ทดลองอ่าน
ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่มห้า บทที่หก
“จากเมืองต้าเยี่ยถึงเมืองอันคัง มีพ่อค้าวาณิชอยู่มากมายและมีหนทางที่หลากหลาย หากคิดจะยึดเครื่องหอมที่ตระกูลหลีตั้งใจปกปิดก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร…” ผ่านไปครู่ใหญ่สื่อเหวินก็พูดทำลายความเงียบ “ท่านอ๋องทรงระดมกำลังเฝ้าประตูเมืองอันคังทั้งสี่ด้านจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เครื่องหอมในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงจะเริ่มคัดเลือกพรุ่งนี้แล้ว อีกสามวันก็เป็นกำหนดวันสุดท้าย ขอเพียงถ่วงเวลาให้พ้นสามวันนี้ไป แม้เครื่องหอมตระกูลหลีจะเข้าเมืองมา ท่านอ๋องก็สามารถใช้ข้อหาทะนงตนเพราะมีความชอบดูหมิ่นพระราชโองการ ยื่นฎีกาทูลขอฝ่าบาทให้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าร่วมคัดเลือกของตระกูลหลี…”
โดยปกติเมื่อการคัดเลือกเริ่มขึ้น พระราชวังชั้นในจะหยุดรับเครื่องหอม แต่ตระกูลหลีเป็นวาณิชหลวงมานานหลายปี ด้วยเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมจึงได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้ารอบชิงชนะเลิศได้เลย และยังล่าช้าได้ถึงสามวัน
“พูดก็พูดได้ แต่อย่างไรเสียตระกูลหลีก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เครื่องหอมของเขาองค์หญิงจะไม่คะนึงหาได้อย่างไร” จูชุนพูดพึมพำเสียงเบา “ขอเพียงองค์หญิงพอพระทัย ช้าไปวันครึ่งวันเกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ใส่พระทัย…”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก…” สื่อเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นเมื่อก่อนเพราะมีบารมีของปรมาจารย์กู่ แม้จะช้าไปสามวันองค์หญิงก็ทรงรอ” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ล้วนรู้กันว่าปรมาจารย์กู่บาดเจ็บหนัก ปรุงเครื่องหอมไม่ได้แล้ว…”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว…” จูชุนเข้าใจทันที “องค์หญิงรู้แล้วว่าเครื่องหอมร้านหลีจี้ที่เข้าร่วมแข่งขันมาจากฝีมืออาจารย์ที่ไม่มีชื่อเสียง เกรงว่าคงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรแล้ว…” ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เช่นนั้นคงไม่เริ่มคัดเลือกเร็วขึ้นเช่นนี้ องค์หญิงคงคิดว่าเครื่องหอมของตระกูลหลีไม่มีหวังแน่นอนแล้ว จึงได้ลองดูเครื่องหอมที่ส่งมาจากทุกที่ก่อนว่ามีที่แปลกใหม่หรือไม่”
“ถูกต้อง เป็นเหตุผลนี้ล่ะ…” สื่อเหวินหันไปทางอิงอ๋อง “ขอเพียงพระองค์ทรงคิดวิธีให้องค์หญิงทรงดมกลิ่นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของร้านอี้เหอก่อน เชื่อว่าองค์หญิงคงไม่คาดหวังกับเครื่องหอมของร้านหลีจี้อีก…”
“ท่านสื่อพูดมีเหตุผล…” อิงอ๋องพยักหน้า กำลังจะสั่งจูชุนก็ได้ยินชุยเจี๋ยพูดขวาง “ท่านอ๋องอย่าประมาท…” เขามองสื่อเหวินแวบหนึ่ง “พี่สื่อวิเคราะห์ได้ถูกต้องก็จริง แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว…”
“เพราะเหตุใด” สื่อเหวินถาม
“ตระกูลหลีส่งเครื่องบรรณาการเข้าวังทุกปี คิดว่าคงซื้อตัวคนข้างกายองค์หญิงไว้แล้ว ถึงแม้สิทธิ์การเข้าคัดเลือกจะถูกยกเลิก แต่ขอเพียงเครื่องหอมของตระกูลหลีเข้าวัง คนเหล่านี้ก็จะมีวิธีทำให้องค์หญิงได้ดมกลิ่นมัน ถึงตอนนั้น…”
ถึงตอนนั้นอิงอ๋องผู้ที่ทำเรื่องเลวร้ายมาแต่แรกจะต้องถูกตำหนิ และยังทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงอีกด้วย
