ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 5
ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย ใบเฟิง** แดงฉานราวเปลวไฟ ท้องฟ้าเดือนเก้าดูกว้างไกล
พอตื่นขึ้น ชาวเมืองต้าเยี่ยก็พบว่าภายในเมืองตกแต่งเป็นสีแดง บนถนนฝุ่นเหลืองถูกราดด้วยน้ำสะอาด ดูยิ่งใหญ่อย่างยากจะได้เห็นในช่วงร้อยปี คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นเสียอีก พอไปสอบถามจึงได้รู้ว่าไม่ใช่ฝ่าบาทมาท่องเที่ยวที่เมืองต้าเยี่ย แต่เพื่อต้อนรับทูตแคว้นเฉินอันได้แก่เอินชินอ๋อง*** จ้าวปินกับองค์หญิงชิงหวั่นจ้าวน่าที่จะเดินทางผ่านเมืองต้าเยี่ย
เป็นเพียงท่านอ๋องที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งคนหนึ่ง มีหรือที่เอินชินอ๋องจ้าวปินจะคิดว่าตนจะได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ราวกับเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเช่นนี้ เขามีสีหน้ายินดี เดินเคียงข้างองค์หญิงชิงหวั่นซึ่งสวมอาภรณ์งดงามอย่างสง่าผ่าเผยไปบนพรมแดงในโถงรับแขกของจวนว่าการเจ้าเมือง สายตากวาดมองผู้มีชื่อเสียงของเมืองต้าเยี่ยที่ยืนต้อนรับอยู่สองข้าง เขาจึงพูดพร้อมเสียงหัวเราะ “ใต้เท้าจั่วลำบากแล้ว”
จั่วเฟิงฉีกยิ้มบางๆ “ไม่เลยๆ แค่เรื่องเล็กน้อย ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจเลย” เอินชินอ๋องเป็นองค์ชายในลำดับห้า
หลังจากนำไปนั่งประจำที่แล้ว จั่วเฟิงก็โบกมือ แขกชายหญิงสองฝั่งในชุดงดงามที่มีท่าทางสูงศักดิ์ก็พากันนั่งลงโดยมีบรรดาสาวใช้นำทาง
ถูกนำไปนั่งที่ตำแหน่งเอกของแขกฝ่ายหญิงแล้ว องค์หญิงชิงหวั่นก็เลื่อนดวงตาราวหยดน้ำสองข้างกวาดมองไปยังที่นั่งแขกฝ่ายชายตรงหน้า ปากก็ถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นคนตระกูลหลี” ที่รับปากเสด็จแม่มาเป็นทูตยังต้าโจวนี้ นางทำไปก็เพราะสามารถพบกับหลีจวิน วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของนางได้!
เสียงไพเราะเสนาะหูราวนกยามราตรีทำให้ชายหนุ่มในที่นั้นพากันใจสั่น สายตาเลื่อนไปทางจั่วเฟิงพร้อมกัน
โอกาสได้ใกล้ชิดกับทูตแคว้นเฉินที่หาได้ยากยิ่งนี้จะให้คนตระกูลหลีเข้าร่วมได้อย่างไร
เพื่อต้อนรับทูตแคว้นเฉิน จั่วเฟิงจึงเชิญคนมีชื่อเสียงมาจนหมด มีแค่เพียงคนตระกูลหลีตระกูลเดียวที่ไม่ได้เชิญ ตอนนี้เห็นองค์หญิงชิงหวั่นถามถึง ในฐานะที่เป็นวาณิชส่งออกไปยังแคว้นเฉินมาหลายปี แขกที่นั่งอยู่จนเต็มในที่นี้นางคงรู้จักเพียงคนตระกูลหลีเท่านั้น เขาจึงถอนหายใจออกมา “นายท่านหลีเป็นถึงผู้นำวงการปรุงเครื่องหอม เจ้าเมืองเล็กๆ อย่างข้าน้อยจะเชิญมาได้อย่างไร”
