ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
นั่นคือหลีจวิน เขากำลังมองเอินชินอ๋องอย่างสบายใจ บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ “ไม่ได้เจอน้องห้าตั้งนาน สบายดีใช่หรือไม่”
พอเห็นว่าเป็นเขา เอินชินอ๋องก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป สบถเสียงเย็นชาแล้วเบือนหน้าไปอีกข้างทันที
“เพิ่งจะมาต้าเยี่ยครั้งแรก มีใครทำให้น้องห้าโกรธหรือ” หลีจวินไม่ได้โมโหแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงข้ามเอินชินอ๋อง “พี่จะออกหน้าแทนเจ้าเอง”
เอินชินอ๋องไม่สนใจ แค่นเสียงสบถเย็นชาแล้วหยิบหนังสือขึ้นมากางพลางก้มหน้าลงอ่าน ราวกับหญิงสาวที่โมโห
หลีจวินยิ้มแล้วส่ายหน้า
สายตาเลื่อนไปที่พิณหยกประดับด้านข้างแล้วยื่นมือไปดึงมาพลางพูดพึมพำกับตนเอง “รู้ว่าน้องห้าเป็นคนมีฝีมือพิณสูงส่ง ข้าบังเอิญได้ตำราเพลงพิณมาหนึ่งเล่ม เดิมทีคิดจะมาขอคำชี้แนะ ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เสียแล้ว” เขาพูดพลางออกแรงที่ปลายนิ้ว เสียงพิณเอื่อยราวธารน้ำแข็งก็ดังขึ้นกลางอากาศ ทำให้คนฟังสะดุ้งท่ามกลางความเงียบนั้น
แม้จะก้มหน้าลงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แต่หางตาเอินชินอ๋องกลับแอบชำเลืองไปยังตำแหน่งตรงข้าม หลีจวินมีสีหน้าสงบนิ่ง สิบนิ้วดีดบรรเลงเพลงขึ้นมา ในใจเขาแอบสบถ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นมองไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ตรงหน้าหลีจวินมีหนังสือเล่มบางๆ ที่เก่าจนเหลืองเพิ่มมาเล่มหนึ่ง อักษรงดงามสามตัวใหญ่บนหน้าปกช่วงชิงลมหายใจของเขาไปทันที
ก่วงหลิงส่าน*!
ก่วงหลิงส่านเป็นบทเพลงเลื่องชื่อในตำนาน แต่น่าเสียดายที่มันหายสาบสูญไปในช่วงสงคราม คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏอยู่บนโต๊ะของตนเองเช่นนี้ ได้เห็นบทเพลงเลื่องชื่ออย่างฉับพลัน เอินชินอ๋องที่ชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กจะยินดีเพียงใดแค่คิดก็พอรู้ได้ เขาไม่สนใจเรื่องอื่นใดอีก ลุกขึ้นจะไปคว้ามาทันที
เห็นว่าจวนจะคว้าได้แล้ว กลับเห็นหลีจวินที่ยังดีดพิณอยู่ขยับมือครั้งหนึ่ง ตำราเพลงพิณก็ไปอยู่ในมือเขาทันที เสียงพิณพลันหยุดลง หลีจวินมองเอินชินอ๋องด้วยรอยยิ้ม
เอินชินอ๋องตบโต๊ะปังพูดอย่างโมโห “มีแต่พี่ที่กล้าให้ข้าเสียสละทำท่ากรุ้มกริ่มไปยุแยงขุนนางใหญ่สองคน!” คิดถึงที่ตนเองถูกจั่วเฟิงเห็นเป็นคนบ้าตัณหา ความสง่าทั้งชีวิตต้องถูกทำลายในเมืองต้าเยี่ยอย่างนี้ สีหน้าเอินชินอ๋องก็เคร่งเครียดอย่างมาก
“พี่ก็มาขอขมาน้องห้าแล้วอย่างไรเล่า” หลีจวินฉีกยิ้มแล้วยื่นตำราเพลงพิณให้เขาพลางถอนใจพูดเสียงเบา “เมืองต้าเยี่ยมีหร่วนอวี้คนเดียวก็ทำให้ตระกูลหลีรับมือไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ยังมีจั่วเฟิงมาอีกคน ถ้าให้พวกเขารวมกันเป็นปึกแผ่นได้ ตระกูลหลีจะมีทางรอดได้อย่างไร ครั้งนี้นับว่าน้องห้าได้ช่วยงานใหญ่ของพี่แล้ว” อิงอ๋องเปลี่ยนตัวเจ้าเมืองต้าเยี่ยอย่างนี้ แสดงว่าเขาเตรียมจะลงมือเต็มที่ คิดจะเล่นงานตระกูลหลีให้ตายแน่นอน แผนการในตอนนี้มีเพียงทำให้อิงอ๋องเกิดความห่างเหินกับหร่วนอวี้ ทำให้จั่วเฟิงกับหร่วนอวี้สู้กันก่อน จึงจะมีโอกาสให้ตระกูลหลีได้หายใจ หากส่งหลักฐานสำคัญในมือออกไปได้อย่างราบรื่นก็จะล้มอิงอ๋องลงได้!