ชุยเจี๋ยส่ายหน้า ไม่ได้พูดต่อไป เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดอีกว่า “ที่สำคัญที่สุดข้าน้อยได้ยินว่าก่อนที่เครื่องหอมตระกูลหลีจะออกจากเขตเมืองต้าเยี่ย เคยถูกผู้บัญชาการหร่วนยึดไว้ที่อำเภอฉี่หลิงสองวัน ด้านนอกพากันนินทาว่านี่เป็นเพราะผู้บัญชาการหร่วนกับหลีจวินแย่งชิงหญิงสาวคนหนึ่ง จึงจงใจสร้างความลำบากใจให้ตระกูลหลี” เสียงพูดของเขาผ่อนลง แต่พูดอย่างชัดเจนทุกคำ “ท่านอ๋องตำหนิว่าเครื่องหอมตระกูลหลีมาล่าช้า ตระกูลหลีจะไม่ใช้ข้ออ้างนี้กล่าวโทษผู้บัญชาการหร่วนหรอกหรือ”
คำพูดนี้พูดได้ถูกต้องมาก สื่อเหวินพยักหน้านิดๆ พลางแอบปาดเหงื่อ
“เจ้าเศษสวะคนนี้!” อิงอ๋องโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าให้เขาไปจัดการตระกูลหลี ไม่ได้ให้เขาไปแย่งชิงหึงหวงใคร!” ดวงตาหรี่ลงเป็นเส้นตรง น้ำเสียงของเขาผ่อนลง “หนึ่งปีมานี้ไม่มีผลงานใด เขาควรจะขยับรังได้แล้ว…”
ทุกคนพากันตัวสั่น ชุยเจี๋ยกับสื่อเหวินต่างรีบก้มหน้าลง
“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งกริ้ว ผู้บัญชาการหร่วนทำเพื่อตรวจสอบเครื่องหอมที่ซุกซ่อนไว้จึงได้คิดแผนนี้ออกมา…” จูชุนกับหร่วนอวี้เคยเสี่ยงชีวิตมาด้วยกัน เห็นอิงอ๋องโมโห เขาจึงบากหน้าเล่าเหตุการณ์ที่หร่วนอวี้แอบเปลี่ยนเครื่องหอมตัวอย่างที่อำเภอฉี่หลิง “เรื่องนี้เดิมทีเป็นความลับ แต่ไม่ถึงครึ่งวันหมู่พ่อค้าอำเภอฉี่หลิงก็ลือกันไปทั่ว กระหม่อมสงสัยว่านี่เป็นแผนยุแยงของหลีจวินอีกครั้ง จุดประสงค์ก็เพื่อยุแยงท่านอ๋องกับผู้บัญชาการหร่วน ให้ไล่เขาออกจากเมืองต้าเยี่ย…”
อิงอ๋องสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างช้าๆ “ลือกันว่าเขากับหลีจวินแย่งชิงหึงหวงเพราะสตรีคนหนึ่ง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“หญิงคนนั้นก็คืออาจารย์ไป๋ที่ตระกูลหลีเพิ่งยกเชิดขึ้นมา ชื่อไป๋ชิว…” จูชุนแอบปาดเหงื่อ “ใต้เท้าหร่วนหมายตานางตั้งแต่งานประชันเครื่องหอมที่เมืองซั่วหยางแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เขาเล่าเรื่องมู่หวั่นชิวที่เป็นม้ามืดในงานประชันเครื่องหอมออกมา “พอพบว่านางเป็นอัจฉริยะในการปรุงเครื่องหอม ใต้เท้าหร่วนก็อยากจะดึงนางมาเป็นพวกทันที…” เขาถอนหายใจ “แต่น่าเสียดายตระกูลหลีทำสัญญาขาดกับนางไว้ก่อนแล้ว…”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง…” ชุยเจี๋ยเข้าใจเรื่องราว ก่อนจะมองไปทางอิงอ๋อง “พวกเราเข้าใจผิดเอง เป็นผู้บัญชาการหร่วนที่คิดเผื่อท่านอ๋อง ถ้าไป๋ชิวเป็นอัจฉริยะจริง ท่านอ๋องจะทรงประมาทไม่ได้เด็ดขาด…” เขาชะงักไปสักครู่ “ยังไม่ต้องพูดถึงใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้าเลย ดูแค่เพียงเม็ดหอมเศร้าอาดูรที่นางปรุงในครั้งนี้ก็เอาชนะปรมาจารย์กู่ได้ขั้นหนึ่งแล้ว ถ้านางได้รับการอบรมบ่มเพาะสักระยะหนึ่งจะต้องมีอนาคตไม่มีสิ้นสุดแน่ เรื่องล้ำหน้าปรมาจารย์กู่ก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น มีนางคอยทำเครื่องหอมชั้นเลิศอย่างเช่นใบสนหอมให้กับตระกูลหลีอย่างไม่สิ้นสุดเช่นนี้ ถึงแม้ปรมาจารย์กู่จะยอมตามพวกเรามา หรือสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวงของตระกูลหลีจะถูกยกเลิก ตระกูลหลีก็ยังไม่อยู่ในฐานะที่ล่มสลาย…”
ใช่แล้ว ถึงจะไม่มีสิทธิ์การเป็นวาณิชหลวง ตระกูลหลีก็แค่ขาดตลาดเครื่องหอมไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าจะล้มตระกูลหลีได้นั้นมาจากการทรยศของกู่ฉิน ทว่าตอนนี้จู่ๆ กลับมีคนมีฝีมือที่อาจจะเหนือกว่ากู่ฉินโผล่ออกมา
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่อาจคาดการณ์ได้เลยจริงๆ!
