ทดลองอ่าน
ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่มห้า บทที่หนึ่ง
“อาชิว…”
หลีจวินเรียกนางเสียงเบา เขาอยากถามว่าสี่ปีให้หลังนางยินดีจะต่อสัญญากับตระกูลหลีหรือไม่ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเบื้องหลังนางยังมีเฮยมู่ที่คอยเด็ดดาวเด็ดเดือนให้นางอยู่ เขาจึงตัวเกร็งไป
“อาชิว…” หลีจวินเรียกอีก แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้งพลางพูดเสียงเบาว่า “อาชิวอยู่ต่อที่ตระกูลหลีเถอะ ต่อไปรับหน้าที่ดูแลฝ่ายปรุงเครื่องหอม ทำตามกฎในตอนนี้ แบ่งกำไรเป็นร้อยส่วน แบ่งให้เจ้าหนึ่งส่วน ปลายปีจะส่งเงินเข้าบัญชีเจ้าตามจำนวน…” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งที่รู้ว่านางไม่มีทางหวั่นไหวเพราะเงิน แต่เขาก็ยังพูดออกไป…
แม้หลีจวินจะเป็นคนฉลาดเพียงใด แต่พอคิดว่าถึงอย่างไรนางก็ต้องจากเขาไปอยู่ดีนั้น ด้วยความว้าวุ่นใจยามนี้เขาย่อมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดไปรั้งนางให้อยู่ต่อได้อีก
ทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่ฟางเส้นหนึ่ง แต่เขาก็อยากจะลองไปคว้าจับฟางเส้นนั้นเอาไว้
หนึ่งส่วนหรือ
ในสมองมึนงง มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นมองหลีจวินอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยื่นข้อเสนอโง่ๆ อย่างนี้ออกมา
“อาชิว…” ประสานกับสายตาเหมือนคนไม่รู้จักกันของนางแล้ว หลีจวินก็รู้สึกอึดอัดใจ
“ตอนแรกที่ชิงตำแหน่งผู้ชนะในงานประชันเครื่องหอม ข้าเคยขอผลกำไรหนึ่งส่วนจากตระกูลหลีแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงยิ้มแล้วส่ายหน้า
คิดถึงข่าวที่หลีชังส่งมา หลีจวินก็ร่างกระตุก “ตอนนั้นอาชิวทำเพื่ออยู่ต่อที่โรงธูปไป่เยี่ยจริงหรือ” แม้สีหน้าจะดูเรียบเฉย แต่ในใจหลีจวินกลับบีบตัวแรง เขามองมู่หวั่นชิวไม่วางตา
“ตอนนั้นโรงธูปไป่เยี่ยเพิ่งเปิดกิจการก็มีเงินไหลมาเทมา ข้าไม่อยากจากมาเลยจริงๆ…”
ไม่เพียงเพราะเหตุผลนี้ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางไม่เคยกล้าคิดแก้แค้น นางเพียงอยากจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในหอคณิกาในชาติก่อนของตนเอง นางเพียงอยากจะมีชีวิตที่ดี ถ้าหากเป็นไปได้ชาตินี้นางก็ไม่อยากพบหน้าหร่วนอวี้อีก คิดถึงความรู้สึกที่ต่อให้ตนเองตายก็ไม่อยากมาเมืองต้าเยี่ยในตอนนั้นแล้ว มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ เอนหลังพิงอกของหลีจวินเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “ตอนนั้นข้าอยากจะยกเลิกสัญญาแปลกประหลาดนั้นจริงๆ…”
รับรู้ว่าร่างด้านหลังสั่นเบาๆ มู่หวั่นชิวจึงหมุนตัวกลับมามองหน้าหลีจวินอย่างจริงจัง
“แต่ตอนนี้ข้าไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่พี่หลีบังคับพาตัวข้ามาที่เมืองต้าเยี่ย เกรงว่าตอนนี้ข้าคงเป็นเพียงกบใต้บ่อ ชั่วชีวิตคงทำได้เพียงเครื่องหอมไม่กี่ชนิดเท่านั้น หาเงินได้จำนวนหนึ่ง มีกินวันละสามเวลาก็พอใจแล้ว เป็นพี่หลีที่ทำให้ข้าได้เห็นท้องฟ้าที่กว้างขึ้น…” ในตอนนั้นนางรู้สึกจริงๆ ว่าขอแค่ทุกวันตนสามารถกินอิ่มใส่อุ่นได้ก็พอใจแล้ว
“แล้วเหตุใดอาชิวยังจะดื้อรั้นกลับไปอีกหรือ” หลีจวินยกมือขึ้นปัดผมดำบนหน้าผากนาง
“ข้า…” โรงธูปไป่เยี่ยเป็นรากฐานของข้า คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว เสียงของมู่หวั่นชิวก็ชะงักไป นางเปลี่ยนมาพูดว่า “ข้ารับปากคุณชายเฮยแล้วว่าสี่ปีให้หลังจะกลับไป”
“อาชิว…” หลีจวินพยายามสะกดความรำคาญใจที่เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เสียงนั้นฟังดูขมขื่น “เมื่อวานอาชิวไปขอร้องเขาจริงหรือ”
“…ขอร้องเขา?” มู่หวั่นชิวงุนงง “พี่หลีพูดเรื่องอะไรหรือ”
เหตุใดเขาจึงรู้เรื่องเหล่านี้
มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นรัว
“อ้อ เรื่องนี้…” นางอ้ำอึ้ง จากนั้นก็ปั้นหน้าเครียด “ใครให้พี่หลีปฏิเสธข้าอย่างไร้น้ำใจเช่นนั้นเล่า!” ในน้ำเสียงแฝงอาการแง่งอนเอาไว้กลายๆ
ในใจหวังว่าจะสามารถปิดบังความจริงเขาไปได้
มู่หวั่นชิวเลื่อนสายตาไปทางอื่น ในใจแอบท่องคำว่าอมิตาภพุทธ
“เหตุใดอาชิวจะต้องส่งเครื่องหอมให้องค์หญิงหมิงอวี้ให้ได้” หลีจวินจ้องตานางนิ่ง
เขาอยากได้ยินนางพูดคำที่ดูใส่ใจในตระกูลหลีและใส่ใจเขาด้วยหูตนเอง
“แน่นอน…”
แน่นอนว่าเพื่อช่วยตระกูลหลี ช่วยตระกูลหลีก็เท่ากับช่วยตัวนางเองด้วย ในอนาคตหากเจิงหลีสองตระกูลร่วมกันล้มล้างอิงอ๋องได้สำเร็จ ก็เท่ากับช่วยแก้แค้นหนี้เลือดของตระกูลมู่แทนนางแล้ว!
