“คุณชายไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ” รถม้าหลุดออกจากหล่มได้ในที่สุด ก่อนจะจอดตรงทางหลวง คนบังคับรถที่สีหน้าขาวซีดเก็บแส้ม้า แล้วมายืนอยู่หน้าประตูรถอย่างนอบน้อม น้ำเสียงแฝงความหวาดกลัว
“คุณชาย แม่นางไป๋” รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบ เขาจึงถามขึ้นอีกรอบ “พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”
พูดพลางก็ยื่นมือออกไป ถึงมุมม่านรถจะถูกแรงที่มองไม่เห็นยับยั้งเอาไว้ มือของคนบังคับรถจึงชะงักกลางอากาศ ยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร…” น้ำเสียงเครียดเสียงหนึ่งดังออกมาจากในรถ “เจ้าบังคับรถต่อไปเถอะ”
“ขอรับๆ” เหมือนได้รับการปลดปล่อย คนบังคับรถรับคำหลายที ก่อนกระโดดขึ้นบนส่วนที่บังคับรถ แล้วตวัดแส้ลงอย่างแรง “ไป!” ล้อรถหมุนพลันดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อรถม้าขยับเคลื่อน มู่หวั่นชิวก็ค่อยๆ สงบจิตใจลง สองมือกำหมัดไว้ด้านหน้า นางแอบมองไปทางหลีจวิน
หลีจวินก็กำลังมองนางอยู่เงียบๆ สี่ตาพลันประสานกัน นางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แล้วรีบเลื่อนสายตาหนีไปทันที แต่แล้วก็คิดว่า…ข้าจะกลัวอะไรเล่า จึงสบสายตานั้นอีกครั้ง สองตากลมโตราวแม่น้ำกลางหุบเขา กระจ่างใสจนเห็นก้นบึ้ง
เห็นนางกลับมาสงบนิ่งได้ในพริบตา ดวงตาสุกใสไม่แฝงความว้าวุ่นใดอีก แววตาหลีจวินก็มีความชื่นชมเพิ่มขึ้น เขาเลื่อนสายตากลับมา แล้วโบกพัดเบาๆ “ไม่ไปเมืองต้าเยี่ย แล้วแม่นางไป๋คิดจะไปที่ใด”
“เมืองซั่วหยาง…” มู่หวั่นชิวพลิกเปิดม่านข้างรถม้า มองออกไปด้านนอก “เมืองซั่วหยางก็มีโรงธูปจำนวนมากเช่นกัน”
“เมืองซั่วหยาง?” หลีจวินขมวดคิ้วแน่น “หากแม่นางไป๋อยากเป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศล่ะก็ ควรจะไปที่เมืองต้าเยี่ยมากกว่า เมืองซั่วหยางเป็นเพียงสถานที่ผลิตวัตถุดิบเครื่องหอมเท่านั้น ที่นั่นผลิตเครื่องหอมสำเร็จรูปน้อยมาก ถ้าอยากปรุงเครื่องหอม ต้องไปที่เมืองต้าเยี่ย”
เมืองซั่วหยางเป็นเพียงสถานที่แปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอมเท่านั้น ที่นั่นไม่มีนักปรุงเครื่องหอมที่ตรงตามความหมายนั้นจริงๆ!
“ข้ารู้” มู่หวั่นชิวมองออกไปนอกรถตลอดเวลา น้ำเสียงราบเรียบ
“ตระกูลหลีอยู่ในวงการปรุงเครื่องหอมก็นับว่ามีชื่อ โรงธูปในเมืองต้าเยี่ยก็มีอยู่ไม่น้อย…” หลีจวินหันหน้ามองนางเงียบๆ “ถ้าแม่นางไป๋ยินดี ข้าสามารถแนะนำเจ้าให้กับปรมาจารย์กู่ กู่ฉินนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศของตระกูลหลี ให้เขาสอนเจ้าด้วยตัวเองได้” เขาเลื่อนสายตากลับ แล้วคลี่พัดพับออก “คิดว่าแม่นางไป๋คงได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว ปรมาจารย์กู่เป็นนักปรุงเครื่องหอมอันดับต้นๆ ของแคว้นต้าโจว”
นักปรุงเครื่องหอมของแคว้นต้าโจวแบ่งออกเป็นห้าระดับ ได้แก่ นักปรุงเครื่องหอมระดับสาม นักปรุงเครื่องหอมระดับสอง นักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่ง นักปรุงเครื่องหอมระดับสูง นักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศ และที่เหนือไปกว่านั้นก็คือ คนที่สามารถปรุงและผลิตคิดค้นกลิ่นหอมแบบใหม่ได้ตามแนวคิดของตัวเอง…รังสรรค์กลิ่นหอมได้ นั่นก็คือระดับปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมแล้ว
ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว นอกจากตระกูลเว่ยที่เคยรุ่งเรืองอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน แคว้นต้าโจวก็ยังไม่ปรากฏปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมที่สามารถรังสรรค์กลิ่นหอมได้อีกเลย
ในทางกลับกัน ปรมาจารย์กู่ที่เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศอยู่นั้น ก็นับว่าอยู่ในระดับสูงที่สุดแล้ว สามารถเป็นศิษย์ของนางได้ นั่นเป็นความใฝ่ฝันของคนไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว!
กู่ฉิน!
จู่ๆ ก็ได้ยินชื่อนี้ นิ้วมือของมู่หวั่นชิวที่จับผ้าม่านอยู่นั้นก็พลันสั่นเล็กน้อย นางวางม่านรถลง แต่ดวงตาไม่ได้เลื่อนหนีจากผ้าม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินที่มีลายอักษรฝูนั้นเลย นางเม้มริมฝีปากแน่น ลอบถอนหายใจ ทำให้สีหน้าตัวเองดูสงบนิ่งลงมาก จากนั้นจึงหันหน้ามา นั่งพิงที่นั่งด้านหลัง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าอยากจะเป็นหลงจู๊เอง”
หลีจวินพับพัดเก็บเสียงดังสวบ แล้วหันหน้ามาจ้องหน้านาง
ทันทีที่สี่ตาประสานกัน มู่หวั่นชิวก็ฉีกยิ้มบางๆ แต่ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตดำขลับราวบ่อน้ำลึก เปล่งประกายที่ยากจะคาดเดา มีบางทีที่หลีจวินรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ลึกล้ำมาก ทั้งยังลึกลับ บางครั้งก็มีความเงียบเหงาที่เขามองไม่เห็นไหลวนอยู่
“ทางแยกด้านหน้าจะมีคนมารับข้า” เลื่อนสายตาไปเล็กน้อยแล้ว มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยพูด
“ได้” เลื่อนสายตาหนีแล้ว หลีจวินก็ตอบรับคำ
ขยับปากอยู่นาน สุดท้ายมู่หวั่นชิวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ภายในรถเงียบเสียงลง
ความรู้สึกประหลาดล้อมรอบคนทั้งสองที่นั่งห่างกันเพียงแค่คืบ