นางไปไหนแล้ว!”
“นางออกไปทางนั้นแล้ว…” หญิงสาวชี้ไปทางด้านขวาของพระพุทธรูปในทันที
สวีหรูคลายมือจากหญิงสาว แล้วก้าวเท้าเดินไปทางด้านขวา
หลังจากถูกเหวี่ยงลงบนพื้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหยิบหมวกติดผ้าคลุมบางสีดำที่มู่หวั่นชิวทิ้งไว้ข้างเบาะรองนั่งขึ้นมาลองสวมบนหัว จากนั้นเหลือบมองแผ่นหลังของสวีหรู ปากก็พร่ำบ่นไป “อะไรกัน ทั้งที่นางเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแท้ๆ เหตุใดจึงมีสหายป่าเถื่อนอย่างเจ้าได้”
อ้อมหลังพระพุทธรูปแล้ว สวีหรูจึงพบว่า ที่แท้โถงธรรมแห่งนี้มีประตูด้านหลังอยู่ด้วย นางจึงก้าวออกประตูด้านหลังไป
นอกประตูลมเย็นโชยเอื่อย ดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงลับไปหลังภูเขาซีซาน เหลือเพียงแสงบางๆ ที่ตกกระทบลงบนประตูวงเดือนบานเล็กสีแดงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวัด ดูราวกับม่านหมอก มิต่างจากเลือด
* เกราะปลาไม้ คือเครื่องเคาะจังหวะ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง แกะสลักเป็นทรงกลม ภายในกลวง ใช้เคาะประกอบการสวดมนต์ ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า ‘บั๊กฮื้อ’ แปลว่าปลาไม้ เพราะโดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรม สื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน