บทที่สิบเอ็ด
“ไป…ไป!” คนบังคับรถตวัดแส้ม้าอย่างแรง ม้าสีแดงพุทราด้านหน้ารถก็ส่งเสียงร้องยาว พลางขยับเท้าลากรถม้าให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ฝนเพิ่งตกไป ฝุ่นดินจึงยังมีไม่มาก จากหน้าต่างรถ มู่หวั่นชิวสามารถมองไปได้ไกล นางพลิกเปิดม่านหลังรถ ก่อนจะมองไปด้านหลังอย่างไม่สบายใจ ร่างบางขยับโยกไปตามแรงของรถม้า
“พวกนางตามมาไม่ทันแล้ว” หลีจวินโบกพัดอย่างสบายอารมณ์ “ข้าเตรียมคนไว้ตลอดทาง แม้ว่านางจะพบร่องรอยได้รวดเร็วเพียงใด ก็จะถูกคนของข้าขวางเอาไว้” เขาชี้พัดพับไปข้างหน้า “ระยะทางไม่ไกลจากนี้ก็จะเป็นสามแยก พอไปถึงตรงนั้น นางก็จะแยกไม่ออกแล้วว่าพวกเราไปทางใด พวกนางคิดจะไล่ตามมาก็คงยาก”
มู่หวั่นชิวไม่ได้หันหน้ามา นางยังคงขมวดคิ้วมองดูรอยล้อรถจางๆ ที่ทิ้งไว้บนทาง “ฝนเพิ่งตก รอยล้อรถชัดเจนเช่นนี้ พวกนางจะดูไม่ออกได้อย่างไร”
รถม้าของเขาคันนี้กว้างกว่ารถม้าทั่วไปเท่าตัว แม้ว่าด้านหลังจะมีรถม้าแล่นตามมา ก็ยังกลบรอยล้อรถม้าคันนี้ไม่ได้ หากเป็นคนละเอียดจะต้องแยกออกได้อย่างแน่นอน สำรวจรถม้าที่หรูหรามากคันนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจเบาหวิว ก็แค่มีเงิน จำเป็นต้องโอ้อวดแบบนี้ด้วยหรือ
เพราะนางเคยตกอยู่ในอันตราย จึงได้รู้ว่าอะไรคือการอยู่เงียบๆ อย่างอดทน
ขณะที่ถอนหายใจนางก็คิดถึงตัวเองที่โอ้อวดวางอำนาจในชาติก่อน จึงแอบคิดว่า…ที่แท้ข้าในชาติก่อนนั้นก็ช่างโง่เง่าเสียจริง
หันหน้ามามองมู่หวั่นชิวอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว หลีจวินจึงพูดอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าวางใจได้ ตรงสามแยกด้านหน้าจะมีรถม้าแบบเดียวกันอีกสองคันรออยู่ พอพวกเราไปถึง พวกเขาก็จะแยกเดินทางไปต่างทิศพร้อมกัน ล้อรถแบบเดียวกัน ยากจะแยกแยะได้…”
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหล มีพลังทำให้คนฟังสบายใจ
มู่หวั่นชิวจึงสบายใจลงในพริบตา นางปิดผ้าม่านลงทันที ก่อนจะนั่งพิงบนที่นั่งอย่างอ่อนแรง ในเวลานี้ นางก็เกิดความรู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
ปลอดภัยแล้ว ในที่สุดนางก็ปลอดภัยแล้ว!
ออกมาจากร้านป๋ออี้ นางที่มีเงินติดตัวมหาศาล ก็คิดมาตลอดว่าจะออกจากเมืองผิงเฉิงอย่างปลอดภัยได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อภายหลังตกไปอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมืองด้วยแล้ว นางก็ยิ่งกินนอนไม่เป็นสุข
“อาชิวขอบคุณคุณชายหลีที่ช่วยเหลือ” เพียงชั่วครู่ มู่หวั่นชิวก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“เดินทางครั้งนี้แม่นางไป๋มีแผนการอะไรบ้าง”
“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวลังเลใจอยู่บ้าง แม้ว่าหลีจวินจะช่วยนางไว้ แต่นางผ่านชีวิตมาสองชาติแล้ว ทำให้นางอาจไม่เชื่อใจใครได้อีก
“แม่นางไป๋เป็นลูกหลานตระกูลไป๋แห่งเมืองต้าเยี่ยใช่หรือไม่” เห็นนางลังเล หลีจวินจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะไม่อยากทำให้นางลำบากใจ
“ตระกูลไป๋?” มู่หวั่นชิวตกใจเล็กน้อย “คุณชายหลีหมายถึงโรงธูปไป๋จี้ที่มีชื่อเสียงในเมืองต้าเยี่ยน่ะหรือ”
“ถูกต้อง” หลีจวินพยักหน้า “หรือว่าแม่นางไป๋…”
“มิใช่” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า
“เช่นนั้น…”
“อาชิวคิดจะเปิดโรงธูปเล็กๆ สักร้าน…” เพราะไม่อยากจะพูดหัวข้อนี้อีกต่อไป ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง มู่หวั่นชิวก็พูดถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ออกมาตามตรง
รับปากช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ เขาก็น่าจะเชื่อถือได้
“แม่นางไป๋ปรุงเครื่องหอมเป็นหรือ” ในดวงตาของหลีจวินเปล่งประกายเจิดจ้าราวดวงดาวยามค่ำคืน ตระกูลหลีเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอม เขาไม่อยากปล่อยคนมีฝีมือคนใดไป!
“เรียนรู้ได้นี่นา…” มู่หวั่นชิวตบตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่อยู่ในอกเสื้อ รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าจะเป็นนักปรุงเครื่องหอมที่ดีที่สุดของแคว้นต้าโจว!”
นักปรุงเครื่องหอมใช่ว่ามีเงินแล้วจะเรียนรู้เป็นได้!
คิดว่านางหมายถึงในอกเสื้อมีเงินอยู่ หลีจวินจึงหัวเราะออกมา “ไม่รู้ว่าแม่นางไป๋หมายตาโรงธูปโรงใดในเมืองต้าเยี่ยหรือ ถ้าไม่รังเกียจ ข้าสามารถช่วยแนะนำได้”
นักปรุงเครื่องหอมชั้นเลิศของแคว้นต้าโจวล้วนไปรวมตัวอยู่ที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ย พอได้ฟังคำพูดของมู่หวั่นชิวที่เหมือนรู้จักเมืองต้าเยี่ยดี หลีจวินจึงคิดว่านางจะไปที่เมืองต้าเยี่ย