หม่าจู้เอ๋อร์พลิกตัวชะมดเช็ดไปมาอยู่นาน “ชะมดเช็ดตัวนี้มีรูตรงอกเพียงรูเดียว เอาไปตลาดอย่างน้อยก็ขายได้ห้าร้อยอีแปะ*”
“ห้าร้อยอีแปะ!” มู่หวั่นชิวเบิกตาโต
น้อยเพียงนี้เชียวหรือ!
ห้าร้อยอีแปะก็แค่ครึ่งตำลึง แต่ชะมดเช็ดตัวนี้หากเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดออกมาสกัดทำเป็นเครื่องหอมแล้ว มิรู้ว่าจะทำถุงแพรชะมดเช็ดออกมาได้มากเท่าใด เอาไปขายที่หอคณิกา ถุงหนึ่งคงขายได้ราวแปดถึงสิบตำลึง!
‘ถุงแพรชะมดเช็ดประเภทนี้ ขอเพียงเป็นผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะมีศีลธรรมสูงส่ง หรือมีการศึกษาดีเพียงใด ขอแค่ได้กลิ่นนี้สักครั้ง พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนสุนัขตัวผู้ที่กระสันในเดือนหก ยืนลิ้นห้อย อยากตามติดตัวเจ้าไม่ยอมปล่อย’ คิดถึงคำพูดของแม่เล้าในหอชุนเซียงเมื่อชาติก่อนแล้ว มู่หวั่นชิวก็มีความคิดอย่างหนักแน่นที่จะเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้ออกมาให้ได้
“เป็นอย่างไร แพงมากสินะ” เห็นมู่หวั่นชิวเบิกตาโต หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยิ่งได้ใจ “ชะมดเช็ดแบบนี้มีน้อยมาก บางครั้งหนึ่งปีก็ไม่เจอสักตัว…ท่านแม่บอกว่า รอขายชะมดเช็ดตัวนี้แล้ว จะไปตัดผ้าลายมาสักสองสามฉื่อ นำมาตัดเสื้อผ้าให้เจ้า…”
“ตัดเสื้อผ้า?” มู่หวั่นชิวก้มลงมองเสื้อผ้าเก่าของหม่าจู้เอ๋อร์บนตัวของนาง “เสื้อของข้าก็ยังดีอยู่ บอกอาหญิงว่าอย่าได้เปลืองเงินเลย”
พักที่นี่มาหลายวันแล้ว นางรู้ว่าครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์มีชีวิตที่ยากแค้นเพียงใด
“ท่านแม่บอกว่า หญิงสาวบอบบาง ควรจะสวมเสื้อผ้าสวยๆ กินอาหารดีๆ” เขามองดูรอยปะสองรอยที่หัวเข่าของมู่หวั่นชิวแล้ว หน้าของหม่าจู้เอ๋อร์ก็ขึ้นสี “ท่านแม่ตัดเสื้อให้เจ้า เจ้าก็ใส่เถอะ ท่านแม่บอกว่า ปีใหม่ปีนี้ข้าไม่ต้องตัดเสื้อใหม่ เก็บเงินมาตัดเสื้อให้เจ้า” แล้วพูดต่อไปว่า “รอข้าโตแล้ว ข้าจะล่าสัตว์ให้ได้เยอะๆ แล้วขายแลกเงินมาซื้อผ้าตัดเสื้อให้เจ้า”
ไออุ่นพลันไหลผ่านดวงใจของนาง มู่หวั่นชิวมีน้ำตาคลอ
ชาติก่อนเป็นเพราะนางเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ จึงไม่เคยรู้ข้อดีของการมีพ่อแม่พี่น้อง ชาตินี้เมื่อได้รู้แล้ว แต่คนในครอบครัวกลับแยกจากนางไปชั่วชีวิต ต้องระหกระเหินไปตามลำพัง นางคิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้พบกับความอบอุ่นจากครอบครัวอีกแล้ว
โชคยังดีที่ทำให้นางเกิดใหม่แล้วได้พบกับครอบครัวเช่นนี้ นางยังสามารถได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวอีกครั้ง แม้จะไม่มีเสื้อผ้างาม อาหารรสเลิศ เหมือนเมื่อชาติก่อน ทว่าเสื้อผ้าหยาบและอาหารชืดวันละสามมื้อเหล่านี้ แต่ละคำนั้นกลับล้วนหอมหวาน อบอุ่น และทำให้นางระลึกถึงได้ไม่จบไม่สิ้น
