“หยุด!”
เสียงของคนบังคับรถตะโกนเสียงดังทำลายความเงียบภายในรถทันที “คุณชาย ข้างหน้ามีเด็กสองคนขวางรถม้าเอาไว้ บอกว่าจะขอพบแม่นางไป๋ขอรับ”
“นั่นคือโม่อวี่ โม่เสวี่ย” ตื่นจากความคิดแล้ว มู่หวั่นชิวก็พลิกเปิดม่านรถ เห็นหลีจวินมองมาอย่างสงสัย จึงพูดอธิบายว่า “เด็กสองคนในวันขอฝนนั่นอย่างไร พวกเขาถูกข้าซื้อตัวไว้แล้ว”
หลังจากมองสำรวจนางอยู่ครู่หนึ่งแล้ว หลีจวินก็มองตามออกไปนอกรถ
“คุณหนู…” พอเห็นหน้ามู่หวั่นชิว โม่เสวี่ยก็ร้องเรียกอย่างตื่นเต้น “คุณหนูจริงๆ ด้วย!” แล้วหันไปจับตัวพี่ชาย “คุณหนูไม่ได้หลอกพวกเรา ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา คราวนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็วางใจได้แล้ว!”
เห็นโม่อวี่จ้องนิ่งเข้าไปในตัวรถ โม่เสวี่ยจึงหันหน้าไปอีกครั้ง เห็นหลีจวินในชุดขาว สง่างามปลิวพลิ้วราวกับปุยเมฆบนฟ้า เสียงเรียกดีใจก็ชะงักไป จากนั้นนางก็เบิกตาโต
นี่คือคุณชายหลีที่มีท่าทางราวกับเทพเซียนที่ร่ำลือกันหรือ
นางได้เห็นเขาในระยะใกล้แบบนี้เชียว!
“ท่านก็คือคุณชายหลีหรือ” โม่อวี่ดึงตัวน้องสาวที่นิ่งอึ้งออกมา มองดูหลีจวินที่กระโดดลงจากรถม้า แล้วหันไปประคองตัวมู่หวั่นชิว “ตอนที่คุณหนูขอฝนในวันนั้น ข้าก็เคยเห็นท่าน”
“ท่านแม่บอกไว้ว่า ต่อไปต้องเรียกตัวเองว่าบ่าว…” ได้สติคืนมา โม่เสวี่ยไม่พอใจมากที่พี่ชายไม่เคารพคุณชายหลี
“ท่านแม่บอกว่ายามที่พูดกับคุณหนูต้องเรียกตัวเองว่าบ่าว…” โม่อวี่ไม่พอใจท่าทางหลงใหลที่น้องสาวมีต่อหลีจวิน เขาจึงหันไปถลึงตาใส่นาง “คุณชายหลีไม่ใช่คุณหนูเสียหน่อย!”
“พอแล้ว…” ประคองมู่หวั่นชิวให้ยืนมั่นคงแล้ว หลีจวินก็ตบๆ หน้าผากของโม่อวี่ “ต่อไปก็ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี”
“คุณชายไม่เดินทางไปกับคุณหนูของพวกเราหรอกหรือเจ้าคะ” เผชิญหน้ากับคนที่เลื่อมใส โม่เสวี่ยก็ยังไม่หายสงสัย นางเบิกตาโตดำขลับเอ่ยถาม
“คุณชายจะไปเมืองต้าเยี่ย ไม่ใช่ทางเดียวกับพวกเรา” มู่หวั่นชิวดึงตัวนางมาข้างกาย ก่อนจะย่อตัวคำนับหลีจวินเล็กน้อย “ขอบคุณคุณชายที่มาส่งตลอดทาง อาชิวขอลาก่อน”
“ระหว่างทางระวังตัวด้วย” หลีจวินยิ้มพยักหน้า เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงปลดป้ายหยกรูปปลาที่ข้างเอวออกมา แล้วยื่นให้มู่หวั่นชิว “ร้านวัตถุดิบเครื่องหอมเหยาจี้ในเมืองซั่วหยางเป็นลูกค้าเก่าแก่ของตระกูลหลี หากแม่นางไป๋พบเจอปัญหา สามารถเอาป้ายหยกนี้ไปหาเขาที่นั่นได้…” แล้วพูดอีกว่า “วันหน้าถ้าแม่นางมาที่เมืองต้าเยี่ย ก็สามารถเอาป้ายหยกนี้ไปที่ร้านค้าตระกูลหลีเพื่อพบข้าได้”
มีป้ายหยกนี้เป็นสิ่งรับรองแล้ว ยามที่นางไปถึงเมืองซั่วหยางก็จะลดความยุ่งยากไปได้มาก ดีกว่าไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มู่หวั่นชิวจึงยื่นมือมารับไป “ขอบคุณคุณชายหลีมาก”
“รีบไปเถอะ” มองดูดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน หลีจวินจึงพูดว่า “หากช้ากว่านี้จะหาที่พักลำบาก”
ย่อตัวคำนับเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็จับตัวโม่เสวี่ยเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไกลออกไป มือลูบป้ายหยกเนื้องาม พลันนึกถึงเรื่องอีกหนึ่งปีให้หลังขึ้นมาได้ คนที่มีท่าทางราวเทพเซียนผู้นี้ต้องเสียชีวิตลงที่ตำบลจื่อถง มู่หวั่นชิวก็ตัวสั่น นางหมุนตัวกลับมาอย่างฉับพลัน แล้วเรียกเขาเสียงเบา “คุณชายหลี…”
หลีจวินที่กำลังจะขึ้นรถหันหน้ามา มู่หวั่นชิวกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ยามสี่ตาประสานกัน ผ่านไปเนิ่นนานนั้น หลีจวินจึงหมุนตัว แล้วกระโดดขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว
มองดูรถม้าหรูสีน้ำเงินหายไปตรงสุดถนน มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ จูงมือโม่เสวี่ยแล้วถามว่า “ไม่มีใครรู้ว่าพวกเจ้ามารับข้าใช่หรือไม่”
“คุณหนูวางใจได้” โม่อวี่แย่งตอบ “ท่านแม่ของข้า…ท่านแม่ของบ่าวบอกกับเพื่อนบ้านว่า จะให้บ่าวกับน้องสาวไปหลบที่บ้านท่านน้าที่อยู่แดนไกล…” แล้วชี้ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ข้างทาง “รถม้าคันนี้ท่านแม่แอบจ้างมา คนบังคับรถม้าก็รู้จักท่านพ่อ คุณหนูไว้ใจได้”
ได้ยินโม่อวี่เรียกตัวเองว่าบ่าวอย่างไม่คุ้นชินแล้ว มู่หวั่นชิวจึงยิ้มแล้วส่ายหน้า ทุกเรื่องล้วนต้องผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อนจึงจะชิน