ความหมายนอกเหนือคำพูดคือ เขาเชิญแล้ว แต่คนเขาไม่ไว้หน้า
นี่เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับเอินชินอ๋อง ไม่ไว้หน้าจั่วเฟิงก็เท่ากับไม่ไว้หน้าเขาเอินชินอ๋อง ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว เอินชินอ๋องก็กวาดตาไปยังที่นั่งด้านล่าง มีเพียงคนตระกูลหลีที่รู้จักอยู่เพียงหนึ่งเดียว แต่กลับไม่มีใครมาสักคน เขาขมวดคิ้ว สีหน้าพลันเคร่งเครียดลง
จั่วเฟิงมุมปากขยับ มีรอยยิ้มเย็นชาบางๆ
แปะๆๆ เขายกมือขึ้นตบ
ท่ามกลางเสียงเครื่องสายและขลุ่ย สาวใช้ที่สวมชุดงดงามสองแถวก็ยกถาดไม้แดงแกะสลักซึ่งมีสุราอาหารหลากชนิดเรียงรายกันเข้ามา
ดื่มสุราไปสามจอก เห็นเอินชินอ๋องมีอาการเมาเล็กน้อย จั่วเฟิงจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เมืองต้าเยี่ยได้ชื่อว่าเป็นเมืองเครื่องหอม ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องหอม ท่านอ๋องห้านานๆ จะมาเยือนทั้งที ต้องลองดมเครื่องหอมขึ้นชื่อในเมืองต้าเยี่ยนี้ให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เอินชินอ๋องหัวเราะร่วน “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าจั่วมีเครื่องหอมดีอะไรเข้าตา ต้องเอาออกมาให้หมดเล่า”
จั่วเฟิงปรบมือ มีคนยกเครื่องมือสำหรับแสดงศิลปะการจุดเครื่องหอมออกมาทันที
สายตาพร่ามัว เอินชินอ๋องมองดูหลิ่วเฟิ่งที่บรรเลงพิณประกอบการแสดงการจุดเครื่องหอมนั้นอย่างหลงใหล
นางสวมเสื้อปักลายโบตั๋นสีแดงอ่อน แต่งตัวเอวบางร่างน้อยจนงดงามอย่างมาก ผมงามดำขลับถูกมวยเป็นทรงสาวงามซึ่งเป็นที่นิยมในตอนนี้ ปักด้วยปิ่นที่มีพู่ห้อยระย้างดงามจับตา และส่งเสียงไพเราะเบาๆ ยามที่นางบรรเลงพิณ หรือยามที่นางเลื่อนสายตาก็ดูสวยงามยิ่งนัก ดึงดูดจิตวิญญาณของคนไปได้…
มองดูมือคู่งามเคลื่อนไปบนสายพิณแล้ว เอินชินอ๋องก็รู้สึกคอแห้งผาก เขากลืนน้ำลายอย่างแรง แล้วยกจอกขึ้นดื่มสุรารวดเดียวจนหมด
ได้ยินมาก่อนหน้าว่าเอินชินอ๋องชอบเสียงดนตรี บทเพลงของหลิ่วเฟิ่งนี้เขาจึงเป็นคนออกหน้าขอร้องให้ปรมาจารย์กู่หยางมาเป็นผู้สอน เห็นเอินชินอ๋องจ้าวปินมองจนเหม่อไป จั่วเฟิงก็ฉีกยิ้ม “ท่านอ๋องห้า…” เขาเรียกแต่ไม่ได้พูดว่าเพลงไพเราะ เพียงชี้นิ้วไปที่เตากำยานแล้วพูดว่า “นี่ก็คือเม็ดหอมเศร้าอาดูรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านอ๋องห้าคิดว่ากลิ่นเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เอินชินอ๋องสะดุ้งก่อนจะดึงสติคืนมา เขาเพิ่งพบว่าการแสดงการจุดเครื่องหอมที่งดงามจบลงไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ภายในโถงใหญ่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นหอมประหลาดที่ทำให้รู้สึกทุกข์ระทมใจ
