ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 4
นางลองถามดูแล้ว เมืองผิงเฉิงห่างจากเมืองซั่วหยางเป็นระยะทางอย่างน้อยหกเจ็ดวัน ซึ่งเป็นการคำนวณจากการนั่งรถม้า ทว่าถ้านางเดินไปทีละก้าว คงต้องใช้เวลานานกว่านั้น ถ้าหนึ่งวันกินขนมเปี๊ยะข้าวโพดไปสองชิ้น เงินไม่กี่ร้อยอีแปะในห่อผ้านี้คงไปไม่ถึงเมืองผิงเฉิงอย่างแน่นอน นางทำได้เพียงต้องขายต่อมกลิ่นชะมดเช็ดชิ้นนั้นแล้ว
นางที่เป็นคนมาสองชาติรู้ดีว่าเสื้อผ้าสำคัญต่อคนผู้หนึ่งอย่างมาก ถ้านางไปด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่ยเช่นนี้ ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนั้นไม่เพียงจะขายไม่ได้ราคา อาจจะถูกคนอื่นแย่งไปได้
หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว มู่หวั่นชิวก็เปิดห่อผ้า หยิบเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงชุดเดียวออกมา บนสาบตรงหน้าอกเสื้อสีเขียวอมเทา เมียหม่าหย่งปักลายดอกไม้เล็กๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่บ้านด้วยด้ายสีแดงอย่างประณีต เห็นได้ว่าแม้จะยากจนเพียงใด เมียหม่าหย่งก็ยังอยากให้นางแต่งตัวอย่างสวยงาม
เดิมทีเป็นชุดผู้ชาย เมื่อถูกเอามาแก้เช่นนี้ ก็ดูไม่ค่อยเข้ากันนัก เทียบกับชุดบนตัวนางที่ถูกเกี่ยวขาดนี้ไม่ได้เลย แม้จะไม่มีลายอะไร แต่เมื่อซักสะอาดแล้วเอามาสวม กลับสวยงามเรียบง่าย ดูมีความงามแบบกลางๆ แต่ชุดในมือนี้กลับถูกซักจนซีด มีรอยปะชุน และยังมีปักลายดอกไม้เล็กๆ สีแดงเพลิง ดูขัดตายิ่งนัก อยู่หมู่บ้านในหุบเขาก็ยังพอใส่ได้ แต่เอามาที่เมืองผิงเฉิงด้วยเช่นนี้กลับดูเชยไปเสียมาก
เสื้อตัวนี้น่าเกลียดจริง!
มู่หวั่นชิวสะบัดเสื้อออกก็นึกอยากจะหัวเราะ แต่พอฉีกยิ้ม น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างมิอาจควบคุม เสื้อผ้าแม้จะน่าเกลียดปานใด แต่ฝีเข็มและด้ายแน่นหนานี้ก็เผยให้เห็นถึงความรักความจริงใจของเมียหม่าหย่ง และมุมมองความงามที่เรียบง่ายของคนในหมู่บ้าน
อาหญิงทำเพื่อนางอย่างเต็มที่แล้ว
เสียงเคาะประตูดังลอยมา มู่หวั่นชิวจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า
เป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ยกกาน้ำร้อนเข้ามา “น้ำร้อนที่นายหญิงต้องการต้มเสร็จแล้ว นายหญิงอยากจะดื่มชาอะไรขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์มองสำรวจเสื้อผ้าที่ดูไม่เข้ากันบนตัวมู่หวั่นชิวแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ “ข้าน้อยจะไปชงมาให้”
รู้สึกเหมือนบนใบหน้าของตนร้อนผ่าว มู่หวั่นชิวพยายามยืดตัวตรง “น้ำเปล่าก็พอ เจ้าวางไว้ตรงนั้นเถอะ”
นางไม่มีเงินพอจะดื่มชา
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงไป แล้วเบ้ปาก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “นายหญิงก็รู้ว่า ตอนนี้เจอภัยแล้งครั้งใหญ่ บ่อน้ำในเมืองล้วนแห้งเหือด น้ำนี้เป็นน้ำที่โรงเตี๊ยมจ้างคนไปตักมาจากบนเขาหลงเฉวียนที่ห่างออกไปสามสิบลี้ แม้ท่านจะไม่ชงชา ก็ต้องจ่ายเงินนะขอรับ”
“เป็นเงินเท่าใด” มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว
“ไม่มาก กานี้หนึ่งอีแปะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เงินหนึ่งอีแปะ!
