บทที่สอง
เมื่อมีเครื่องมือที่เพียงพอ มีอาจารย์ที่มีฝีมือสูงและวัตถุดิบเครื่องหอมสำเร็จรูปครบครัน ทุกสิ่งก็ราบรื่นกว่าที่มู่หวั่นชิวคาดเอาไว้มากนัก ในวันเดียวกันไม่ถึงยามเซินนางก็สกัดหัวเชื้อน้ำหอมได้ครบแล้ว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่จะปรุงน้ำหอมตามที่ตระกูลเว่ยพูดถึง มู่หวั่นชิวตื่นเต้นอย่างมาก แล้วจะให้นางนอนหลับลงได้อย่างไร
มู่หวั่นชิวไม่สนใจหลีจวินที่กล่อมให้นางพักผ่อนอยู่หลายครั้ง เอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องรังสรรค์กลิ่นของคฤหาสน์ตระกูลไป๋
กลิ่นแม้จะไร้เสียง ไร้รูป ไร้สี แต่กลับมีละอองมากมายลอยอยู่ในอากาศที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ให้สดชื่นได้ แล้วก็ทำให้คนซึมเศร้าได้เช่นกัน สามารถทำให้คนเกิดความคิดเพ้อฝัน หรืออาจทำให้คนรู้สึกสงบจนจมลึกอยู่ในความทรงจำในอดีต ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องใช้ใจไปสัมผัสทั้งสิ้น
ในเมื่อชะตาชีวิตของทุกคนไม่เหมือนกัน การรับรู้เรื่องกลิ่นก็จะแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันแล้ว แรงบันดาลใจและการเลือกกลิ่นก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย
ในเรื่องนี้เรียกได้ว่ามู่หวั่นชิวมีพรสวรรค์เป็นพิเศษ
เพราะว่านางเกิดเป็นคนมาแล้วสองชาติ นางเคยรักจนฝังลึกลงกระดูก เคยแค้นจนใจแทบขาด เคยมีความรักมากล้น เคยลิ้มรสความเศร้ารันทด เคยมีความงุนงงกับการร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนและเคยมีสภาพน่าอนาถที่ต้องสูญเสียทุกอย่างไป นางเคยเป็นถึงธิดาจวนอัครเสนาบดีที่สูงศักดิ์และเคยกระทั่งขายรอยยิ้มอยู่ในสถานที่คาวโลกีย์ เคยมีวันที่มีเงินทองอยู่มากมายและเคยลิ้มรสของการร่อนเร่อยู่กลางถนนถูกคนตะคอกด่า พูดได้ว่ารสชาติชีวิตในใต้หล้านี้ไม่ว่าจะเป็นรสชาติของความเจ็บปวดทรมาน ความโศกเศร้า ความยินดี หรือว่าความเสียใจ ทุกความรู้สึกนั้นนางล้วนได้ลิ้มรสมาหมดแล้ว เรื่องการรับรู้กลิ่นนี้นางย่อมมีความเข้าใจที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ
ประสบการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่นักปรุงเครื่องหอมทั่วไปล้วนไม่มี ดังนั้นแม้จะเพิ่งเข้าสู่วงการนี้แต่มู่หวั่นชิวกลับเข้าใจความหมายแฝงของกลิ่นได้ดีกว่าบรรดาศิษย์ในตระกูลนักปรุงเครื่องหอมเหล่านั้นเสียอีก นางสามารถรับรู้ถึงความลึกซึ้งในกลิ่นหอมอันสดชื่นและความงามในเอกลักษณ์ของกลิ่นนั้นๆ กอปรกับการฝึกฝนวิชาพิณที่เหนือกว่าผู้อื่นมาแต่กำเนิด และได้สุดยอดตำราลับของปรมาจารย์อันดับหนึ่งคอยชี้แนะ เวลาอันสั้นเพียงสองปีความเข้าใจของนางที่มีต่อกลิ่นหอมก็มิใช่เพียงแค่การสกัดหรือการปรุงตามสูตรลับอย่างง่ายๆ อีกแล้ว
ในใจของนางการปรุงเครื่องหอมได้เลื่อนขึ้นกลายเป็นศิลปะวิชาแขนงหนึ่งแล้ว นางกำลังก้าวย่างไปบนเส้นทางสายใหญ่ที่แตกต่างจากคนอื่นโดยไม่รู้ตัว นั่นคือเส้นทางที่แทรกซึมด้วยธรรมชาติ แทรกซึมด้วยการเปลี่ยนแปลงและเกิดดับของสรรพสิ่ง…เป็นเส้นทางแห่งเครื่องหอม
ด้วยเหตุนี้น้ำหอมซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สำหรับนักปรุงเครื่องหอมทั่วไปแม้จะตีจนหัวแตกก็ไม่อาจจินตนาการถึงได้นั้น มู่หวั่นชิวที่เพิ่งได้สัมผัสเป็นครั้งแรก นางก็ลงมือทำได้อย่างชำนาญมากแล้ว ทั้งยังราบรื่นดีกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก ราวยามโฉ่ว* นางก็ไล่ปรุงน้ำหอมออกมาได้สิบกว่าชนิด ใช้ผ้าเช็ดหน้าขนแกะปิดจมูกสูดหายใจลึกหลายที ทำให้จมูกกลับมามีสัมผัสไวเหมือนเดิมแล้ว มู่หวั่นชิวก็เอาน้ำหอมที่เพิ่งปรุงได้มาวางใต้จมูกอีกครั้ง
อืม เป็นกลิ่นนี้ล่ะ เหมือนที่นางคิดไว้ทุกอย่าง
มู่หวั่นชิวบิดขี้เกียจ ยามนี้นางตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ อยากจะวิ่งไปเรียกหลีจวินให้ตื่นจากฝัน แล้วมาร่วมแบ่งปันความยินดีในความสำเร็จนี้ด้วยซ้ำ ทว่าเพียงนางเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างที่ภายนอกยังคงดำมืด นางก็วางถาดที่ยกขึ้นมากลับลงไปที่เดิม แอบคิดในใจว่าวันนี้ดึกเกินไปแล้ว น้ำหอมเหล่านี้พรุ่งนี้ค่อยเอาให้เขาก็แล้วกัน ในใจคิดไปนางก็เก็บกวาดอย่างลวกๆ แล้วหยิบน้ำหอมขวดหนึ่งขึ้นมาเตรียมจะกลับห้องรองทางตะวันออก
นางอยากรับรู้กลิ่นของน้ำหอมนี้ในความฝัน
พอผลักประตูเปิดนางก็ต้องตกตะลึง