ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 1
“ครั้งนี้ถือว่าคุณหนูกู้หน้าคืนมาได้แล้ว” โม่เสวี่ยนั่งอยู่บนรถม้า หน้าตาสดชื่นอย่างยิ่ง “เห็นท่านถูกทุกคนห้อมล้อมเช่นนี้ แม่นางหลิ่วก็แสดงใบหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาเลย” คิดถึงหลิ่วเฟิ่งที่นั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโดดเดี่ยวอยู่ด้านข้างแล้ว โม่เสวี่ยก็หัวเราะคิกคัก
มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “มีชื่อเสียงใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี” นางเป็นบุตรสาวขุนนางต้องโทษจะมีชื่อเสียงยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนอย่างนี้ไม่ได้ ที่นี่มิใช่เมืองซั่วหยาง แต่เป็นเมืองต้าเยี่ยซึ่งเป็นเมืองแห่งเครื่องหอม ยามที่เดินไปบนถนนใหญ่ล้วนสามารถเจอกับพ่อค้าหรือขุนนางจากเมืองอันคังได้
“คุณหนูเก็บตัวมากเกินไปแล้ว” โม่เสวี่ยพูดบ่น “บ่าวได้ยินคุณหนูหวงผู่พูดว่าท่านไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้เลย ทุกครั้งเป็นแม่นางหลิ่วที่นั่งตรงที่นั่งสำคัญตัวแรก ถูกคนห้อมล้อมเป็นดาวล้อมเดือน อยากมีหน้ามีตาเท่าใดก็มีได้เท่านั้น วันนี้ถูกท่านแย่งหน้าตาไป นางจึงไม่สนใจฐานะใดอีก เอาแต่ทำหน้าโกรธเกรี้ยวไม่ยอมมาพูดแสดงความยินดีกับท่านเลย” แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “คุณหนูหวงผู่ยังพูดว่าเพียงได้ยินว่าท่านจะมาร่วมงานเลี้ยงชมดอกกุ้ยนี้ด้วย แม่นางหลิ่วก็ลงแรงไปมาก เตรียมเครื่องหอมมาตั้งหลายชนิดเพื่อจะสู้กับท่าน” นางพ่นหัวเราะออกมา “แต่แค่ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ของท่านเพียงขวดเดียวก็ทำนางตะลึงไปเลย สุดท้ายจึงไม่ได้เอาออกมาสักอย่าง”
พอคิดว่าแย่งหน้าตาของหลิ่วเฟิ่งมาได้อีกครั้ง มู่หวั่นชิวก็เม้มริมฝีปากแล้วฉีกยิ้ม
กำลังพูดอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงดัง มู่หวั่นชิวยังไม่ทันรู้ตัว โม่เสวี่ยก็อุ้มนางออกจากที่นั่งแล้วชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา
ถึงโม่เสวี่ยจะไม่ช้า แต่อีกฝ่ายกลับเร็วมาก โม่เสวี่ยเพิ่งจะชักกระบี่ออกมาก็ได้ยินเสียงดังฉับ ตัวรถถูกคนผ่าออกด้วยกระบี่เดียว กระบี่เย็นเยือกเล่มหนึ่งกำลังแทงมาที่มู่หวั่นชิว ด้านบนก็ถูกกระบี่อีกเล่มหนึ่งปักลงมาเฉียดหัวของคนทั้งสองไป โม่เสวี่ยตกใจจนหลุดเสียงร้องออกมา รอจนนางยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง คนชุดดำสองคนนอกรถม้าก็เคลื่อนตัวไปอีกที่แล้ว
“คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่” โม่เสวี่ยหันหน้ามาโดยที่ยังไม่หายตกใจ
“ข้าไม่เป็นไร” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า เพิ่งสิ้นเสียงพูดก็ได้ยินเสียงดังฉับพร้อมกับที่กระบี่นอกตัวรถลอยมาอีกครั้ง ผ่าที่นั่งบนรถออกเป็นสองส่วน โม่เสวี่ยตกใจอุ้มมู่หวั่นชิวขยับไปที่นั่งฝั่งตรงข้ามทันที กระบี่นั้นราวกับมีตา ผ่าครึ่งแล้วก็ย้อนกลับมาตรงหน้ามู่หวั่นชิว เคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้า โม่เสวี่ยรู้สึกว่าภาพตรงหน้าลายตาไปหมด ไม่ทันเห็นกระบี่นั้นชัดเจนก็รู้สึกถึงความเย็นวาดผ่านตรงหน้า ประกายกระบี่ผ่านหัวไหล่นางตรงไปยังมู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลัง เลือดสดพลันสาดออกจากหัวไหล่ของโม่เสวี่ย เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น
ทว่ากระบี่ยังคงพุ่งต่อไป โม่เสวี่ยจะทนรับกระบี่เล่มนั้นไหวได้อย่างไรเล่า
“คุณหนู ระวัง!” โม่เสวี่ยรู้สึกราวกับหัวใจของนางหยุดเต้น
ขณะกำลังสิ้นหวัง มีดสั้นเล่มหนึ่งนอกตัวรถก็ลอยผ่านหน้ามู่หวั่นชิวไป ได้ยินเพียงเสียงดังติ๊ง ปัดคมกระบี่นั้นออกไปได้พอดี
คาดไม่ถึงว่าจะผิดพลาดเช่นนี้ คนชุดดำที่ถือกระบี่จึงตกตะลึงไปเช่นกัน กำลังจะพลิกกระบี่กลับไปอีกครั้งก็ถูกคนชุดดำที่ไล่ตามมาตวัดกระบี่กันไว้
คนผู้นั้นหันมาตะโกนใส่โม่เสวี่ย “รีบพาแม่นางไป๋ลงจากรถม้า หลบไปที่มุมกำแพง!”
ดึงสติคืนมาได้ โม่เสวี่ยก็ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บจากบาดแผลที่หัวไหล่ตนเองอีก นางอุ้มมู่หวั่นชิวกระโดดออกไปนอกรถม้า ขาเพิ่งแตะพื้นก็ได้ยินเสียงดังครืน รถม้าด้านหลังถูกกระบี่ที่ลอยตรงมาผ่าครึ่ง ก่อนทำท่าจะเอียงล้มมาทางพวกนาง
โม่เสวี่ยร้องตกใจทีหนึ่ง แต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงอุ้มมู่หวั่นชิววิ่งไปที่กำแพงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงลมจากกระบี่พุ่งมาจากทางด้านหลัง ก่อนจะถูกขวางเอาไว้กลางทาง เกิดเป็นเสียงดังแสบแก้วหู โม่เสวี่ยรู้สึกเพียงว่าระยะทางแค่หนึ่งจั้งนี้ดูไกลราวพันลี้ ต่อให้นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ยังวิ่งไปไม่ถึง
ผ่านไปเพียงชั่วครู่แต่โม่เสวี่ยกลับรู้สึกราวผ่านมาเป็นพันปี รอจนวิ่งไปถึงกำแพงนางก็หมดเรี่ยวแรง รู้สึกเพียงสองขาอ่อนแรง ทั้งตัวไม่มีกำลังอะไรเหลือแล้ว
มีกำแพงให้พิงเป็นตัวยึด มู่หวั่นชิวกับโม่เสวี่ยต่างก็โล่งอก จ้องมองไปข้างหน้าก็มีคนชุดดำหกเจ็ดคนสู้กันอยู่ในที่แห่งหนึ่ง หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้คลุมหน้ามู่หวั่นชิวรู้จักดี เขาก็คือหน่วยเงาหวังชี ไม่ต้องพูดถึง อีกคนที่ไม่ได้คลุมหน้านั้นต้องเป็นคนของตระกูลหลีแน่นอน ทั้งสองกำลังร่วมแรงกันช่วยยับยั้งคนที่ปิดบังใบหน้าสี่ห้าคนที่กำลังบุกเข้ามาหาพวกนาง
คนที่ปิดบังใบหน้าสี่ห้าคนนั้นก็ไม่ได้ยึดติดอยู่กับการต่อสู้เท่าใดนัก พยายามหาทางบุกตรงมาที่มู่หวั่นชิว เดิมทีศัตรูก็มีมากกว่าอยู่แล้ว กอปรกับอีกฝ่ายล้วนเป็นยอดฝีมือ เอาแต่จะพุ่งตรงไปทางมู่หวั่นชิวอย่างไม่คิดชีวิต พวกหวังชีเพียงสองคนจึงดูเหมือนว่าจะรับมือไม่ไหว ถูกบีบทีละก้าวจนใกล้ไปถึงริมกำแพง