ดีดสายพิณเสียงสุดท้ายจบลง หลิ่วเฟิ่งจึงเลื่อนพิณออก แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นย่อตัวคำนับเอินชินอ๋องอย่างงดงาม ก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่นั่งแขกฝ่ายหญิง
“เพลงดี!” แปะๆๆ เอินชินอ๋องปรบมือขึ้นก่อน รู้สึกถึงสายตาตกตะลึงของทุกคนจึงพบว่าตนเองพูดผิดไป เขารีบเปลี่ยนคำพูดว่า “เครื่องหอมดี! เครื่องหอมดี!” สองตาที่แดงเรื่อไม่เลื่อนหนีจากตัวหลิ่วเฟิ่งเลย
หร่วนอวี้สีหน้าเคร่งเครียด
จั่วเฟิงกลับหัวเราะเสียงดัง “ท่านอ๋องห้ารู้หรือไม่ว่าเครื่องหอมนี้มาจากฝีมือผู้ใด”
เอินชินอ๋องเลื่อนสายตากลับมา หันมองไปทางจั่วเฟิง
“เครื่องหอมนี้มาจากฝีมือของแม่นางหลิ่ว” จั่วเฟิงพูด “แม่นางหลิ่วเป็นอัจฉริยะมาแต่เกิด สองมือไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์กู่ที่ได้ฉายาว่าเป็นเทพเลย ไม่นานก่อนหน้าก็เพิ่งจะได้รับพระราชทานตำแหน่งจากฮ่องเต้ให้เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่ง” เขาพยายามยกยอหลิ่วเฟิ่งอย่างเต็มที่
“ต่อให้ปรมาจารย์กู่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถปรุงเครื่องหอมที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ได้ ใต้เท้าจั่วไม่เห็นหรือว่านับตั้งแต่ร้านอี้เหอเปิดกิจการมา การค้าขายของตระกูลหลีก็ตกต่ำลงมาก” ภายในงานมีคนส่งเสียงพูดดัง
คนที่อยู่ในงานล้วนรู้ว่าเครื่องหอมที่ตระกูลหลีขายไปที่แคว้นเฉินล้วนมาจากฝีมือของกู่ฉิน ตอนนี้หลิ่วเฟิ่งมีความสามารถเหนือกู่ฉินมากแล้ว แคว้นเฉินจะนำเข้าวัตถุดิบเครื่องหอมก็ต้องพิจารณาว่าควรจะเปลี่ยนวาณิชนำเข้าหรือไม่ พอสิ้นเสียงพูด ภายในโถงก็เงียบเสียงลง สายตาทุกคู่เลื่อนไปที่ตัวเอินชินอ๋อง
“คิดไม่ถึงว่าแม่นางหลิ่วอายุยังน้อยกลับมีความสามารถมากเช่นนี้” เอินชินอ๋องพูดชมจากใจจริง “กลิ่นหอมนี้ทำให้คนเหมือนถูกหลอมวิญญาณ เหนือกว่าผลงานชิ้นเอกของปรมาจารย์กู่มากนัก” เขาพูดคำว่า ‘หลอมวิญญาณ’ อย่างหนักแน่น แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ได้ยินว่าปรมาจารย์กู่เสียไปแล้ว ฝ่าบาทของข้ายังคิดอยู่ว่าหลังจากเสียปรมาจารย์กู่ไป ต้าโจวจะไม่มีเครื่องหอมที่ดีอีก ดูไปแล้วฝ่าบาทของข้าคงคิดผิดไป วันนี้ได้กลิ่นเครื่องหอมของแม่นางหลิ่วแล้ว คลื่นลูกหลังกระทบคลื่นลูกหน้าจริงๆ คนใหม่มาเปลี่ยนคนเก่าแล้ว”
เห็นทีรายงานลับจะไม่ใช่รายงานเท็จ ฮ่องเต้แคว้นเฉินองค์ใหม่คิดจะเลือกวาณิชนำเข้าเครื่องหอมคนใหม่จริงๆ ครั้งนี้กิจการนำเข้าเครื่องหอมของแคว้นเฉินคงได้เข้ามาอยู่ในมือของหลิ่วเฟิ่งแน่แล้ว!
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว จั่วเฟิงก็หัวใจเต้นรัว เขาอาศัยฤทธิ์สุราโน้มตัวขึ้นหน้าแล้วลดเสียงพูด “ท่านอ๋องห้าคงไม่รู้ว่าไม่เพียงเครื่องหอมชนิดนี้เท่านั้น ระยะที่ผ่านมาหนึ่งเดือนแม่นางหลิ่วยังผลักดันเครื่องหอมชั้นเลิศออกมาสิบกว่าชนิด แต่ละชนิดล้วนเหนือกว่าของปรมาจารย์กู่”
“จริงหรือ” เอินชินอ๋องสีหน้ากรุ้มกริ่ม สายตามองสำรวจหลิ่วเฟิ่งอีกครั้งแล้วพูดพึมพำ “คนมีฝีมือทั้งยังงดงามเช่นนี้ ข้ายังคิดว่า…” เอินชินอ๋องส่ายหน้า ในแววตาฉายความเสียดาย
เดิมคิดว่านางเป็นสาวงามที่จั่วเฟิงตั้งใจเตรียมมาให้ตนเอง ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาจารย์เครื่องหอมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อาจารย์เหล่านี้อย่าดูว่ามีฐานะต่ำต้อยเด็ดขาด แต่ละคนนั้นล้วนเย่อหยิ่งจะมาปรนนิบัติคนอื่นอย่างหน้าชื่นตาบานได้อย่างไร
เอินชินอ๋องคิดว่าจะต้องผิดหวังเสียแล้ว
“ข้าน้อยจะกล้าหลอกลวงท่านอ๋องห้าได้อย่างไร” ซ่อนความรู้สึกไว้ในดวงตาแล้ว จั่วเฟิงก็ยิ้มบางๆ “ถ้าท่านอ๋องห้าต้องการลิ้มลอง หลังงานเลี้ยงข้าน้อยจะให้แม่นางหลิ่วไปแสดงให้ท่านอ๋องดูตามลำพังถึงที่พักรับรอง” เสียงนั้นชะงักไป จั่วเฟิงมองหน้าเอินชินอ๋องด้วยแววตาลึกซึ้ง
ไปแสดงให้ดูตามลำพังถึงที่พักรับรอง?
นางคนเดียวน่ะหรือ
ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว เอินชินอ๋องก็หน้าแดงก่ำ เขารู้สึกเพียงปากคอแห้งผาก แลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นชูไปทางจั่วเฟิงก่อนจะดื่มจนหมด สายตาที่มองไปทางหลิ่วเฟิ่งแฝงความหลงใหล ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวมาแนบข้างหูของจั่วเฟิง พูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น “ใต้เท้าจั่วคงไม่รู้ว่าที่ข้ามาต้าโจวในครั้งนี้ นอกจากขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นของท่านแล้ว งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือเลือกวาณิชนำเข้าเครื่องหอมคนใหม่ให้แก่ฝ่าบาทของข้า…” เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึก “ถ้าเลือกได้แล้วจะทำสัญญายาวห้าปี”
“เลือกวาณิชนำเข้าเครื่องหอมคนใหม่?” จั่วเฟิงตัวกระตุก เขาแสดงสีหน้าตกใจ “ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่ทราบว่าท่านอ๋องห้ามาในครั้งนี้มีเป้าหมายแล้วหรือไม่”
เอินชินอ๋องหัวเราะ “เมืองต้าเยี่ยได้ชื่อว่าเป็นเมืองเครื่องหอม ถ้ามีเป้าหมายสักที่ก็ย่อมอยู่ที่ต้าเยี่ย…” เสียงนั้นชะงักไป เขาเหลือบมองไปทางหลิ่วเฟิ่งเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
เลือดในกายพลันพลุ่งพล่าน จั่วเฟิงใบหน้าแดงก่ำ เขาสะกดความตื่นเต้นในใจลงแล้วพูดอย่างไม่กระโตกกระตาก “ได้ยินว่าคุณชายเฮยแห่งโรงธูปไป่เยี่ยเป็นเหลียนจวิ้นอ๋อง คุณชายเฮยเป็นอัจฉริยะ โรงธูปไป่เยี่ยเปิดกิจการมาหนึ่งปีก็ทำเครื่องหอมยอดเยี่ยมออกมาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เหตุใดท่านอ๋องห้าจึงไม่เลือกเขาเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นจุดที่เขากับหร่วนอวี้ไม่เข้าใจที่สุด ในเมื่อมีโรงธูปไป่เยี่ยอยู่แล้ว เหตุใดแคว้นเฉินยังต้องทิ้งใกล้มาขอไกล กางธงตีกลองมาเลือกวาณิชนำเข้าเครื่องหอมเช่นนี้ด้วย ทั้งสองถึงขั้นสงสัยว่าเอกสารทะเบียนเรือนของเฮยมู่เป็นของปลอม คำพูดของเขาแม้จะดูเหมือนไม่ตั้งใจ แต่เป็นคำพูดที่ได้ปรึกษากับหร่วนอวี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อลองหยั่งเชิง พูดจบ จั่วเฟิงก็มองหน้าเอินชินอ๋องอย่างเงียบๆ หัวใจยกขึ้นสูงถึงคอหอย
แต่กลับเห็นเอินชินอ๋องยิ้มหยัน “ก็แค่ท่านอ๋องต่างแซ่คนหนึ่ง ขโมยสูตรลับไปไม่กี่สูตรก็แค่นั้น เป็นอัจฉริยะเสียที่ใด” เขามองไปทางจั่วเฟิง “โรงธูปไป่เยี่ยเปิดกิจการมาหนึ่งปี ก็แค่มีชื่อเสียงที่โด่งดังเท่านั้น ใต้เท้าจั่วเคยเห็นเขาเติบโตขึ้นบ้างหรือไม่”
“เอ่อ…” จั่วเฟิงเกิดความคิดในใจ
นั่นน่ะสิ แม้โรงธูปไป่เยี่ยมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับไม่ขยายใหญ่ เครื่องหอมที่ทำออกมาแม้จะพิเศษ แต่ก็มีเพียงห้าหกชนิด ไม่อาจเทียบกับร้านอี้เหอได้เลย เพียงแค่สองสามเดือนร้านอี้เหอก็ขยายร้านใหญ่โตกว่าโรงธูปไป่เยี่ยสองสามร้านเสียอีก หากไม่ใช่เงื่อนไขทางสถานที่มีจำกัด เกรงว่าคงจะเทียบเท่าร้านหลีจี้ไปแล้ว
“ขนาดของโรงธูปไป่เยี่ยก็เป็นเช่นนี้” เห็นเขาลังเล เอินชินอ๋องก็ยิ้มอย่างลึกลับอีก “ต่อให้ใหญ่กว่านี้ ฝ่าบาทของข้าก็กลัวว่าฝ่าบาทของท่านจะไม่พอใจ…”
จะรุนแรงอย่างนั้นเสียที่ใด
แคว้นต้าโจวที่ผ่านมาทำการค้าอย่างเสรี ขอเพียงเป็นพ่อค้าภายในเขตต้าโจว ไม่แบ่งแว่นแคว้นชนชาติใด ล้วนเห็นว่าเป็นพวกพ้องเดียวกัน นอกเสียจากว่าขนาดของโรงธูปไป่เยี่ยจะสามารถกดดันร้านหลีจี้ได้ ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่ใส่ใจ จั่วเฟิงมองเอินชินอ๋องอย่างสงสัยก็เห็นสายตาว่า ‘ท่านก็รู้ดี’ ที่เขาส่งมาให้ ทันใดนั้นจั่วเฟิงก็เข้าใจในทันที
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการงัดข้อกันระหว่างขุนนางคนสำคัญ!
ลองคิดดูว่าหากให้จวิ้นอ๋องคนหนึ่งมาควบคุมเส้นทางการค้าของแคว้นเฉิน พวกเขาที่เป็นชินอ๋องไม่เท่ากับอยู่ไม่ไกลจากความตายหรือ
เห็นทีไม่ต้องให้เขากับอิงอ๋องลงมือ แค่กำลังที่มาจากแคว้นเฉิน โรงธูปไป่เยี่ยก็ไม่มีทางขยายใหญ่ได้แล้ว!
โรงธูปไป่เยี่ยไม่ควรค่าจะให้กลัว!