คำพูดมาถึงริมฝีปาก มู่หวั่นชิวพลันสะดุ้ง จากนั้นก็พูดด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “แน่นอนว่าเพื่อให้ข้าได้มีชื่อเสียง!” แล้วพูดแบบวาดงูเติมขา* “ท่านคิดดูสิถ้าเครื่องหอมของข้าได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ เช่นนั้นจะมีเกียรติเพียงใด” ทันใดนั้นก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้เฮยมู่เคยสัญญากับตระกูลหลี แล้วแอบคิดว่าแย่แล้ว…
มู่หวั่นชิวจึงรีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าเปื้อนยิ้ม “…ข้ารู้ว่าคุณชายเฮยให้สัญญาไว้กับตระกูลหลี พี่หลีอย่าไปโทษเขาเลย เพราะเป็นข้าที่อ้อนวอนขอร้องเขาเอง เขาทนไม่ไหวจึงได้รับปากข้า…” เสียงพูดเบาลง “เรื่องนั้นก็ให้แล้วไปเถอะ เพราะข้าได้ตัดสินใจว่าจะตั้งใจทำเครื่องหอมเพื่อตระกูลหลีอยู่แล้ว” น้ำเสียงเอาใจอย่างมาก
รับรู้ว่าร่างที่กอดตนเองสั่นเทา มู่หวั่นชิวจึงสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของหลีจวินแล้วถอยหลังไปอย่างเงียบๆ ด้านหนึ่งลังเลใจว่าจะหลบไปจากสถานที่เจ้าปัญหานี้ดีหรือไม่ ดวงตานางก็มองหลีจวินอย่างประหม่า
“คือว่าข้ายังไม่ได้กินอาหารเช้า…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ในตอนที่มู่หวั่นชิวถอยไปจนถึงประตู หมุนตัวเพื่อจะหนีออกไปนั้น เสียงอ่อนโยนของหลีจวินก็ดังลอยมาข้างหู “สายแล้ว อาชิวกลับไปกินอาหารเช้าก่อนเถอะ” เสียงพูดราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าเศร้าโศกหรือยินดี
“ได้…” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง “ข้ากินอาหารเช้าแล้วจะรีบมาทำเครื่องหอมทันที ไม่ให้เสียเวลาแม้แต่น้อย” น้ำเสียงนางเอาใจอย่างมาก กลัวว่าหากพูดเสียงเรียบจนเกินไป หลีจวินคงได้ฉีกนางออกเป็นชิ้นเล็กๆ แน่
ตั้งแต่ได้รู้จักเขามา รังสีบีบคั้นหัวใจเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เห็นสีหน้านางยินดีขึ้นมาอีกครั้งเช่นนี้ แม้ใบหน้าหลีจวินจะเรียบเฉย ทว่าเส้นเอ็นบนหลังมือของเขากลับเต้นตุบๆ
เฮยมู่! เขาพึมพำในใจ ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม
ดึงเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว รอให้ตระกูลหลีผ่านพ้นอันตรายนี้ไปก่อนเถอะ เฮยมู่จะเป็นคนแรกที่เขาต้องบีบออกมาให้ได้!
* หลักการแผ่นไม้สั้น คือระดับน้ำในถังไม้จะขึ้นอยู่แผ่นไม้ที่สั้นที่สุดของปากถัง เปรียบถึงประสิทธิภาพของผลงานที่ออกมาจะถูกจำกัดด้วยปัจจัยที่เป็นจุดด้อยที่สุด หากปัจจัยต่างๆ ไม่พร้อม ผลงานก็จะออกมาไม่ดี
* วาดงูเติมขา เป็นสำนวน หมายถึงการทำเรื่องที่ไม่จำเป็น ม่เพียงไม่ได้ประโยชน์ แต่กลับเป็นโทษด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป อัพเดตวันที่ 31 ธันวาคม)