“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวรีบก้มหน้าลง ไม่ให้หม่าจู้เอ๋อร์เห็นม่านน้ำในดวงตา “ชะมดเช็ดนี้ก็คือชะมดที่ในหนังสือพูดถึงบ่อยครั้ง” ชี้ไปที่ตัวของชะมดเช็ดแล้ว มู่หวั่นชิวก็อธิบายให้หม่าจู้เอ๋อร์ฟังว่าอะไรคือต่อมกลิ่นชะมดเช็ด “ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนั้นมีราคาสูงมาก และมีแต่ชะมดเช็ดตัวผู้เท่านั้นที่มี หากเอาออกมา แล้วสกัดให้ดี ถ้านำไปขายให้โรงธูป อย่างน้อยๆ ก็ได้แปดถึงสิบตำลึงเลยนะ”
ในความคิดของนาง แม้นางจะสกัดไม่เป็น แต่ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดจากชะมดเช็ดตัวนี้ก็มีค่าแปดสิบถึงหนึ่งร้อยตำลึง เกรงว่าจะทำให้หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ นางจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
“จริงหรือ!” หม่าจู้เอ๋อร์ยังคงตกใจ “แพงขนาดนั้นจริงหรือ”
“อืม” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง
“เช่นนั้น…” เด็กหนุ่มมีท่าทางสงสัย “ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้เอาไว้ทำอะไร”
“แน่นอนว่า…”
แน่นอนว่าใช้เพื่อหลอกล่อบุรุษอย่างไรเล่า นี่เป็นเหตุผลเดียวที่นางโลมในหอคณิกาเมื่อชาติก่อนยอมจ่ายเงินซื้อมันในราคาสูง ทันทีที่ประสานสายตากับดวงตาดำขลับของหม่าจู้เอ๋อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็หยุดคำพูดไปเสียอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรเล่า” เห็นความผิดปกติ หม่าจู้เอ๋อร์จึงกะพริบตาอย่างงุนงง แล้วถามต่อ
“นอกจากทำเครื่องหอมแล้ว มันยังเป็นตัวยาที่มีค่ามากอีกด้วย อืม…” เพื่อเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ด นางได้อ่านบันทึกในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเกี่ยวกับต่อมกลิ่นชะมดเช็ดแล้ว จึงพยายามย้อนคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจดจำมาเมื่อเช้า “สามารถเปิดทวารฟื้นสติ เลือดลมไหลเวียน คลายฟกช้ำระงับปวด…” นางเงยหน้าขึ้นมองหม่าจู้เอ๋อร์ “เอามันวางไว้ตรงจมูก สามารถทำให้คนที่หมดสติฟื้นขึ้นมาได้ เหมือนที่คนพูดกันบ่อยๆ ว่าตายแล้วเกิดใหม่ อัศจรรย์มากเชียวล่ะ ยังมี…” มู่หวั่นชิวหักนิ้วมือ “ตัวยาของยาลูกกลอนซูเหอเซียงและยาลูกกลอนลิ่วเสินที่ขึ้นชื่อในร้านขายยาก็ล้วนมีต่อมกลิ่นชะมดเช็ดทั้งสิ้น”
สิ่งเหล่านี้หม่าจู้เอ๋อร์เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนได้ฟังตำราสวรรค์ มึนงงฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขาเข้าใจความหมายของมู่หวั่นชิวแล้ว
ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้มีราคาสูงมาก!
“เจ้ารู้มากจริง แม้แต่ตำราก็เข้าใจ” เขาพูดชื่นชมไปประโยคหนึ่ง “ต่อมชะมดนี้จะเอาออกมาอย่างไร ข้าจะช่วยเจ้าเอง”