ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 1
“ใต้เท้าหร่วนค่อยๆ เดิน” ส่งหร่วนอวี้ออกจากบ้านไปแล้ว มองจนแผ่นหลังเขาหายลับไปกลางระเบียงทางเดิน มู่หวั่นชิวจึงหมุนตัวกลับมา พบกับหวังชีที่มายืนอยู่กลางห้องอย่างไร้เสียงราวกับภูตผี นางเกือบจะตะโกนร้องออกมา มือขวาทาบอกขณะผ่อนลมหายใจ แล้วพูดเสียงเอื่อยว่า “หวังชี ต่อไปเวลาจะเข้ามาในห้องจำไว้ว่าต้องเคาะประตูก่อน”
“บ่าวจำไว้แล้วขอรับ” หวังชีหน้าร้อน
“หวังชีมีธุระหรือ”
“บ่าวสงสัยว่าใต้เท้าหร่วนจะไม่ประสงค์ดีต่อแม่นางไป๋ ขอแม่นางไป๋ระวังเขาให้มาก”
มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “เจ้ามีหลักฐานอะไร”
“คืนก่อนมีคนแอบเข้าคฤหาสน์ตระกูลไป๋คิดจะจับตัวท่านไป แต่ถูกบ่าวกับน้องเก้าขวางเอาไว้ วันนี้ใต้เท้าหร่วนมาเยือน บ่าวจึงพบว่าใต้เท้าหร่วนกับคนชุดดำมีไฝแดงที่ข้อมือซ้ายเช่นเดียวกัน…” หวังชีมองหน้ามู่หวั่นชิว “บ่าวสงสัยว่าใต้เท้าหร่วนคิดจะจับตัวแม่นางไป๋”
หร่วนอวี้คิดจะจับตัวนางไป
เพราะเหตุใด
หากคิดทำร้ายนางจริง เหตุใดวันนั้นเขาจึงต้องคลุมหน้ามาช่วยนางด้วย
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้า จากนั้นก็นึกได้ว่ากู่ฉินถูกตระกูลหลิ่วกักตัวเอาไว้ ยามนี้อีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังหลิ่วเฟิ่งคอยทำงานถวายชีวิตให้ ร่างนางพลันสั่นกระตุก เขาคงกลัวว่าข้าจะช่วยตระกูลหลีทำลายการใหญ่ของอิงอ๋อง เขาต้องคิดกักตัวข้าแน่นอน! ความคิดแล่นผ่าน มู่หวั่นชิวก็หน้าซีด
เห็นมู่หวั่นชิวส่ายหน้าก็คิดว่านางไม่เชื่อ หวังชีจึงพูดว่า “ในเวลาสำคัญเช่นนี้ขอแม่นางไป๋เชื่อการคาดเดาของบ่าวด้วย” แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้าหร่วนเป็นคนนิสัยทารุณโหดร้าย ขอให้ตอนที่แม่นางไป๋ไปมาหาสู่กับเขาโปรดระวังตัว”
เรื่องนี้นางรู้แล้ว
มู่หวั่นชิวถอนหายใจเบาหวิว ชาติก่อนเหตุใดจึงไม่มีใครเตือนสตินางมาก่อน แม้แต่โยวจวินที่เปิดแผงแขวนป้ายดูดวงชะตาใต้หอชุนเซียงยังบอกว่าชีวิตนางมีวาสนาดี ขอเพียงอดทนรอก็จะมีผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจมู่หวั่นชิวก็บีบตัวแรง นางจึงเงยหน้ามองหวังชี
“เจ้า…”
กำลังพูดอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังลอยมา
หวังชีกระโดดสวบหายไปอย่างไม่เห็นร่องรอย
เห็นเขาหายตัวรวดเร็วเหมือนภูตผี มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้าแล้วตะโกนไปทางประตู “เข้ามา!”
