ไปเมืองต้าเยี่ย?!
ชั่วพริบตา มู่หวั่นชิวคิดถึงเรื่องเลวร้ายของนางในชาติก่อน คิดถึงเขาผู้นั้น ความเคียดแค้นมากมายก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจ ตัวของนางสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าซีดขาวราวกระดาษในพริบตา
ใช่แล้ว จะเป็นนักปรุงเครื่องหอมที่ดีที่สุด นางก็ควรจะเลือกเมืองต้าเยี่ยเป็นอันดับแรก และอีกอย่าง นางคุ้นเคยกับคนและทุกอย่างที่นั่นเป็นอย่างดี เหมือนลายเส้นบนฝ่ามือของตนเองก็ไม่ปาน
มีบางทีที่นางคิดว่า นางควรจะกลับไปแก้แค้นคนพวกนั้น
มู่หวั่นชิวแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พยายามสะกดความคิดหุนหันในใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เอาไว้ ใช่แล้ว…เขาผู้นั้นก็อยู่ที่เมืองต้าเยี่ย หากไปที่เมืองต้าเยี่ย แล้วอาศัยสิ่งที่ได้รู้มาก่อนหน้านี้ นางย่อมมีโอกาสในการแก้แค้นอย่างแน่นอน แต่ว่า…นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง มู่จงบ่าวเลวที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศก็ยังอยู่ที่นั่น หากนางไปเมืองต้าเยี่ย เป็นไปได้มากที่นางจะตกอยู่ในสถานการณ์เดิมเหมือนเมื่อชาติก่อน
…เข้าไปอยู่ในหอคณิกา
แม้ว่าหลีจวินที่อยู่ตรงหน้าจะเชื่อถือได้ และสามารถใช้เขาในการแก้แค้นได้ด้วย ทว่ากลับน่าเสียดายที่ฟ้าอิจฉาคนมีความสามารถ ทำให้เขามีชีวิตเหลืออีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แล้วเขาจะคอยช่วยเหลือนางได้อย่างไร
เห็นทีสวรรค์คงไม่อนุญาตให้นางขัดสวรรค์ไปแก้ไขชะตาชีวิตได้ง่ายๆ มู่หวั่นชิวพูดพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอย “เมืองต้าเยี่ยน่ะหรือ ข้าไม่ไปที่นั่นหรอก”
แม้ว่าการแก้แค้นจะสำคัญเพียงใด แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือนางในชาตินี้ต้องมีชีวิตที่ขาวสะอาด มีชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป เชื่อว่าบิดามารดาในปรโลกก็คงไม่อยากให้นางถูกความแค้นบังตาจนตกเข้าไปอยู่ในคาวโลกีย์ หรือกระโดดเข้าไปในทะเลเพลิงอีกครั้ง
“ไม่ไปที่นั่น?” มองดูใบหน้ามู่หวั่นชิวที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวในพริบตา หลีจวินก็รู้สึกสงสัย “แล้วแม่นาง…”
กำลังพูดอยู่ ก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง รถม้าเอียงไปทางด้านของหลีจวิน มู่หวั่นชิวที่จิตใจไม่อยู่กับตัวพลันร่วงลงมาจากที่นั่ง นางตกใจจนหลับตาแน่น
โชคดีที่รถม้าไม่ได้เกิดการพลิกคว่ำ เพียงเอียงไประยะหนึ่งก็หยุดลง
“คุณชายจับแน่นๆ นะขอรับ” คนบังคับรถตวัดแส้ ส่งเสียงเร่งม้าสีแดงพุทรา “ข้างหน้าจู่ๆ ก็มีสุนัขพุ่งออกมา ข้าน้อยแค่ดึงเชือกบังคับ ล้อรถก็ตกหล่มแล้วขอรับ”
ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเบิกโตอย่างรวดเร็ว มู่หวั่นชิวพลันหัวใจเต้นกระตุก นางกำลังนอนคว่ำอยู่บนตัวของหลีจวิน พวกเขาหันหน้าเข้าหากัน ห่างกันเพียงหนึ่งชุ่นกว่า ลมหายใจร้อนผ่าวของเขา เป่ารดบนใบหน้านางจนรู้สึกคันยิบๆ แผ่นอกที่แนบติดกันอยู่นั้น ทำให้นางรับรู้ถึงเสียงหัวใจของเขาว่ากำลังเต้นเร็วและแรงเพียงใด
ผ่านชีวิตมาแล้วสองชาติ ทว่าหัวใจที่แห้งเหมือนน้ำบ่อเก่าของนางในตอนนี้ก็ยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด
มือน้อยพยายามดันตัวเขา มู่หวั่นชิวค่อยๆ ออกแรงยกหัวขึ้น อยากจะอยู่ห่างจากหน้าของเขาให้ไกลอีกสักหน่อย พอเห็นว่าเขามีสีหน้าแปลกประหลาด มู่หวั่นชิวก็ตกใจ และพบว่ามือขวาของตนเองกำลังกุมของแข็งปั้กอย่างหนึ่งเอาไว้
นางเคยเกลือกกลิ้งอยู่ในคาวโลกีย์มาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามือของนางกำลังกุมสิ่งใดอยู่!
ในตอนนี้ สมองของนางพลันขาวโพลน ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงดึงสติคืนมาได้ ราวกับถูกแตนต่อย มู่หวั่นชิวรีบคลายมือทั้งสองข้าง นึกแค่อยากจะลุกยืน
คิดไม่ถึงว่า พอไม่มีที่ให้ยึด นางก็ล้มลงไปทั้งตัวอีกครั้ง ทับอยู่บนตัวของหลีจวินอย่างเต็มที่ นางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว พลางคิดว่า หากตนเองไม่ได้ทาหน้าดำเอาไว้ ตอนนี้ใบหน้าของนางคงจะเหมือนกุ้งที่ต้มสุก ขณะขบคิดไปพลาง มู่หวั่นชิวก็ตั้งท่าจะลุกขึ้น ชั่วเวลานั้นตัวรถก็พลันขยับไหวแรงอีกครั้ง นางจึงตัดสินใจหลับตาลง…แกล้งหมดสติเสียเลย