ตอนที่ 1
ขณะที่ดอกไม้บานและร่วงโรยลงไปนั้น ราวกับทุกคนได้ผ่านสังสารวัฏแห่งชีวิตมาด้วยตนเอง ไม่อาจใช้คำพูดใดมาบรรยายได้ ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีความรู้สึกจากใจจริงถึงความอัศจรรย์และความสวยงามในชีวิตท่ามกลางธรรมชาตินี้ได้
ก่อนที่กลิ่นหอมของดอกไม้จะจางหายไป เหลือไว้เพียงความทรงจำ
ฝีมือของหญิงสาวผู้นี้สูงกว่าทุกคนมากเกินไป ทำให้คนไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ในใจคนส่วนใหญ่จึงไม่มีความอิจฉาใดเหลืออยู่ สายตาที่มองไปทางมู่หวั่นชิวมีเพียงความนับถือที่เพิ่มขึ้น
“แม่นางไป๋มีฝีมือปรุงเครื่องหอมเป็นอันดับหนึ่งต่อจากปรมาจารย์กู่ได้จริงๆ” หวงผู่อวี้ประกบหมัดพูดชมขึ้นมาก่อน “ไม่รู้ว่าดอกกุ้ยหมักนี้จะออกสู่ตลาดเมื่อใดกัน”
“คุณชายหวงผู่ชมเกินไปแล้ว” มู่หวั่นชิวค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วย่อตัวคำนับทุกคน “ดอกกุ้ยหมักนี้กลิ่นธรรมดามาก แค่มาช่วยเพิ่มสีสันในงานเลี้ยงสุราเท่านั้น ตระกูลหลีไม่คิดจะผลักดันสิ่งนี้ออกสู่ตลาดหรอก” แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “สำหรับคำถามที่ว่าช่วงนี้ตระกูลหลีจะผลักดันอะไรออกสู่ตลาด วันนี้ข้าก็ได้เอาขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ที่เพิ่งทำขึ้นใหม่กลิ่นหนึ่งมาด้วยแล้ว”
นางพูดพลางโบกมือไปทางด้านหลัง
มีสาวใช้ยกถาดสองถาดเข้ามาในทันที มู่หวั่นชิวค่อยๆ เปิดผ้าคลุมด้านบนออก ขวดแก้วเล็กแวววาวสดใสขนาดเท่าหัวแม่มือสูงครึ่งชุ่นซึ่งวางอยู่เต็มสองถาดปรากฏต่อหน้าทุกคนในทันที
ทุกคนพากันส่งเสียงอื้ออึง “นี่คืออะไร”
“นี่ก็คือขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ที่ร้านหลีจี้กำลังจะผลักดันออกสู่ตลาด” มู่หวั่นชิวยื่นมือไปหยิบขึ้นมาหนึ่งขวดแนะนำให้กับทุกคน สุดท้ายจึงพูดว่า “นี่เป็นขี้ผึ้งหอมชนิดแรกที่ข้าผลิตขึ้นหลังจากได้รับเกียรติให้เป็นนักปรุงเครื่องหอมอันดับหนึ่งของร้านหลีจี้ ควรค่าแก่การเป็นที่จดจำยิ่งนัก เพื่อเป็นการฉลองแล้ว ข้าขอมอบให้แขกทรงเกียรติทุกคนในงานเลี้ยงชมดอกกุ้ยวันนี้ท่านละหนึ่งขวด ถ้าทุกคนชอบ วันหน้าก็ไปหาซื้อที่ร้านหลีจี้ได้”
สิ้นเสียงพูด โม่เสวี่ยก็เดินนำสาวใช้เดินไปวางตามลำดับจากที่นั่งอันดับหนึ่งทั้งชายและหญิง
ภายในโถงใหญ่มีเสียงดังอื้ออึ้งลอยมา
ใต้หล้านี้มีเครื่องหอมที่ไม่ต้องจุดควันด้วยหรือ
เต็มไปด้วยความประหลาดใจและดึงดูดใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอขี้ผึ้งเหลวมาถึงมือก็มีคนส่งเสียงร้องอย่างตกใจว่า “สวรรค์! เหตุใดจึงเนียนนุ่มเช่นนี้ แม้แต่ขี้ผึ้งหอมสี่ฤดูของปรมาจารย์หลิ่วก็ยังขาดความเนียนนุ่มนี้ไป ขี้ผึ้งนี้เนียนนุ่มกว่าขี้ผึ้งหอมสี่ฤดูถึงสิบเท่า!”
ภายในโถงค่อยๆ คึกคักขึ้นมา
“ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ของปรมาจารย์ไป๋จะออกสู่ตลาดเมื่อใด!” มีคนถามเสียงดัง
“อีกสามวัน!”
“ถึงตอนนั้นข้าจะไปซื้อเป็นคนแรก!”
มู่หวั่นชิวฉีกยิ้มบางๆ
จากนั้นก็มีคนถามว่า “ปรมาจารย์ไป๋จะผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกสู่ตลาดเมื่อใด!”
“ปรมาจารย์ไป๋รีบผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกมาเถอะ ร้านหลีจี้ต้องฟื้นจากความตายแน่นอน!”
เสียงโห่ร้องในโถงดังขึ้นเป็นระลอก
เดิมทีคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกตระกูลหลิ่วซื้อตัวไว้แล้ว ปกติจึงทำตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลหลี ทั้งยังถูกข่าวลือมอมเมามาก่อนหน้า คนเหล่านี้จึงไม่ค่อยพอใจมู่หวั่นชิวเท่าใดนัก ดังนั้นพอวันนี้มู่หวั่นชิวเข้าประตูมาก็ถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่หลังจากแสดงฝีมืออันสุดยอดแล้ว มู่หวั่นชิวก็เอาชนะใจทุกคนได้ ตอนนี้ผู้คนจึงโห่ร้องขึ้นมาอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ
มู่หวั่นชิวมองทุกคนด้วยรอยยิ้ม ทำสัญญาณให้เงียบเสียงอยู่หลายที กลุ่มคนที่ส่งเสียงอึกทึกจึงเงียบเสียงลง
“ที่น้ำหอมสังสารวัฏไม่ได้ออกสู่ตลาด เพราะน้ำหอมมีขั้นตอนในการทำที่ซับซ้อนและต้นทุนก็สูง เกรงว่าทุกคนจะซื้อไม่ไหว นายท่านหลีจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้เสียที” มู่หวั่นชิวอธิบายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นพูดไป “แต่ถ้าสั่งจองถึงจำนวนหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่านายท่านหลีอาจพิจารณาผลักดันตามคำขอ”
นี่เป็นงานเลี้ยงแนวหน้าของเมืองต้าเยี่ย การที่พวกเขาสามารถได้รับเทียบเชิญของเจ้าเมืองต้าเยี่ยย่อมมีฐานะไม่ธรรมดา แล้วจะทนรับคำยั่วยุของมู่หวั่นชิวได้อย่างไร ผู้คนจึงพากันส่งเสียงดังขึ้นมาทันที ตะโกนให้ร้านหลีจี้รีบผลักดันน้ำหอมสังสารวัฏออกสู่ตลาด ถึงขั้นมีคนจัดการจะลงชื่อสั่งจองรวบรวมจำนวนคนที่อยู่ตรงนั้นเลย
ไม่ถามราคาก็ลงชื่อสัญญาไปแล้ว…
ทุกคนอยากจะแสดงอำนาจของตนเองต่อหน้าคนอื่น ขอเพียงสามารถซื้อและใช้น้ำหอมสังสารวัฏได้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของพวกเขาแล้ว ในเวลานี้หากใครรั้งท้ายก็จะอยู่ต่ำกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง
มองเห็นมู่หวั่นชิวถูกห้อมล้อมอยู่กลางผู้คนเหมือนดาวล้อมเดือน มองดูบ่าวตระกูลหลีที่มีเหงื่อท่วมหัวคอยลงชื่อสัญญากับทุกคน นายท่านหลีก็ตื่นเต้นจนใบหน้าร้อนผ่าว
สถานการณ์เช่นนี้เขาคาดไม่ถึงมาก่อน สายตาที่มองไปทางมู่หวั่นชิวจึงเพิ่มความหนักแน่นยิ่งขึ้น
อัจฉริยะเช่นนี้ตระกูลหลีจะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!