หลันเซียงถือเทียบเชิญสีแดงสดเดินเข้ามา “คุณหนู จั่วเฟิงเจ้าเมืองคนใหม่ส่งเทียบเชิญมา เชิญคุณหนูไปร่วมงานเลี้ยงเทศกาลฉงหยาง* เก้าค่ำเดือนเก้าที่จวนว่าการเจ้าเมืองจะจัดขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไม่ไป!” มู่หวั่นชิวส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก “เจ้าว่าเจ้าเมืองคนใหม่ชื่ออะไรนะ” นางยื่นมือไปรับเทียบเชิญมา
“ชื่อจั่วเฟิงเจ้าค่ะ เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อวาน จึงคิดจะใช้โอกาสในเทศกาลฉงหยางนี้เชิญผู้มีชื่อเสียงจากทุกวงการมา”
เป็นเขาหรือ
เขามาต้าเยี่ยได้อย่างไร
มู่หวั่นชิวมือสั่นจนเทียบเชิญแทบจะตกลงพื้น จั่วเฟิงเป็นทหารอายุน้อยที่มีชื่อเสียงของอิงอ๋อง เขาเป็นคนที่มีแผนการมากมาย ทั้งหน้าเนื้อใจเสือ มีคนให้ฉายาเขาว่าเสือหน้ายิ้ม คือเป็นคนที่ก่อนหน้ายังยิ้มกับเจ้า แต่พอหมุนตัวแล้วก็สามารถฆ่าเจ้าได้ทันที เขาเป็นขุนนางตรวจสอบขั้นสาม ชาติก่อนหลังจากอิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้วก็ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก กระทั่งปีนขึ้นสู่ตำแหน่งอัครเสนาบดี
ในชาตินี้เขากลับมาที่ต้าเยี่ย มาเป็นเจ้าเมืองต้าเยี่ยแทนฉินต้าหลง
เห็นทีอิงอ๋องคงร้อนใจมากแล้ว ถึงกับไม่เสียดายจั่วเฟิงลดขั้นเขาส่งมาที่ต้าเยี่ย หากมีเขากับหร่วนอวี้หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊คอยนั่งควบคุมอยู่ นางกับตระกูลหลีคงจะเดินไปได้ยากขึ้นแล้ว!
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ มู่หวั่นชิวก็สีหน้าซีดขาว จั่วเฟิงคนนี้เคยเป็นศิษย์ของบิดานาง แม้จะไม่เคยเห็นนาง แต่ว่าเขากับบิดามารดาของนางล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน ใบหน้าของนางก็ละม้ายคล้ายมารดาด้วย หากได้เจอหน้าเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสงสัยฐานะของตัวนางก็ได้
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เห็นสีหน้าของนางผิดปกติ หลันเซียงจึงเอ่ยถาม
“ใต้เท้าฉินเล่า” มู่หวั่นชิวเอ่ยปากถาม
ชาติก่อนหลังจากอิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว ฉินต้าหลงก็ลาออกกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด ในชาตินั้นเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ติดตามองค์รัชทายาทแล้วมีจุดจบที่ดี
“เลื่อนขั้นย้ายไปแล้วเจ้าค่ะ” หลันเซียงพูด “ได้ยินทหารส่งเทียบเชิญบอกว่าเพราะเมืองต้าเยี่ยมีอัจฉริยะสองคนอย่างท่านกับปรมาจารย์หลิ่ว ใต้เท้าฉินจึงได้รับพระราชทานรางวัลจากฝ่าบาท ได้เลื่อนสามขั้น ตอนนี้เตรียมจะไปรับตำแหน่งที่เมืองอันคังเจ้าค่ะ”
“เลื่อนขั้นย้ายไปแล้ว?” ความไม่สบายใจของมู่หวั่นชิวลดลงไปหลายส่วน ฉินต้าหลงไม่ถูกลดขั้นก็แสดงว่าการทำงานในราชสำนักของอิงอ๋องยังถูกจำกัดเอาไว้ อำนาจบารมีของเขายังไม่ถึงขั้นที่จะสร้างความกังวลใด
