อย่างไรเสียกู่ฉินก็เป็นเสมือนเทพในวงการปรุงเครื่องหอม ใครเล่าจะกล้ามาแบกรับความผิดนี้ ต้องถูกคนนับหมื่นรุมด่า
จ้องมองสายตาแปลกประหลาดของหลีจวินแล้ว มู่หวั่นชิวก็หัวใจเต้นรัว
“พี่หลี ข้า…” นางอยากอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
“อาชิววางใจได้ ข้าจะส่งเครื่องหอมของเจ้าเข้าวังให้ได้อย่างแน่นอน!” หลีจวินพูดรับรองด้วยสีหน้าจริงจัง
มู่หวั่นชิวในดวงตาฉายความสิ้นหวัง แอบพูดในใจ…ข้าเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา เขาคงคิดว่าข้าใจแคบ อิจฉากู่ฉินแน่นอนกระมัง เพียงความคิดแล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็ค่อยๆ ปล่อยมือ
รับรู้ว่ามือของนางเย็นเฉียบในทันใด หลีจวินก็ใจสั่น เขากอดมู่หวั่นชิวที่จะลุกขึ้นเดินจากไปไว้ “อาชิว…”
“ข้าเหนื่อยแล้ว…” มู่หวั่นชิวนิ่งปล่อยให้เขากอดอย่างนั้นแล้วพูดเสียงเรียบ “พี่หลีออกไปก่อนเถอะ”
รับรู้ว่าร่างของนางเย็นเฉียบ หลีจวินจึงเรียกนางเสียงเบา “อาชิว…”
ราวกับได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ เขาโน้มตัวลงแนบใบหน้าข้างหูมู่หวั่นชิว ใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน พูดว่า “ข้อเสนอของอาชิวเมื่อครู่นี้เป็นแผนร้ายที่สุดที่ข้ากับท่านพ่อคิดกันไว้แต่แรกแล้ว ท่านหมอที่รักษากู่ฉินเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลหลี ถ้าเครื่องหอมของอาชิวพ่ายแพ้ กู่ฉินก็จะ ‘ตายเพราะบาดเจ็บสาหัส’…”
“พี่หลี…” มู่หวั่นชิวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“วันนั้นได้ฟังคำของอาชิว ข้าก็แอบปล้นชิงเครื่องหอมของร้านอี้เหอที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของตระกูลหลีจริง กู่ฉินทำออกมาและขายให้คนอื่นไปแล้ว…ที่ตระกูลหลิ่วลงมือร้ายแรงต่อนางอย่างนั้น หนึ่งคือยับยั้งไม่ให้นางเหยียบเรือสองแคม แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…พวกเขาทำเพื่อปูทางให้หลิ่วเฟิ่ง”
“ปูทางเพื่อหลิ่วเฟิ่งหรือ” มู่หวั่นชิวกะพริบตาอย่างสงสัย
“เครื่องหอมของร้านอี้เหอส่งออกไปในนามหลิ่วเฟิ่ง…” หลีจวินพยักหน้า “แต่นางปรุงเครื่องหอมไม่เป็น ถ้าได้ชัยชนะมาต่อไปก็ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายมากมายและการจับตามองของราชสำนัก หากเบื้องหลังนางไม่มีอาจารย์ฝีมือล้ำเลิศคอยหนุนอยู่จะได้อย่างไร แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “กู่ฉินใจแคบและหลงใหลในชื่อเสียง นางจะยอมอยู่เบื้องหลังคนอื่นอย่างเงียบๆ ได้หรือ” หลีจวินพูดทีละคำๆ “…นอกเสียจากนางเสียโฉม ไม่อาจเผยหน้าต่อหน้าผู้คนได้!” เขาส่ายหน้า “น่าเสียดายตระกูลหลิ่วคำนวณผิดพลาดไป แม้จะใช้วิธีการเหี้ยมโหดเช่นนั้นแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่ากู่ฉินรักโฉมหน้ามากกว่าชีวิตตนเอง ทั้งที่ถูกไฟไหม้ไปครึ่งร่าง กลับมีเพียงใบหน้าที่ถูกปกป้องไว้อย่างดี…”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” มู่หวั่นชิวเข้าใจในทันที ปากก็พึมพำ “ความคิดพี่หลีรวดเร็วเสียจริง ข้ามีชีวิตมาสองชาติยังคิดไม่ถึงขั้นนี้เลย” จริงสิ ชาตินี้ไม่เหมือนกับชาติก่อน เพราะตอนนั้นในมือหลิ่วเฟิ่งมีสุดยอดตำราลับอยู่เล่มหนึ่งแล้ว ย่อมไม่กลัวว่ากู่ฉินจะไม่เอาใจนาง ทว่าในชาตินี้นางไม่มีหลักรับรองอะไรเลยสักอย่างจึงต้องใช้วิธีรุนแรงนี้
“อาชิวพูดอะไรนะ” หลีจวินฟังไม่ชัดเจนจึงเอ่ยปากถาม
มู่หวั่นชิวสะดุ้ง ก่อนจะพบว่าตนเองเพิ่งหลุดปากพูดออกไป นางหน้าแดงพลางแอบมองไปทางหลีจวิน เขาก็กำลังมองนางไม่วางตา สายตาประสานกัน มู่หวั่นชิวพลันตัวสั่น
“ข้า…ข้า…” นางพูดอ้ำอึ้ง “เมื่อครู่ข้าคิดว่าพี่สงสัยว่าข้าใจแคบ อยากจะมีชื่อเสียงจึงไม่ยอมรับปากข้าเรื่องปรมาจารย์กู่…” แล้วยิ้มอย่างเอาใจ “ตอนนี้รู้ว่าพี่หลีไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าก็วางใจแล้ว”
“…อาชิวคิดเช่นนี้ได้อย่างไร” หลีจวินถลึงตามองนางอย่างโมโห “ถ้าอาชิวใจแคบ อยากจะมีชื่อเสียงจริง แล้วจะยอมทิ้งตำแหน่งอันดับหนึ่งในงานประชันเครื่องหอมไปได้อย่างไร อาชิวรู้นานแล้วว่ากู่ฉินทรยศตระกูลหลี ต้องการฆ่านางก็เพื่อให้ตระกูลหลีสามารถกู้สถานการณ์ที่พ่ายแพ้กลับมาได้…” เขาเชื่อแล้วว่าใบสนหอมและธูปพระพยักหน้าในงานประชันเครื่องหอมแห่งเมืองซั่วหยางนั้นมาจากมือของนาง ทั้งนางยังมอบสูตรเหล่านั้นให้กับเฮยมู่โดยไม่เก็บไว้เลย
หลีจวินค่อยๆ จมอยู่ในความคิด เสียงพูดจึงขาดห้วงไป…
ภายในห้องได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสอง