ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 4
“พี่หลี…” เห็นหลีจวินเข้ามา มู่หวั่นชิวก็วางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้นอย่างยินดี
“ปล่อยให้อาชิวรอนานแล้ว รีบนั่งเถอะ” หลีจวินนั่งลงตรงข้ามมู่หวั่นชิว แล้วมองสำรวจนาง “เมื่อคืนอาชิวพักผ่อนดีหรือไม่ ยาเหล่านั้นกินหมดหรือยัง” นางอยู่ในถ้ำนานเกินไปและยังแช่ร่างอยู่ในบึงน้ำด้วย เขาย่อมกลัวว่านางจะถูกไอเย็นจนป่วย เมื่อวานจึงตั้งใจให้คนเคี่ยวยาส่งไปให้
“ดื่มหมดแล้ว ขอบคุณพี่หลี” มู่หวั่นชิวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างนั้น” เห็นฉินเจี้ยนยกชามาให้ จึงรับไปเทให้หลีจวินหนึ่งถ้วย “พี่หลีดื่มชา”
เห็นนางกระตือรือร้นผิดปกติ หลีจวินจึงยิ้มสดใส แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่วางสัญญาในมือลงบนโต๊ะ แล้วยื่นมือไปรับถ้วยชา
สายตาเลื่อนไปยังสัญญาที่หลีจวินเพิ่งวางลง ร่างมู่หวั่นชิวก็แข็งเกร็งไป เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาที่นางฉวยโอกาสช่วงเวลาลำบากของตระกูลหลีทำขึ้นกับนายท่านหลี คนอื่นไม่รู้ แต่หลีจวินต้องรู้แน่ว่าสัญญาเหล่านี้นางได้ประโยชน์อย่างมาก ดูเหมือนการปล้นชิงตามไฟ
ตามหลักแล้วก็ดูเป็นเรื่องที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย และตัวสัญญานั้นตระกูลหลีก็ได้ประโยชน์เช่นกัน นางเองก็ไม่ได้ผิดสัญญา ถึงหลีจวินจะมีบัญชีก็คิดมาถึงตัวนางไม่ได้ แต่วันนี้นางมีเรื่องมาขอร้องเขา เมื่อถูกหลีจวินเปิดโปงต่อหน้าเช่นนี้ก็ย่อมรู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง สายตาเหลือบไปทางหลีจวิน ประสานเข้ากับสายตาแฝงรอยยิ้มของเขาพอดี
มู่หวั่นชิวตัวสั่น นางเลื่อนสายตาไปทางอื่นทันที เพียงชั่วครู่ก็หันไปพูดด้วยรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง “สัญญานี้…”
“สัญญานี้มาได้ทันเวลา แก้ไขปัญหาของตระกูลหลีได้พอดี” หลีจวินยิ้มบางๆ “ข้าตั้งใจมาขอบคุณอาชิว ถ้าอาชิวยื่นมือเข้าช่วยไม่ทันกาล เกรงว่าครั้งนี้ตระกูลหลีคงต้องล่มสลายแน่นอน”
นี่กำลังขอบคุณนางอยู่หรือ
มู่หวั่นชิวกะพริบตา เหตุใดนางฟังคำพูดนี้แล้วถึงแสลงหูยิ่งนัก
อยากจะชี้แจง แต่ก็รู้สึกว่ายิ่งพูดอาจจะยิ่งเลวร้าย มู่หวั่นชิวจึงปิดปาก เพียงก้มหน้ามองรองเท้าปักลายดอกของตนเอง
“อาชิวมาพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ” ท่ามกลางความเงียบหลีจวินจึงเอ่ยปากถาม
“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นมองฉินเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
หลีจวินโบกมือให้เขา ฉินเจี้ยนจึงก้าวเท้าเดินออกไป
“พี่หลีช่วยข้าซื้อทะเบียนเรือนสักฉบับได้หรือไม่” ลังเลอยู่ครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงบากหน้าพูด
“ทะเบียนเรือน?” หลีจวินตกตะลึง “อาชิวมีทะเบียนเรือนแล้วมิใช่หรือ”
“ไม่ใช่ของข้า…”
หลีจวินยกถ้วยชาขึ้นโดยไม่ได้พูดจา
“เป็นของเฮยมู่” มู่หวั่นชิวเล่าเรื่องที่ทางการต้องการทะเบียนเรือนของเฮยมู่ออกมา “วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ต้องมอบออกมา…” นางมองหน้าหลีจวิน “ขอเพียงสามารถซื้อทะเบียนเรือนได้ จะอยู่ในฐานะใดก็ได้ไม่เป็นไรเลย” ในเวลาอันสั้นเช่นนี้สามารถทำได้ก็ไม่ง่ายแล้ว คิดจะเลือกฐานะคงเป็นไปไม่ได้
อีกอย่างในเขตเมืองต้าเยี่ยนี้หากมีฐานะที่ดีเกินไป เกรงว่าจะถูกหร่วนอวี้กับจั่วเฟิงตรวจสอบพบได้ง่ายมาก
“อ้อ…” หลีจวินพยักหน้า แล้วถามอย่างสงสัย “ใต้เท้าหร่วนให้กำหนดเวลาไว้สองเดือน เหตุใดอาชิวไม่รีบทำเล่า”
ทะเบียนเรือนไม่เหมือนกับเอกสารอื่น ไม่เพียงต้องผ่านทางการ ยังต้องหาพยานเช่นหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่ก็หมอตำแยมาด้วย อาศัยเวลาเพียงแค่วันเดียวจะทันได้อย่างไร
“สองเดือนก่อนก็ให้โม่อวี่ไปที่เมืองอันซุ่นแล้ว” มู่หวั่นชิวสีหน้าสลด “ใครจะรู้ว่าถึงตอนนี้เขาจะยังไร้ข่าวคราว”
“โม่อวี่ไปที่เมืองอันซุ่นหรือ” หลีจวินนั่งตัวตรง “สองเดือน” เขาขมวดคิ้ว “ขี่ม้าเร็วก็ควรจะกลับมาแล้ว คงไม่ใช่…” อยากจะพูดว่าคงไม่ใช่เกิดเรื่องแล้วกระมัง แต่เห็นสีหน้าเศร้าสลดของมู่หวั่นชิว เสียงของเขาก็ขาดห้วงไป ก่อนจะตะโกนไปทางประตู “เจี้ยนเอ๋อร์!”
ฉินเจี้ยนผลักประตูเข้ามา “คุณชาย…”
“ส่งข่าวให้หลีผิงทันที ให้เขาตรวจสอบที่อยู่ของอวี่เอ๋อร์ อย่างไรต้องหาคนให้เจอ”
หลีผิงคือสายลับของตระกูลหลีในเมืองอันซุ่น
“ขอรับ” ฉินเจี้ยนรับคำ แล้วรีบเดินออกไป
หลีจวินพูดโอดครวญ “เรื่องนี้เจ้าควรจะ…” นึกถึงความหมางเมินของพวกเขาสองคนก่อนที่เขาจะเดินทางไปแคว้นเฉิน เสียงของหลีจวินก็ขาดห้วงไป ก่อนจะเปลี่ยนมาถามว่า “อาชิวเคยคิดจะเอาเงินทุนของโรงธูปไป่เยี่ยโยกไปที่อันซุ่น แล้วก็จะซื้อทะเบียนเรือนที่นั่น คิดย้ายโรงธูปไป่เยี่ยไปที่อันซุ่นหรือ”
รู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้โกหกเขาไม่ได้ มู่หวั่นชิวจึงยิ้มเศร้า “เงินทุนส่วนใหญ่ของโรงธูปไป่เยี่ยถูกพี่หลีระงับไว้แล้ว ข้าจะโยกโรงธูปไป่เยี่ยไปได้อย่างไร”
หลีจวินหน้านิ่งไป จากนั้นจึงพูดอย่างเปิดเผยว่า “คนอันซุ่นแม้เรียบง่ายเป็นมิตร ให้ความเคารพอาจารย์เครื่องหอมเป็นพิเศษ แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “อาชิวคงไม่รู้ว่าคนที่นั่นมีใจเดียวกัน ไม่ต้อนรับคนนอก หากยังไม่มีการเตรียมการที่พร้อมสรรพแล้วไปเช่นนี้ อาชิวจะต้องขาดทุนย่อยยับแน่ คงต้องเสียป้ายโรงธูปไป่เยี่ยที่กว่าจะสร้างมาได้ไปจนหมด” ตอนที่ไปซื้อวัตถุดิบจากอันซุ่นเพื่อซื้อใจเจ้าถิ่นให้ได้นั้น เขาถือได้ว่าฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย
ที่แท้เขาคิดว่าการระงับเงินทุนส่วนใหญ่ของโรงธูปไป่เยี่ยเอาไว้เช่นนี้ก็เพื่อยับยั้งนางไม่ให้บุ่มบ่ามย้ายโรงธูปไป่เยี่ยไปที่อันซุ่น ด้วยกลัวนางจะขาดทุน!
มู่หวั่นชิวหัวใจอบอุ่น ริมฝีปากขยับแต่กลับไม่ได้พูดจา นางยกน้ำชาขึ้นดื่มทีละอึก
หลีจวินก็ไม่พูดอะไร เพียงนั่งอยู่เงียบๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงวางถ้วยชาลง “ทะเบียนเรือนนั่น…พี่หลี…มั่นใจหรือไม่ว่าจะซื้อมาได้”
“ซื้อทะเบียนเรือนสักฉบับไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แต่ว่า…” หลีจวินเปลี่ยนประเด็น “ไม่เพียงแค่ทางการ คนจากทุกที่ล้วนจับตามองโรงธูปไป่เยี่ย ถ้าหากเฮยมู่เป็นคนที่ไม่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอะไร ไม่มีคนคอยคุ้มกัน โรงธูปไป่เยี่ยก็จะ…” หลีจวินไม่ได้พูดต่อ เขามองมู่หวั่นชิวอย่างเงียบๆ
ใครว่าไม่ใช่เล่า
แต่ว่านางเป็นบุตรสาวขุนนางต้องโทษ จะหลบทางการยังแทบไม่ทัน แล้วจะให้นางไปซื้อเบื้องหลังอันแข็งแกร่งให้เฮยมู่ได้จากที่ใด
มู่หวั่นชิวถอนหายใจเอื่อยๆ แล้วพูดว่า “ใส่ใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ผ่านด่านทางการไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน แม้จะรู้ว่าเฮยมู่ไม่มีเบื้องหลังแข็งแกร่งอะไร แต่อย่างน้อยคนที่ต้องการจะกลืนโรงธูปไป่เยี่ยเหล่านี้ก็ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงบารมี ต้องค่อยๆ กินทีละคำมิใช่หรือ” นางยิ้มพลางมองหน้าหลีจวิน “ตอนนี้โรงธูปไป่เยี่ยกับตระกูลหลีร่วมมือกันแน่นแฟ้น หากหนึ่งเสียเกียรติอีกหนึ่งก็เสียเกียรติ ที่หนึ่งมีเกียรติอีกหนึ่งก็มีเกียรติไปด้วย เชื่อว่าถ้าโรงธูปไป่เยี่ยมีภัย พี่หลีคงไม่นั่งนิ่งดูดายเด็ดขาด…ใช่หรือไม่”
หลีจวินจะร้องไห้ก็มิใช่หัวเราะก็ไม่เชิง เขาชี้ไปที่ใบสัญญาบนโต๊ะ “อาชิวคิดหาวิธีทำสัญญาเหล่านี้กับท่านพ่อ ก็เพื่อวันหนึ่งหวังให้ตระกูลหลีช่วยออกหน้าแก้ไขความลำบากให้เจ้าสินะ”
คิดหาทุกวิธีที่จะให้สูตรลับทั้งหมดมาอยู่ภายใต้ชื่อโรงธูปไป่เยี่ย และให้ร้านหลีจี้แค่เพียงสิทธิ์ในการขายนี้ ไม่ใช่เพื่อหาผลประโยชน์อะไรจากหลีจี้ แต่นางทำเพื่อเอาร้านหลีจี้กับโรงธูปไป่เยี่ยผูกติดไว้ด้วยกัน สุดท้ายตระกูลหลีจะต้องคอยออกหน้าบังลมบังฝนให้นาง
ถูกหลีจวินเปิดเผยความลับต่อหน้า มู่หวั่นชิวก็ไร้หนทางจะรับมือจริงๆ นางจึงบากหน้าพูดว่า “ตอนที่ทำสัญญาเหล่านี้ไปก็นับว่าข้าได้ช่วยแก้ปัญหาของร้านหลีจี้ให้แล้ว ตอนนี้โรงธูปไป่เยี่ยมีภัย พี่หลีจะไม่สนใจข้าจริงหรือ” น้ำเสียงนางฟังดูปลิ้นปล้อน
เจ้าแก้ปัญหาได้ และฉวยโอกาสปล้นชิงตามไฟเช่นกัน! ในใจพูด แต่พอเห็นสีแดงราวแสงสายัณห์ที่ปรากฏบนแก้มนางแล้ว หลีจวินก็ใจร้ายกับนางไม่ลง
คิดสักครู่จึงพูดว่า “ข้ากับฮ่องเต้แคว้นเฉินองค์ใหม่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน สามารถขอซื้อฐานะการเป็นพระญาติจากแคว้นเฉินให้เฮยมู่ได้ อาชิวอยากได้หรือไม่”
พระญาติแคว้นเฉิน!