“เจ้าค่ะ เลื่อนขั้นแล้ว เมื่อครู่หลีชิงมาแจ้งข่าว คืนนี้นายท่านจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่ใต้เท้าฉินได้เลื่อนขั้นและต้อนรับใต้เท้าจั่ว ขอเชิญท่านไปร่วมงานด้วยเจ้าค่ะ” หลันเซียงพูด “บ่าวเห็นใต้เท้าหร่วนอยู่จึงไม่ได้รายงานท่านเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” ดึงสติคืนมาแล้ว มู่หวั่นชิวก็คิดสักครู่ ก่อนจะสั่งหลันเซียง “เจ้าไปเรียนนายท่านหลี ข้าจะเตรียมสอบนักปรุงเครื่องหอมระดับเลิศ ให้เขาช่วยบอกปัดคำเชิญของจั่วเฟิงให้ข้าด้วย” ได้ตระกูลหลีบอกปัดคำเชิญแทนนาง จั่วเฟิงคงไม่กล้าทำอะไรนางหรอก
หลันเซียงลังเล “งานเลี้ยงอื่นท่านจะไม่ไปก็แล้วไปเถอะเจ้าค่ะ แต่งานเลี้ยงนี้นายท่านหลีเป็นคนเชิญ…” แล้วพูดอีกว่า “พูดอีกอย่าง ท่านต้องไว้หน้าเจ้าเมืองที่เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่บ้าง”
มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “เจ้าไปเถอะ”
หลันเซียงจึงหมุนตัวถอยออกไป
มองดูแผ่นหลังหลันเซียงหายลับไป มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ ถ้าพี่หลียังอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องให้ข้าพูด เขาก็จะปฏิเสธให้ข้าก่อนแล้ว นึกถึงตอนที่หลีจวินอยู่ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้นางยุ่งยากใจเลย นับวันนางมีแต่จะคิดถึงความใจกว้างของเขา ทันใดนั้นนางก็คิดถึงเขาขึ้นมา ใกล้จะสองเดือนแล้ว เขาไปที่ใดกันแน่
นายท่านหลียังคงรักษาความลับ
แววตาเลื่อนไปที่เทียบเชิญสีแดงสดในมือ มู่หวั่นชิวก็สะดุ้ง
พี่หลีจากไปเกือบสองเดือนแล้ว!
นางหยิบปฏิทินบนโต๊ะขึ้นมาพลิกดู แล้วหลุดปากพูดว่า “สวรรค์ กำหนดสองเดือนของทะเบียนเรือนเฮยมู่เหลือแค่สามวันแล้ว!”
เสียงดังตึง ปฏิทินในมือตกลงบนพื้น
สองเดือนมาแล้วที่โม่อวี่ไม่ส่งข่าวมา ไม่รู้ว่าซื้อทะเบียนเรือนได้หรือไม่ ถ้าเขากลับมาไม่ได้ภายในสามวันเล่า
หากโม่อวี่กลับมาไม่ทัน ไม่ต้องพูดถึงว่าหร่วนอวี้จะรับปากยืดเวลาให้หรือไม่เลย แค่พูดถึงจั่วเฟิงเจ้าเมืองคนปัจจุบัน เขาจะยอมให้นางดึงเวลาไปอีกหรือ
มู่หวั่นชิวส่ายหน้า เขาไม่มีทางทำเด็ดขาด!
ไม่เช่นนั้นอิงอ๋องคงไม่เสียแรงกายแรงใจย้ายเขามาที่เมืองต้าเยี่ยเช่นนี้แน่
คิดถึงตรงนี้ มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด “เสวี่ยเอ๋อร์…”
ไม่ได้ยินเสียงตอบอยู่นาน มู่หวั่นชิวจึงขมวดคิ้ว “ไม่เห็นเงาของนางตั้งแต่เช้า นางไปที่ใดอีกแล้ว” ปากพูดบ่น นางก็ผลักประตูออกมา
เฉินเซียงกำลังยืนนิ่งอยู่ที่ประตู เห็นนางออกมาจึงรีบย่อตัวคำนับ “คุณหนู…”
“เสวี่ยเอ๋อร์ล่ะ” มู่หวั่นชิวถามแล้วก้าวเท้าออกจากประตูไป
“แม่บ้านเสวี่ยออกไปรับอาจารย์นอกเมืองตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเห็นใต้เท้าหร่วนอยู่จึงไม่ได้บอกท่าน”
“ออกไปรับอาจารย์นอกเมือง?” มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “อาจารย์คนใด”
“คุณชายเจิงอย่างไรเล่าเจ้าคะ” เฉินเซียงตอบกลับ “แม่บ้านเสวี่ยได้รับจดหมายของอาจารย์นางแต่เช้า ในจดหมายบอกว่าควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาเลย นางไม่วางใจจึงอยากออกนอกเมืองไปดูสักหน่อย”
พี่เจิง!