ความคิดนี้แล่นผ่าน จั่วเฟิงก็หน้าแดงก่ำ ความเมาเพิ่มขึ้นสามส่วนในทันที ประสานสายตากับเอินชินอ๋องอยู่นาน จากนั้นคนทั้งสองก็หัวเราะร่วน จั่วเฟิงเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ครั้งนี้ท่านอ๋องห้าคิดจะอยู่ที่เมืองต้าเยี่ยนานเท่าใดพ่ะย่ะค่ะ”
“มีภารกิจติดตัวมา พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกเดินทางไปเมืองอันคัง” แล้วแนบข้างหูจั่วเฟิงพูดเสียงเบา “เรื่องนี้ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ขอแค่ใต้เท้าจั่วรู้ก็พอ อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
“ท่านอ๋องห้าวางใจได้ ข้าน้อยรู้ว่าต้องทำอย่างไร” จั่วเฟิงพูดพลางยกจอกสุราขึ้นมา “ท่านอ๋องห้าเชิญ” ทั้งสองชนจอกสุรากันอย่างเป็นสุข แล้วดื่มจนหมดจอก
จั่วเฟิงเลื่อนสายตาไปที่ตัวหลิ่วเฟิ่ง แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ปรมาจารย์หลิ่วมีฝีมือปรุงเครื่องหอม มีวิชาอันน่าตกใจ ทำให้ท่านอ๋องห้าชื่นชมไม่ขาดปาก เหตุใดจึงไม่มาดื่มให้ท่านอ๋องสักจอกเล่า”
หลิ่วเฟิ่งนึกอยากทำเช่นนั้นอยู่แล้วจึงลุกขึ้นทันที แล้วเดินนวยนาดมาที่หน้าโต๊ะเอินชินอ๋อง
มีสาวใช้ยกกาและจอกสำหรับดื่มสุราเข้ามา หลิ่วเฟิ่งหยิบกาสุราบนถาดขึ้นเทเองจนเต็มจอก สองมือถือไว้แล้วก้มคำนับ “ท่านอ๋องห้าเป็นมังกรหงส์ในหมู่คน ทั้งยังเป็นยอดบุรุษ ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก เชิญ…”
“แม่นางหลิ่วชมเกินไปแล้ว” เอินชินอ๋องหัวเราะแล้วยื่นมือออกไป แต่ไม่ได้แตะไปที่จอก มือใหญ่ข้างหนึ่งกลับประกบไปบนมือลื่นอ่อนนุ่มของหลิ่วเฟิ่งทันทีแล้วลูบไปมา หลิ่วเฟิ่งตัวสั่น หน้าแดงก่ำ “ท่านอ๋อง…” นางเรียกเสียงเบา สายตาแอบเหลือบไปยังหร่วนอวี้ที่อยู่ตำแหน่งถัดจากจั่วเฟิง
หร่วนอวี้สีหน้าเขียวคล้ำ เสียงดังกร๊อบ จอกสุราในมือก็ถูกบีบเป็นผงในทันที เห็นท่าไม่ดีจั่วเฟิงจึงกระแอมเบาๆ แล้วให้สาวใช้รีบเปลี่ยนจอกสุรา “ใต้เท้าหร่วนเชิญ…” จากนั้นจึงลุกขึ้นเทสุรา หันไปคารวะหร่วนอวี้
ถูกจั่วเฟิงเอามือกดหัวไหล่ไว้เช่นนี้ หร่วนอวี้จึงพยายามอดทนไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วเอ่ยปากพูดกับหลิ่วเฟิ่ง “อาเฟิ่งถอยออกไป!”
เห็นว่าในที่สุดเอินชินอ๋องก็ปล่อยมือหลิ่วเฟิ่งแล้วรับจอกสุราไป จั่วเฟิงจึงหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม ตบมือแปะๆๆ สามที ภายในโถงพลันมีดนตรีบรรเลงขึ้น นางรำในชุดบางยั่วยวนสิบกว่าคนก็ค่อยๆ เดินออกมา แล้วร่ายรำไปตามเสียงดนตรี
บรรยากาศตึงเครียดในงานผ่อนคลายลงทันที ทุกคนเริ่มดื่มอย่างสนุกสนานอีกครั้ง
จนกระทั่งเห็นสายตาของเอินชินอ๋องเลื่อนไปตามแขนขางดงามของนางรำที่เผยให้เห็นอยู่รางๆ ภายใต้ชุดบางเบา ความสนใจล้วนถูกดึงดูดไปจนสิ้นแล้ว จั่วเฟิงจึงผ่อนลมหายใจออกมาพลางลอบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก