มู่หวั่นชิวเหงื่อผุดเต็มหน้า นางเองก็ท่องจำมา เพิ่งศึกษาก็นำมาใช้เลย ตอนเช้าอ่านตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเล่มนั้น นางรู้สึกเหมือนเป็นตำราสวรรค์ แม้จะอ่านไม่เข้าใจสักประโยค แต่ว่าโชคดีที่ชาติก่อนนางเคยได้สัมผัสกับต่อมกลิ่นชะมดเช็ดมาแล้ว จึงพยายามจดจำสิ่งที่เขียนบนตำราได้อย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างปะปนกันไป
และโชคดีที่หม่าจู้เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องนี้ หากเจอคนเชี่ยวชาญความคงแตกไปแล้ว
หลังจากนางก้มหน้าลงปิดบังความอับอายของตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็เอามือไปทาบตรงกลางใต้สะดือของชะมดเช็ด “ก้อนนูนๆ นี่ล่ะ เป็นถุงแบนกลม แค่ตัดออกมาก็พอ”
“อันนี้หรือ” หม่าจู้เอ๋อร์ทำตามที่มู่หวั่นชิวพูด เพียงยื่นมือไปก็คลำเจอแล้ว
“ใช่ อันนี้ล่ะ” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ระวังหน่อยอย่าได้ตัดขาด มิเช่นนั้นกลิ่นหอมจะจางหายไปได้…”
“ข้ารู้แล้ว” หม่าจู้เอ๋อร์รับคำ มือซ้ายคลำถุงแบนกลมใต้หนังท้องของชะมดเช็ด มือขวารับดาบตัดวิญญาณที่มู่หวั่นชิวยื่นมาโดยไม่เงยหน้าขึ้น เมื่อกรีดลงไป ก็เกิดเป็นรอยแผลยาวสามชุ่นในทันที เกิดเสียงดังปั้ง หนังท้องของชะมดเช็ดพลันแตกออกในพริบตา เผยให้เห็นชั้นไขมันสีขาว จากนั้นลำไส้กองหนึ่งก็ไหลทะลักออกมา
หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ เขาโยนดาบตัดวิญญาณทิ้งทันที แล้วรีบโกยเอาลำไส้ยัดกลับเข้าไป “ไป ถอยไป” หันหน้าไปใช้หมัดกันหมาใหญ่ที่วิ่งกระโจนมาเพราะได้กลิ่น หลังจากที่วุ่นวายอยู่พักใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงค่อยหยิบดาบตัดวิญญาณของมู่หวั่นชิวมาดูอย่างละเอียด “ดาบนี้คมจริง คมกว่ามีดเชือดหมูของท่านพ่อมาก”
อย่ามองว่ามันสั้นเล็ก นี่เป็นดาบล้ำค่าหาได้ยากที่ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดินโคลน จึงได้มีฉายาว่าดาบตัดวิญญาณ!
จะเทียบกับมีดเชือดหมูของหม่าหย่งได้อย่างไรเล่า!
มู่หวั่นชิวถลึงตาใส่หม่าจู้เอ๋อร์ แต่มิได้พูดอะไร
“เหม็นจริง!” ตัดถุงแบนนั้นออกมาแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็เอาไปแตะจมูกดม กลิ่นคาวพลันลอยเข้าจมูก จนเขาเกือบจะโยนมันทิ้งไป
มู่หวั่นชิวตกใจ ลองเอามาดมเช่นกัน แล้วก็รีบทิ้งไปทันที ก่อนหันไปทำท่าจะอาเจียน
“บอกว่ามีกลิ่นหอมมิใช่หรือ” หม่าจู้เอ๋อร์มองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างสงสัย แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่” พูดพลางลุกไปหยิบมันขึ้นมา ใช้สองนิ้วจับมันเอาไว้ “เช่นนั้นข้าเอาไปทิ้งนะ!”
ดาบของมู่หวั่นชิวคมเกินไป เขาไม่ทันระวัง ทำให้ท้องของชะมดเช็ดเปิดเป็นรูใหญ่ ชะมดเช็ดตัวนี้คงขายไม่ได้ราคาแล้ว เขากลัวว่าท่านพ่อท่านแม่จะกล่าวโทษมู่หวั่นชิว จึงคิดจะทำลายซากเพื่อลบร่องรอย
“อย่านะ!” มู่หวั่นชิวพยายามกลั้นความพะอืดพะอมในทรวงอกไว้ แล้วหันไปโบกมือห้ามหม่าจู้เอ๋อร์ “อันนี้ล่ะ ไม่ผิดหรอก”
ในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเขียนไว้เช่นนี้
“นี่…”
นี่มันทั้งคาวและเหม็นชัดๆ จะเป็นวัตถุดิบเครื่องหอมได้อย่างไร! หม่าจู้เอ๋อร์มองมู่หวั่นชิวอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้พูดคำกังขาออกมา
“ในหนังสือบอกว่า กลิ่นหอมจำนวนมากสภาพเริ่มแรกล้วนเหม็น หลังจากผ่านกระบวนการแล้วจึงจะมีกลิ่นหอม” นางพยายามย้อนคิดถึงคำพูดในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย ซึ่งมู่หวั่นชิวก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นางเพียงแต่พยายามที่จะท่องจำมา “ถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้ต้องใช้ของเหลวที่ทำจากผงเปลือกหอยและขี้เถ้าแช่เอาไว้ ทำให้กลิ่นเจือจางลงไปหลายพันเท่า แล้วจึงจะส่งกลิ่นหอมหวานออกมาได้”
มู่หวั่นชิวลุกขึ้นยืน ขยับสองขาที่ย่อตัวนั่งจนรู้สึกชาแล้ว ค่อยยื่นมือไปรับถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดที่เพิ่งตัดออกมาจากมือของหม่าจู้เอ๋อร์
หลังจากดูดของเหลวเจือจางหลายพันเท่าแล้วก็จะหอมได้?
เหม็นก็คือเหม็น จะเปลี่ยนเป็นหอมได้อย่างไร ก็มิต่างจากฉี่อึในส้วมหลุม วางทิ้งไว้พันปีก็ยังเหม็นอยู่ดี แม้ว่าจะถูกสุนัขกินไป ถ่ายออกมาก็ยังเหม็นเช่นเดิม! ดูดซึมของเหลวเพียงไม่กี่ครั้งจะเปลี่ยนเป็นหอมได้เช่นไร
ฟังคำพูดของมู่หวั่นชิวแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็ส่ายหน้าไม่เข้าใจ
แต่มู่หวั่นชิวเป็นดั่งนางสวรรค์ซึ่งอ่านตำราได้ คำพูดของนาง หม่าจู้เอ๋อร์ก็ไม่กล้าสงสัยเช่นกัน