มู่หวั่นชิวรู้สึกยินดี เขามาเมืองต้าเยี่ยแล้ว!
ได้ยินว่าจั่วเฟิงมาที่เมืองต้าเยี่ย หลีจวินก็ไม่อยู่ข้างกาย นางกำลังไร้หนทาง รู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงว่างเปล่า ยังดีที่เจิงฝานซิวมาได้จังหวะพอดี นางจึงหันไปสั่งการเฉินเซียง “รีบไปเตรียมใบชาชั้นเลิศมาต้อนรับพี่เจิง”
เฉินเซียงมีความรู้สึกยินดีร่วมไปด้วยจึงรับคำอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งกลางวันก็ยังไม่เห็นเงาร่างของเจิงฝานซิวกับโม่เสวี่ย มู่หวั่นชิวจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมารางๆ หยิบจดหมายของเจิงฝานซิวขึ้นมาอ่านอีกรอบ ตามข้อความในจดหมายนี้ พี่เจิงควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว เหตุใดตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเล่า เสวี่ยเอ๋อร์ก็หายไปด้วย
ไม่เหมือนหลีจวินที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์และชอบคิดวิธีแปลกๆ เจิงฝานซิวนั้นจะเป็นคนตรงไปตรงมา เวลาทำอะไรก็ล้วนจริงจัง เขาบอกว่าเมื่อใดก็เมื่อนั้น ไม่เคยพูดส่งเดช แม้ติดขัดอะไรเขาก็จะมีจดหมายมาแจ้งเสมอ
วันนี้วันอะไรกัน
สายตาเลื่อนไปบนปฏิทิน มู่หวั่นชิวหัวใจกระตุก
วันที่หนึ่งเดือนเก้า!
นางนึกได้แล้ว ชาติก่อนในวันนี้เจิงฝานซิวได้หลักฐานที่อิงอ๋องยักยอกเงินช่วยเหลือภัยพิบัติ รวบรวมพรรคพวกทำการส่วนตัวมาแล้ว ระหว่างที่เดินทางมารวมตัวกับตระกูลหลีที่ต้าเยี่ย เขาก็ถูกอิงอ๋องส่งยอดฝีมือตามไล่ฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาหนีไปยังเขาอวี้กวนที่อยู่นอกเมืองทางเหนือของต้าเยี่ย ห่างออกไปสิบลี้ สองวันให้หลังจึงถูกคนตระกูลหลีหาตัวเจอ แม้จะยื้อชีวิตเอาไว้ได้ แต่เขาก็ต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง
ในตอนนั้นตระกูลหลีล่มสลายลงไปแล้ว เป็นเวลาที่เครื่องหอมชุดใหญ่ขึ้นราจนเปลี่ยนสภาพไป เหยาจิ่นก็ยืนกรานจะแยกบ้าน นายท่านหลีคิดหาทุกวิธีเพื่อซื้อตัวขันทีที่คอยดูแลข้างพระวรกายฝ่าบาทให้ส่งหลักฐานที่อิงอ๋องรวบรวมพรรคพวกทำการส่วนตัว เดิมทีหากสามารถล้มอิงอ๋องลงสำเร็จก็จะฟื้นฟูตระกูลหลีขึ้นมาได้ แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่พบว่าเสด็จพ่อทรงเกิดความสงสัยขึ้นมา อิงอ๋องก็ร้อนใจจนเกิดความคิดจะฆ่าพ่อกับพี่ชายทันที ทำให้ในชาตินั้นเกิดเรื่องเศร้าที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีก
วางปฏิทินลงแล้ว มู่หวั่นชิวก็ดีดตัวลุกขึ้น
“หวังชี! หวังชี!” นางยืนตะโกนอยู่ตรงหน้าต่าง โชคยังดีที่หลีจวินเตรียมหวังชีกับอวี๋จิ่วไว้ข้างกายนาง ตอนนี้จึงมีคนไปช่วยเจิงฝานซิวได้พอดี
ตะโกนอยู่นานกลับได้ยินเพียงเสียงใบไม้ลอยอยู่กลางสายลมนอกหน้าต่าง มีเงาร่างของหวังชีเสียที่ใดเล่า มู่หวั่นชิวจึงตะโกนต่อไปอีก “อวี๋จิ่ว! อวี๋จิ่ว! หวังชี!”
หลันเซียงผลักประตูเดินเข้ามาแล้วถามอย่างสงสัย “คุณหนูจะหาใครหรือเจ้าคะ” นอกจากโม่เสวี่ยแล้ว พวกหลันเซียงล้วนไม่มีใครรู้ว่ามีหวังชีกับอวี๋จิ่วสองคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋
มู่หวั่นชิวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะ”
หลันเซียงมองภายในห้องอย่างประหลาดใจ แล้วเดินออกไปอย่างสงสัย
พวกเขาอาจจะซ่อนอยู่บนหลังคาเลยไม่ได้ยินที่ข้าเรียก…คิดในใจแล้ว มู่หวั่นชิวก็ก้าวออกนอกห้อง ทว่าทั้งลานด้านหน้าและหลังล้วนเดินไปแล้วหนึ่งรอบ รวมถึงยอดไม้บนหลังคาก็หาไปรอบหนึ่ง อย่าว่าแต่หวังชีกับอวี๋จิ่วเลย แม้แต่นกก็ยังไม่เห็น
กระนั้นมู่หวั่นชิวก็ยังเชื่อว่าพวกเขาต้องซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเรียกพวกหลันเซียงกับเฉินเซียงมาช่วยตะโกนเรียกจนทั่วทั้งหน้าและหลังบ้าน แต่เวลาเต็มสองเค่อผ่านไปก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของสองคนนี้
พวกเขาอาจจะถูกนายท่านหลีเรียกกลับไปชั่วคราวเพื่อตามหาพี่เจิงก็ได้…ในใจคิดไป มู่หวั่นชิวก็โบกมือไปทางหลันเซียง “อย่าตะโกนอีกเลย เตรียมรถเถอะ”
หากจำไม่ผิด เจิงฝานซิวตอนนี้คงกำลังบาดเจ็บหนักและซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเขาอวี้กวนนอกเมืองทางเหนือ ไม่ว่าอย่างไรนางต้องช่วยเขากลับมาก่อน
เก็บกล่องยาอย่างลวกๆ แล้ว มู่หวั่นชิวจึงขึ้นรถม้าแล้วสั่งการว่า “ไปประตูเมืองทางเหนือ”
รถม้าเคลื่อนออกประตูเมืองทางเหนือไป
“หยุด” มาหยุดลงตรงตีนเขาอวี้กวนที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปสิบลี้ คนบังคับม้าดึงเชือกบังคับ “คุณหนู ด้านหน้าทางแคบเกินไป รถม้าข้ามไปไม่ได้ขอรับ”
มู่หวั่นชิวพลิกเปิดม่านรถ ตรงหน้ามีทางเล็กคดเคี้ยวมุ่งไปยังป่าลึก นางโค้งตัวลงจากรถม้าแล้วหันไปสั่งการคนบังคับรถ “เคลื่อนรถม้าไปซ่อนในที่มิดชิดก่อนเถอะ ไม่นานข้าก็กลับมา” แล้วก้าวเท้าเข้าป่าไป