เห็นตรงที่ไม่ไกลออกไปมีชายชุดดำซึ่งปิดบังใบหน้าโผล่ออกมาอีกคน มู่หวั่นชิวก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง “คืนนี้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่แน่แล้ว”
“คุณหนูไม่ต้องกลัว” โม่เสวี่ยกันมู่หวั่นชิวไว้ด้านหลังจนมิด กุมกระบี่ไว้แน่นขณะยืนขวางตรงหน้า “ขอเพียงบ่าวยังมีลมหายใจ ก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายท่านเด็ดขาด!” โม่เสวี่ยพูดเสียงดังมาก ในน้ำเสียงแฝงความมุ่งมั่นดั่งผู้กล้าตัดข้อมือ* ทว่าดวงตาโตดำขลับคู่นั้นกลับฉายประกายสิ้นหวัง
สังเกตสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกชั่วครู่ ทันใดนั้นดวงตาโม่เสวี่ยก็เปล่งประกาย “คุณหนู คนผู้นั้นมาช่วยพวกเราเจ้าค่ะ!” เสียงนั้นแฝงความยินดี “พวกเรามีทางรอดแล้ว!”
มู่หวั่นชิวลืมตาขึ้นทันใด เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอมีคนชุดดำคนนั้นเพิ่มเข้ามา สถานการณ์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที อีกฝ่ายมีคนถูกกระบี่ และเริ่มถูกบีบให้ถอยร่นออกไปแล้ว
นางรู้สึกยินดี จากนั้นก็ต้องตกใจ
หร่วนอวี้!
แม้จะปิดบังใบหน้าไว้ แต่ว่าคนที่เคยรักฝังลึกเข้ากระดูกมาแล้วถึงหนึ่งชาติ ต่อให้คนตรงหน้าจะสลายเป็นเถ้าถ่าน หรือสลายเป็นผุยผง นางก็ยังจำได้
เขายอมมาช่วยข้าหรือ
มู่หวั่นชิวตัวสั่นกระตุก นางต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีจึงห้ามไม่ให้ตนเองตะโกนชื่อเขาออกมาได้ เพียงแค่เบิกตาโตตะลึงมองอยู่อย่างนั้น มองดูประกายดาบของคนหลายคนที่ต่อสู้กันตรงหน้าแล้ว ในชั่วขณะนั้นนางก็พูดไม่ออกว่าความขมขื่นที่ผุดขึ้นในใจนี้มันเป็นความรู้สึกใด
รับรู้ว่ามู่หวั่นชิวที่อยู่ด้านหลังกำลังสั่นเทา โม่เสวี่ยจึงถามว่า “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” ดึงสติคืนมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็มองไปยังเงาร่างคุ้นตาที่หายไปในความมืดแล้วส่ายหน้า
“บ่าวไร้ความสามารถ ทำให้แม่นางไป๋ได้รับความตกใจ” เห็นคนปิดบังใบหน้าถอยไปแล้ว หวังชีจึงรีบมาหยุดที่ข้างกายมู่หวั่นชิวสองนายบ่าว
“ขอบคุณหวังชีที่ช่วยชีวิต” มู่หวั่นชิวเสียงสงบนิ่ง มองไม่ออกถึงความตกใจลนลานแต่อย่างใด
หวังชีในดวงตาฉายความชื่นชม
โม่เสวี่ยมองคนชุดดำที่จากไปแล้วถามว่า “พวกเขาเป็นใคร”
“คนที่ตามกลุ่มคนพวกนั้นไปคือน้องเก้า รับคำสั่งคุณชายให้คุ้มครองคุณหนู ส่วนอีกคนบ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร” หวังชีพูดไป เหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงหันหน้ามาตะโกนว่า “น้องเก้ากลับมา คุณชายใหญ่บอกให้คุ้มครองแม่นางไป๋อย่างเดียว ระวังจะหลงกลล่อเสือออกจากภูเขาของคนอื่น!”