อิงอ๋องนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดว่า “บอกว่าใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้ามาจากฝีมือของเฮยมู่มิใช่หรือ” เขาขมวดคิ้วเป็นปม “เหตุใดจึงมีไป๋ชิวออกมาอีกคน ไป๋ชิวคนนี้…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองจูชุน “เป็นอัจฉริยะจริงหรือ”
ก่อนหน้านี้บอกว่าเฮยมู่เป็นอัจฉริยะ เขาจึงได้ยกธูปพระพยักหน้าขึ้นเป็นธูปบรรณาการ อยากจะดึงใจโรงธูปไป่เยี่ยไว้ ตอนนี้เหตุใดจึงมีไป๋ชิวโผล่ขึ้นมาอีกเล่า แคว้นต้าโจวเป็นอะไรไปแล้ว
หลายปีมานี้ไม่เห็นมีอัจฉริยะเลยสักคน พอจะมีขึ้นมาก็มีโผล่ติดๆ กันไม่ขาดเลยหรือ
“ผู้บัญชาการหร่วนสงสัยว่านี่เป็นข่าวลือที่หลีจวินจงใจสร้างขึ้นเพื่อป้องกันปรมาจารย์กู่…” จูชุนอธิบาย “พอเห็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของอาจารย์ไป๋ ผู้บัญชาการหร่วนจึงไปตรวจสอบสมาคมกิจการเครื่องหอมแห่งเมืองซั่วหยางใหม่อีกครั้ง ก่อนจะทราบว่าผลนั้นล้วนถูกเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ใต้เท้าเฉียนเจ้าเมืองซั่วหยางเป็นพยานว่าใบสนหอมกับธูปพระพยักหน้ามาจากฝีมือของอาจารย์ไป๋จริง เขายังบอกอีกว่าตอนนั้นปรมาจารย์กู่ก็คิดอยากฆ่าอาจารย์ไป๋แล้ว…” จูชุนส่ายหน้า เขาก็ไม่เข้าใจว่าหลังงานประชันเครื่องหอมเหตุใดสูตรลับเหล่านี้จึงกลายเป็นของเฮยมู่ไปเสียได้ เกี่ยวกับข่าวที่หร่วนอวี้รายงานมาเขาก็มีข้อสงสัยมากมายเช่นกันจึงพูดไปอย่างคลุมเครือว่า “ที่บอกว่าเป็นของคุณชายเฮย คงเป็นเพราะอาจารย์ไป๋กลัวว่าหากตนเผยคมมีดมากเกินไปจะทำให้ปรมาจารย์กู่อิจฉาจนนึกทำลายตนเอง…อายุยังน้อยก็มีความชาญฉลาดเช่นนี้แล้ว ช่างหาได้ยากจริงๆ”
อิงอ๋องลองคิดดูแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งที่มีสุดยอดฝีมือทว่ากลับไม่มีอำนาจและไร้ซึ่งบารมีนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกู่ฉินที่มีจิตใจคับแคบแต่มีชื่อเสียงราวตะวันบนฟ้าและยังถูกวงการปรุงเครื่องหอมขนานนามว่าเป็นเทพ หากไม่ระวังตัวก็อาจไม่มีชีวิตรอดจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นเขาก็คงทำอย่างมู่หวั่นชิว ชื่อเสียงนั้นแม้จะสำคัญเพียงใด แต่การมีชีวิตย่อมมีค่ายิ่งกว่า ในสภาพที่ไม่สามารถมีสองอย่างพร้อมๆ กันได้ สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ย่อมเป็นผู้ชนะ
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว อิงอ๋องก็พยักหน้าทันที “มีสุดยอดฝีมือเช่นนี้ แต่กลับมีชีวิตรอดมาได้นานอย่างนี้ นางไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด “บอกหร่วนอวี้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดต้องดึงตัวนางมาให้ได้!”
“เรื่องนี้…” จูชุนลังเลสักครู่
เชื่อว่าวิธีการที่สามารถใช้ได้นั้นหร่วนอวี้ล้วนใช้ไปหมดแล้ว หากดึงตัวคนมาได้จริงคงดึงตัวมานานแล้ว จะมีเรื่องกับหลีจวินจนถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
แต่คำพูดนี้ไม่อาจบอกกับอิงอ๋องได้
ทว่าท่าทีลังเลใจนี้ทำให้อิงอ๋องเข้าใจความหมายของจูชุน ครุ่นคิดสักครู่เขาก็ผ่อนเสียงพูดว่า “บอกหร่วนอวี้ ถ้านางไม่เชื่อฟังก็ฆ่าทิ้งเสีย” ในดวงตาฉายความโหดเหี้ยม
อัจฉริยะแล้วอย่างไร
ในเมื่อไม่สามารถเอามาใช้งานเองได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง!
* ใช้น้ำอุ่นต้มกบ คือการลงมือจัดการอย่างช้าๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เหมือนกับการเอากบแช่ในน้ำอุ่นให้เคยชินกับสภาพ แล้วค่อยๆ เร่งไฟจนน้ำเดือด กว่ากบจะรู้ตัวก็ถูกต้มจนตายแล้ว