เงินหนึ่งอีแปะสามารถซื้อขนมเปี๊ยะข้าวโพดได้ครึ่งชิ้น ชงชาดอกไม้ธรรมดาสักกาดื่มได้ครึ่งวันแล้ว เขาไปปล้นเงินเสียเลยจะดีกว่า
มู่หวั่นชิวขมวดหัวคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากพูด สายตาก็เหลือบเห็นดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่นอกหน้าต่าง จึงถอนหายใจ จริงสิ แม้แต่คูเมืองก็ยังแห้งเหือด ตอนนี้น้ำก็คงจะแพงกว่าน้ำมันจริงๆ
นางหมุนตัวกลับไปหยิบเงินเหรียญหนึ่งยื่นให้
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเบิกบานในทันที “หากนายหญิงมีอะไรจะสั่ง ก็บอกได้เลยนะขอรับ”
“อืม” มู่หวั่นชิวนิ่งคิดสักครู่ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ในเมืองนี้มีโรงธูปที่รับซื้อวัตถุดิบเครื่องหอมหรือไม่”
“นายหญิงถามถูกคนแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะแหะๆ “ท่านมาดูทางนี้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์กวักมือเรียกมู่หวั่นชิวมาที่หน้าต่าง แล้วก็ชี้ออกไปด้านนอก “ออกจากตรอกด้านหน้านั้นแล้ว เลี้ยวขวาเดินตามถนนใหญ่ไปทางใต้ ผ่านสองทางแยก ก็จะเป็นถนนบ่อนที่คึกคักที่สุดในเมืองผิงเฉิง ตรงปากทางล้วนเป็นโรงธูป ท่านไปถึงแล้วก็เลือกเอาได้เลย” เขาเหลือบตามองห่อผ้าบนเตียง “นายหญิงมีเครื่องหอมจะขายหรือ” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าน้อยช่วยท่านขายได้ รับรองว่าขายได้ราคาดีแน่นอน”
“ไม่มี” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า
ถูกดึงเงินไปแล้วหนึ่งอีแปะ นางไม่อยากให้เสี่ยวเอ้อร์มาคว้าอะไรไปอีก
เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะขัดเขิน “หากนายหญิงไม่มีอะไรเรียกใช้แล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน ถ้ามีท่านก็ตะโกนเรียกที่หน้าประตูนะขอรับ” มู่หวั่นชิวพยักหน้าพูดรับคำ เดินใกล้จะถึงประตูแล้ว เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เสี่ยวเอ้อร์จึงหันหน้ามาอีกครั้ง “นายหญิงมาได้จังหวะพอดี วันนี้เซียนพนันทิพย์กุมารมาที่เมืองผิงเฉิง”
“เซียนพนันทิพย์กุมาร?” มู่หวั่นชิวตะลึงไป “พี่เสี่ยวเอ้อร์หมายถึงเหลิ่งกัง คุณชายสี่ตระกูลเหลิ่งน่ะหรือ”
“ใช่ๆๆๆ เขานั่นล่ะ” เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าหงึกๆ “คนผู้นี้มีวิชาเหนือชั้นมาแต่เกิด เจ็ดขวบก้าวเข้าบ่อนพนัน พนันแต่ละครั้งก็ต้องชนะ ตอนนี้เขาอายุแค่สิบห้าปี แต่กลับกลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเจิงในเมืองผิงเฉิงแล้ว ได้ยินว่าเพราะอยากเห็นวิชาเหนือชั้น แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเรียกตัวเขาเข้าวัง” เขาถอนหายใจ “เซียนพนันทิพย์กุมาร แคว้นต้าโจวร้อยปีจะมีมาสักคน…” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางเปิดประตู “เขาพักอยู่ที่ร้านป๋ออี้ ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะเล่นต่อเนื่องสิบแปดตา ท่านอย่าพลาดโอกาสนี้เด็ดขาดนะขอรับ”
“พรุ่งนี้?” มู่หวั่นชิวเกิดความคิดในใจ นางหมุนตัวกลับในทันที “พรุ่งนี้วันที่เท่าไรหรือ”
“ท่านช่างเลอะเลือนนัก พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนเจ็ดปีหนานตี้ที่ยี่สิบขอรับ” ส่ายหน้าเดินออกไปจากห้องแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดประตู ปากก็พูดว่า “หน้าตาท่าทางรึก็ดี ทำไมแต่งตัวเชยแบบนั้น”
ได้ยินเสียงพูดของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็ยืนส่องตนเองดูอยู่หน้าคันฉ่อง รู้สึกว่าสองแก้มร้อนผ่าว ทันใดนั้นนางก็เดินหลายก้าวไปที่หน้าเตียง เปิดห่อผ้าออกนับเหรียญในนั้นอย่างตั้งใจ…
ทั้งหมดห้าร้อยหกสิบอีแปะ นับเงินแล้ว มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ เงินแค่นี้แม้แต่จะกินข้าวก็ยังไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อเสื้อผ้าเลย
เสื้อผ้าที่ดูดีสักหน่อยตามท้องตลาด อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินหกถึงเจ็ดร้อยอีแปะ
ลงกลอนประตูแน่นหนาดีแล้ว มู่หวั่นชิวก็ไปหากรรไกรมาด้ามหนึ่ง แล้วถอดเสื้อบนตัวออก นางอยากจะเลาะดอกที่เมียหม่าหย่งปักไว้ออก เมื่อกรรไกรแตะโดนตัวดอกก็พลันรู้สึกลังเลขึ้นมา
นี่ถือเป็นความตั้งใจของอาหญิง แม้จะใส่ไม่ได้แต่เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้!
เมื่อคิดไปคิดมา มู่หวั่นชิวก็สวมเสื้อใหม่อีกครั้ง แล้วออกไปขอเข็มกับด้ายจากเสี่ยวเอ้อร์ จากนั้นหยิบเสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วเย็บปะไปอย่างเงอะงะ