วาดขีดสุดท้ายเสร็จ มู่หวั่นชิวก็ผ่อนลมหายใจยาว วางพู่กันลงแล้วบิดขี้เกียจ ก่อนที่นางจะหยิบภาพที่เพิ่งวาดเสร็จขึ้นมาตรวจสอบอย่างจริงจัง
กินระยะเวลานานถึงสามวัน ในที่สุดภาพหม้อกลั่นลำดับส่วนภาพนี้ก็วาดเสร็จแล้ว
รอให้หอเสวียนจีทำออกมาตามแบบ นางก็สามารถเปลี่ยนขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้กองนั้นให้กลายเป็นของล้ำค่าได้แล้ว!
เพียงแค่คิดมู่หวั่นชิวก็รู้สึกลิงโลดอย่างมาก คันในหัวใจจนยากจะทนไหว
วางภาพลงแล้ว นางก็ก้าวออกจากห้องรองทางตะวันออก รีบรุดไปที่ห้องหลักทางตะวันออก
อาการบาดเจ็บของหลีจวินหายพอสมควรแล้ว แต่ว่าเขายังดึงดันใช้ข้ออ้างว่าคฤหาสน์ตระกูลไป๋อยู่ใกล้ฝ่ายรังสรรค์กลิ่นที่เขาเพิ่งเปิดใหม่ และภายในร้านหลีจี้ทุกที่ล้วนเป็นเส้นสายของกู่ฉิน เขาจึงยังอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋โดยไม่ยอมไปที่ใด เวลาที่เขาเข้าออกนั้นล้วนใช้การลอยตัวไปมาตามใจชอบ ไม่เคยใช้ประตูใหญ่ มู่หวั่นชิวย่อมทำอะไรเขาไม่ได้ ทำได้เพียงลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งตามใจเขาไป
ตอนนี้นับว่าใช้งานเขาได้พอดี
นางอยากจะดึงตัวหลีจวินไปหอเสวียนจีในทันที
พอผลักเปิดประตูก็พบว่าข้างในว่างเปล่า มีเงาของหลีจวินเสียที่ใด
มองดูหนังสือบนโต๊ะที่ยังไม่ทันปิด มู่หวั่นชิวก็ขมวดคิ้ว “เขาไปที่ใดอีก”
หมุนตัวเดินมาถึงลานบ้านกำลังจะไปตามหาที่ฝ่ายรังสรรค์กลิ่นใหม่ของตระกูลหลีที่อยู่ข้างบ้านตนเอง เสียงโม่เสวี่ยก็ดังแว่วๆ จากห้องทางตะวันตกดึงดูดใจนางเข้าเสียก่อน นางกลั้นลมหายใจครู่หนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินไป
ในห้องทางตะวันตกโม่เสวี่ยกำลังอบรมพวกเฉินเซียงหลันเซียงอย่างเคร่งเครียด “จำเอาไว้ ทุกคนระวังปากตัวเองให้ดี ใครกล้าพูดแพร่งพรายให้คุณหนูรู้ ข้าจะถลกหนังคนผู้นั้น!”
รับรู้ถึงบรรยากาศผิดปกติ โม่เสวี่ยจึงหันหน้ามาอย่างช้าๆ “คุณหนู…” สองขานางสั่นเทาพลางทรุดลงคุกเข่า
มู่หวั่นชิวกำลังปั้นหน้าเครียดยืนอยู่ข้างหลังนาง
“เสวี่ยเอ๋อร์จะปิดบังข้าเรื่องอะไรหรือ” แม้น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลดุจเดิม อ่อนโยนราวกับนกขมิ้น แต่กลับมีพลังอันน่ากลัวที่ทำให้บรรดาสาวใช้น้อยใหญ่ที่มีโม่เสวี่ยเป็นหัวหน้าตกใจจนทรุดลงคุกเข่าตาม
“คุณหนู” เสียงของโม่เสวี่ยสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่
“เสวี่ยเอ๋อร์…” มู่หวั่นชิวเรียกอีกครั้ง หางเสียงสูงขึ้น
โม่เสวี่ยตัวสั่น เสียงพูดอ้อนวอนแฝงเสียงสะอื้น “คุณหนู…” ยังคิดจะพูดเฉไฉ แต่พอเห็นท่าทางเคร่งขรึมของมู่หวั่นชิวที่น้อยนักจะได้เห็นมีหรือที่นางจะกล้าพูดเฉไฉ เพียงพูดอึกอักว่า “พี่เจี้ยนเพิ่งจะตามตัวคุณชายหลีไป บอกว่า…บอกว่า…” นางขบกรามแน่น “บอกว่าเม็ดหอมเศร้าอาดูรที่คุณหนูปรุงให้ตระกูลหลีเมื่อคืนถูกปล้นชิงไปแล้ว!”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” เท้าพลันสะดุดก้อนหิน มู่หวั่นชิวร่างโอนเอนจนแทบจะล้มลง
“คุณหนู…” โม่เสวี่ยเรียกอย่างเศร้าใจ แล้วคลานเข่าเข้ามาประคองมู่หวั่นชิวไว้ เห็นคุณหนูมองนางเหมือนคนไม่รู้จักกันจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า “เครื่องหอมที่ตระกูลหลีเตรียมสำหรับองค์หญิงหมิงอวี้ถูกปล้นชิงไปแล้ว”
“…เป็นไปได้อย่างไร” เรื่องเหนือความคาดหมายนี้มู่หวั่นชิวได้ยินแล้วก็พยายามคิดตาม “พี่หลีบอกข้าว่าเขาล่อองครักษ์ที่เฝ้าดูหน้าร้านหลีจี้ทั้งหมดไปแล้ว แล้วใช้หน่วยเงาที่เป็นกำลังลับของร้านหลีจี้คุ้มกันส่งไปด้วยตัวเอง…” นางส่ายหน้า “เพิ่งสองวันเท่านั้น เครื่องหอมยังไม่ได้ออกจากเขตเมืองต้าเยี่ยเลยนี่นา เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร” นางพึมพำไม่หยุด ในสมองมึนงงเหมือนไม่มีสติ
เขตเมืองต้าเยี่ยเป็นเขตอำนาจของตระกูลหลีนะ!
“คุณหนู…” โม่เสวี่ยกอดนางเอาไว้ “คุณหนูพูดถูก บ่าวอาจจะฟังผิดไป ที่ถูกปล้นชิงไปเป็นเครื่องหอมชุดที่อาจารย์หลี่เป็นคนปรุง…”
“อย่างนั้นหรือ” ดวงตาเปล่งประกายแวบหนึ่ง สมองมู่หวั่นชิวพลันปลอดโปร่งขึ้นมาก นางผลักตัวโม่เสวี่ยออกทันใด “ข้าจะไปถามพี่หลี” เสียงพูดสงบนิ่งมาก นางผลักเปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว