ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
หลังจากมู่หวั่นชิวเยี่ยมเจิงฝานซิวแล้ว หลีจวินก็ส่งนางกลับแล้วย้อนกลับมา เจิงฝานซิวกำลังนั่งดื่มชาอยู่เบื้องหน้าโต๊ะ
“เป็นอย่างไร” หลีจวินนั่งลงตรงข้ามเขา “มู่หรงจำได้หรือไม่ อาชิวใช่พี่สาวที่หายตัวไปของเขาหรือไม่”
เจิงฝานซิวส่ายหน้า
“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ แต่พี่ก็ไม่เชื่อ” หลีจวินพูดอย่างทอดถอนใจ “ไม่ต้องพูดถึงเลย อย่างไรมู่หวั่นชิวก็ไม่มีทางมีฝีมือดีดพิณที่สูงส่งอย่างนี้แน่ ข้ายังได้ยินว่าฮูหยินของอัครเสนาบดีมู่เป็นคนงามเหนือแผ่นดิน ผิวขาวราวไข่มุกเนียนดุจหยก ลูกทั้งสองคนของนางล้วนได้รับถ่ายทอดความงามมาจากนาง มีผิวขาวมาแต่กำเนิด…” เสียงนั้นชะงักไป จู่ๆ เขาก็นึกถึงโฉมหน้าแท้จริงของมู่หวั่นชิวที่ได้เห็นในถ้ำวันนั้น นางก็คือคนงามเหนือแผ่นดินที่จริงแท้แน่นอน เขาจึงแอบคิดว่า…รักในความงามเป็นนิสัยของสตรี เหตุใดนางต้องทาตัวเองให้ดำอย่างนั้นด้วย
ตามที่นางอธิบาย เพราะกลัวว่าร่อนเร่ตัวคนเดียวจะถูกคนทำเสียชื่อเสียง แต่ตอนนี้นางมีฐานะสูงศักดิ์มีบ่าวไพร่เป็นกลุ่ม นางยังจะกลัวอะไรอีก
เหตุใดยังต้องทาหน้าให้ดำอยู่ทุกวัน
“ข้าก็แค่รู้สึกว่าประหลาด” ไม่ได้สังเกตสีหน้าประหลาดของหลีจวิน เจิงฝานซิวจึงส่ายหน้า “ตอนนั้นนางชนะได้เงินจากบ่อนพนันมา เคยไปส่งสินค้าชุดหนึ่งในเขา ข้าเคยไปตรวจสอบเบาะแสแล้ว นางเคยระหกระเหินอยู่ในเขาลึก แล้วถูกครอบครัวนายพรานช่วยเอาไว้ ทั้งเวลาและสถานที่ล้วนเหมาะเจาะกับช่วงเวลาที่มู่หวั่นชิวหายตัวไป”
“นางเคยระหกระเหินอยู่ในเขาลึกด้วยหรือ” หลีจวินนั่งตัวตรง
“อืม…” เจิงฝานซิวพยักหน้า เล่าเรื่องที่ครอบครัวหม่าหย่งเคยรับมู่หวั่นชิวไว้ให้ฟังแล้วพูดอย่างทอดถอนใจ “ได้ยินเมียหม่าหย่งพูดว่าตอนที่เพิ่งรับนางมา ข้าวต้มข้าวโพดชามหนึ่งก็ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย พื้นฝ่าเท้าทั้งสองข้างเดินจนแตก แต่กลับซ่อนไว้ใต้กางเกงไม่ยอมให้ใครเห็น สภาพนั้นน่าสงสารจนคนเห็นน้ำตาตก เกรงว่าครอบครัวหม่าหย่งจะไม่รับนางไว้ นางจึงแย่งทำงานทุกอย่างทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว” ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ที่สำคัญที่สุดได้ยินว่าที่นางไปจากบ้านหม่าหย่งก็เพราะมีทางการมาตามจับตัว” เล่าเรื่องในอดีตที่หม่าจู้เอ๋อร์แอบปล่อยมู่หวั่นชิวไปออกมา “เจ้าว่าถ้าไม่ใช่ลูกสาวอัครเสนาบดี เหตุใดนางจึงดูกลัวคนของทางการถึงเพียงนั้น” แล้วพูดอีกว่า “ต่อมาข้าก็ตรวจสอบแล้วว่ามือปราบสองคนนั้นเป็นคนที่หร่วนอวี้ส่งออกไปค้นหามู่หวั่นชิว”
“นางได้เจอเรื่องเลวร้ายที่ไม่ปกติเช่นนี้ด้วยหรือ” ได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว หลีจวินรู้สึกว่าหัวใจตนเองพลันบีบตัวตามไปด้วย หากเป็นไปได้ เขายินดีจะให้เรื่องเลวร้ายเหล่านี้เป็นของตนเอง แต่จะไม่ยอมให้นางได้รับความทุกข์อย่างนั้น
เงยหน้าขึ้นเห็นเจิงฝานซิวมองมาไม่วางตา หลีจวินจึงพูดว่า “มู่หรงก็ยืนยันตัวคนแล้ว นางไม่ใช่พี่สาวที่หายตัวไปของเขา…” ปากพูดไป ทว่าในใจหลีจวินกลับพูดอย่างมั่นใจว่านางก็คือมู่หวั่นชิว!
ตอนที่จวนอัครเสนาบดีถูกฆ่าล้างตระกูลมู่หรงยังเด็กนัก อีกทั้งตอนนี้นางยังจงใจทาหน้าดำ คนอื่นจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญที่สุดคือตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยตกอยู่ในมือนาง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน! คิดถึงมู่หวั่นชิวที่เคยลนลานมาถามเขาเรื่องที่ว่าช่วยมู่หรงได้หรือไม่ นิ้วมือหลีจวินที่กุมถ้วยชาไว้ก็สั่นเทา
ถูกต้อง นางต้องเป็นลูกสาวที่หายตัวไปของอัครเสนาบดีมู่แน่นอน…มู่หวั่นชิว!
นางช่วยตระกูลหลีอย่างสุดกำลังก็เพื่อล้มอิงอ๋อง แก้แค้นให้บิดาของนาง!
“น้องหลีพูดถูก นี่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้” เจิงฝานซิวพยักหน้า
“รู้จักตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ นางเป็นหญิงที่ไม่เหมือนใครจริงๆ…” หลีจวินกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่าครอบครัวนายพรานที่รับนางไว้ในตอนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”
นางมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ทางการต้องตามสืบฐานะของนางอย่างแน่นอน รถสินค้าสามคันนั้นที่นางเคยส่งออกไปและครอบครัวหม่าหย่งล้วนเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ!
“หม่าจู้เอ๋อร์เป็นคนทึ่มทื่อ แต่เป็นคนที่เหมาะจะฝึกวรยุทธ์ สองปีก่อนถูกนักบวชอู๋อินที่ไปท่องเที่ยวเจอเข้าและรับไว้เป็นศิษย์ อย่างน้อยต้องห้าปีจึงจะฝึกสำเร็จและลงจากเขาได้” เจิงฝานซิวพูดว่า “กลัวว่านางจะเป็นลูกสาวอัครเสนาบดีมู่ ข้าจึงแอบรับหม่าหย่งสองสามีภรรยาไปที่เมืองผิงเฉิงแล้ว”
“ดี!” หลีจวินพยักหน้า “อาชิวตอนนี้มีฐานะพิเศษ ถูกอิงอ๋องกับหร่วนอวี้จับตาดูอยู่ คงไม่สะดวกจะให้พวกเขามายืนยันตัวตนกับนาง พี่ฝานซิวพักฟื้นให้ดี รอพวกเราล้มอิงอ๋องได้แล้ว ค่อยรับพวกเขามาพบอาชิวที่เมืองต้าเยี่ย”
“น้องหลีพูดได้ถูกต้อง ผู้มีคุณของแม่นางไป๋ก็คือผู้มีคุณของข้า ข้าจะไม่ทำให้พวกเขาลำบากเด็ดขาด” เจิงฝานซิวเปลี่ยนประเด็นพูดไป “หลักฐานหนักแน่นที่อิงอ๋องยักยอกเงินอาหารช่วยภัยพิบัติอยู่ในมือข้า เขากำลังตามฆ่าข้าไปทั่ว เรื่องนี้ยังต้องให้น้องหลีหาวิธีส่งหลักฐานออกไป”
“พี่ฝานซิวพักรักษาตัวให้สบายใจเถอะ เรื่องเหล่านี้ข้าคิดหาวิธีเอง”
“น้องหลีมีวิธีดีๆ แล้วหรือ”
หลีจวินหัวคิ้วขมวด แล้วส่ายหน้า “อิงอ๋องมีคำสั่งให้ตามหาที่อยู่ของซ่งเสียง ยามนี้แม้แต่แมลงวันหนึ่งตัวของตระกูลหลีบินออกนอกเมืองต้าเยี่ย เขายังต้องจับไปถามความเสียหลายวัน โดยเฉพาะฉินต้าหลงเพิ่งถูกย้ายไปอย่างนี้ ตอนนี้ตระกูลหลีก็ยังเดินได้อย่างยากลำบาก”
“ซ่งเสียงยังไม่ถูกส่งไปอีกหรือ” เจิงฝานซิวตกใจ
หากเขาจำไม่ผิด หลีจวินช่วยซ่งเสียงเป็นเรื่องของเมื่อสามสี่เดือนก่อน
“ลองไปหลายครั้งล้วนล้มเหลว!” หลีจวินสีหน้าสลด “เดิมคิดจะฉวยโอกาสครั้งนี้ที่หนิงอ๋องกลับเมืองอันคังหลังจากไปลาดตระเวนทางใต้ ให้เขาแอบพาตัวกลับมา แต่หลายวันก่อนท่านพ่อเพิ่งได้รับสารลับจากหนิงอ๋อง อิงอ๋องเริ่มระวังเขาแล้ว แทรกสายลับไว้ข้างกายเขาไม่น้อย เกรงว่าทางเขาคงจะเดินไม่ได้แล้ว”
“แล้วจะทำอย่างไรดี” ดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้นทันใด “น้องหลีเอาสารลับที่ข้าได้มาให้หนิงอ๋องเอากลับเมืองอันคังไปได้!”
พาคนไปไม่ได้ แต่เอาจดหมายไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน…” ก่อนจะพูดไปอีกทางหนึ่งว่า “แต่หากไม่เปิดโปงหลักฐานความผิดที่อิงอ๋องผลิตอาวุธเลี้ยงกองทัพส่วนตัว แล้วจัดการกับหน่วยกล้าตายแปดพันที่เป็นคนของฉางหมิ่น ถึงจะส่งหลักฐานเหล่านี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ารู้ว่าฝ่าบาทนึกสงสัยในตัวเขา เกรงว่าอิงอ๋องคงจะใจร้อนก่อกบฏก่อนกำหนดแน่ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่พวกเราเลย ไม่ว่าจะฝ่าบาทหรือองค์รัชทายาทล้วนต้องตายไร้ที่ฝังแน่”
หลีจวินไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากังวลใจอยู่นั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลีในชาติก่อน…
เจิงฝานซิวสีหน้าสลด “พูดเช่นนี้แม้จะมีหลักฐานหนักแน่นแล้วพวกเราก็ยังต้องทนหรือ”
“มีเพียงโอกาสเดียว คือพวกเราต้องทน!” หลีจวินพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ก็เหมือนเวลาที่เหยี่ยวจะจับอาหารล่าเหยื่อ ต้องรอให้ถึงเวลาที่ดีที่สุดจึงจะโจมตีให้ถูกได้ในครั้งเดียว”
ไม่ใช่เขาใจร้อน แต่กระทั่งตระกูลหลียังมีทางเดินที่ยากแค้น แล้วตระกูลเจิงของเขาจะไม่ใช่ได้อย่างไร
หากยังถ่วงเวลาต่อไป ตระกูลเจิงคงต้องล่มสลายแล้ว
ริมฝีปากขยับ เจิงฝานซิวอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็รู้ว่าหลีจวินพูดได้ถูกต้อง เรื่องมาถึงวันนี้นอกจากให้พวกเขารอคอยแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด
ภายในห้องเงียบเสียงลง
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่างฝั่งตะวันตก ส่องบนร่างและใบหน้าของคนทั้งสอง แดงราวสีเลือด