ตำราเพลงพิณมาอยู่ในมือแล้ว เอินชินอ๋องก็ยินดี เห็นหลีจวินกำลังมองเขาอย่างสบายอารมณ์ สีหน้าก็เคร่งเครียด “โชคดีที่ใต้เท้าหร่วนยังเลือดร้อนอยู่ ไม่ยอมเสียสละแม่นางหลิ่ว ถ้าเขายินยอมพร้อมใจเสียสละแม่นางหลิ่วขึ้นมา พี่จะให้ข้าทำอย่างไร ยังจะเอากิจการนำเข้าเครื่องหอมของแคว้นเฉินอยู่หรือไม่” แล้วพูดอีกว่า “หรือให้ข้าเอากิจการนำเข้าเครื่องหอมของแคว้นเฉินมอบให้ตระกูลหลิ่ว!”
“แม่นางหลิ่วนั่นก็เป็นสาวงาม ถูกผู้คนในเมืองต้าเยี่ยให้ฉายาว่าเป็นคนงามแห่งใต้หล้า ถ้าน้องห้าได้วาสนาที่ดีเช่นนี้จริง ควรขอบใจพี่จึงจะถูก ไยถึงมาโอดครวญเสียเล่า” หลีจวินยิ้มอย่างสบายอารมณ์ แล้วพูดหยอกเย้า “น้องห้าก็พาตัวนางกลับแคว้นเฉินไปด้วยเลยสิ มีนางคอยปรุงเครื่องหอมชั้นเลิศให้แคว้นเฉิน แคว้นเฉินยังจะต้องนำเข้าเครื่องหอมอีกด้วยเหตุใด กิจการนำเข้านี้ย่อมไม่มีส่วนของตระกูลหลิ่วแล้ว”
“ชิ!” เอินชินอ๋องจิปากใส่เขาอย่างแรง “ครั้งนี้ข้าถูกแผนของพี่จนทะลวงเข้ากระดูกแล้ว! พี่คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าแม่นางหลิ่วนั่นเป็นคนหลอกลวงขโมยชื่อเสียงอาจารย์ เม็ดหอมเศร้าอาดูรที่เลื่องชื่อในวันนี้เป็นรูปแบบการทำของปรมาจารย์กู่!” แล้วพูดทอดถอนใจอีกว่า “น่าเสียดาย ปรมาจารย์กู่ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นกลับมีจุดจบต้องถูกคนชุบเลี้ยงอยู่เบื้องหลังเช่นนี้”
“น้องห้าสายตาเฉียบแหลมจริงเชียว แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังหลอกเจ้าไม่ได้” หลีจวินพูดด้วยรอยยิ้ม “น่าเสียดาย ตระกูลหลียังตรวจสอบไม่พบว่าพวกเขาเอาตัวกู่ฉินไปซ่อนไว้ที่ใด”
“แล้วพี่ยังให้ข้าพานางกลับแคว้นเฉินอีกหรือ” เอินชินอ๋องพูดอย่างเคืองขุ่น
หลีจวินพูดหยอกเย้า “แต่คนต้าโจวไม่รู้นี่ ต้องอิจฉาที่น้องห้ามีวาสนาที่ดีแน่นอน ถึงตอนนั้นการมาต้าโจวของน้องห้าคงต้องเป็นเรื่องดีที่เล่าต่อกันไปอีกยาวนานแน่นอน”
เอินชินอ๋องรู้สึกอ่อนแรง นี่นับเป็นสหายอะไรกัน
เป็นมารที่แม้แต่สหายก็ยังถูกรวมอยู่ในแผนการด้วยมากกว่า!
เอินชินอ๋องเปลี่ยนประเด็นพูดพลางโน้มตัวไปถามอย่างลึกลับ “ข้าได้ยินว่าเรือนด้านหลังของร้านหลีจี้มีคนอัศจรรย์อย่างแท้จริงคนหนึ่งถูกท่านซ่อนเอาไว้” เขามองตาหลีจวินอย่างไม่วางตา “ได้ยินว่านางไม่เพียงปรุงเครื่องหอมชั้นเลิศได้ ยังดีดพิณได้ดียิ่งกว่า ข้านานทีจะได้มาเมืองต้าเยี่ยเสียที พี่รองต้องให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยแล้ว”
หลีจวินสะดุ้ง
เขาพยายามปิดซ่อนไว้ทุกวิธี แต่ก็คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นชิวยังคงลือออกไปได้เร็วเช่นนี้!
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เห็นทีเขาต้องเพิ่มยอดฝีมือไว้ข้างกายมู่หวั่นชิวเพิ่มอีกแล้ว ในใจวุ่นวายไม่หยุด แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกมา หลีจวินยังคงมีท่าทางสบายอารมณ์ พูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงได้บอกว่าพี่มีของล้ำค่าอะไรก็ปิดบังน้องห้าไม่ได้ เดิมทีคิดจะพานางมาเยี่ยมคารวะน้องห้าด้วยกัน แต่นอกที่พักรับรองนี้ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ที่จับจ้องอยู่ นางไม่รู้วรยุทธ์ พามาไม่สะดวกอย่างมาก” ประเด็นพูดเปลี่ยนไป “แต่น้องห้าวางใจได้ ครั้งนี้พลาดไป แต่รอให้ข้าแต่งงานแล้วจะพานางไปถึงแคว้นเฉินเยี่ยมคารวะน้องห้ากับพี่บุญธรรมอย่างแน่นอน”
เอินชินอ๋องผู้นี้ความชอบอื่นไม่มี มีแค่ชอบดนตรีเพียงอย่างเดียว หากให้เขาพบสุดยอดฝีมือพิณของมู่หวั่นชิวเข้า พูดได้ยากว่าอีกฝ่ายจะไม่เกิดใจคิดอยากครอบครอง เรื่องนี้เขาต้องป้องกันไว้ก่อน ในใจคิดไป หลีจวินก็ประกาศสิทธิ์ในตัวมู่หวั่นชิวอย่างไม่ใส่ใจ
เป็นจริงดังคาด เอินชินอ๋องดูผิดหวัง เขามองหลีจวินอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่รองหมายถึงจะแต่งงานกับนางหรือ” แล้วพูดพึมพำกับตนเอง “ข้าได้ยินว่านางเป็นเพียงช่างคนหนึ่ง…” ช่างจะแต่งงานกับคนตระกูลดังไม่ได้ หากบอกว่าแอบรับเป็นอนุภรรยานั้นก็พอรับได้อยู่ แต่หลีจวินพูดว่าเป็นการแต่งงาน
รับอนุภรรยาไม่จำเป็นต้องจัดการแต่งงานใหญ่โตอะไร แค่รับเข้าประตูข้างก็พอ
“พวกเราแลกเปลี่ยนของหมั้นหมายกันแล้ว รอให้ปัญหาของตระกูลหลีหมดไปก็จะเลือกวันแต่งงาน” แผ่นหยกลายอักษรหลีที่ข้าให้นางไว้น่าจะนับเป็นของหมั้นหมายกระมัง หลีจวินในใจคิดไป ปากก็พูดจาคลุมเครือ
เห็นหลีจวินพูดอย่างมั่นใจ เอินชินอ๋องจึงมีสีหน้าเศร้าสลดพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “ก็จริง ในชาตินี้ถ้าได้คนรู้ใจมาบรรเลงพิณกับข้า ข้าก็คงไม่ห่วงฐานะใดของนาง”
หลีจวินปาดเหงื่อ
กำลังจะเอ่ยปากพูด กลับได้ยินเอินชินอ๋องถามอย่างไม่ยอมแพ้ “ฝีมือพิณของนางดีอย่างนั้นเลยหรือ ได้ยินว่าเพลงลำนำลมโชยจันทร์กระจ่างในงานเลี้ยงชมดอกกุ้ยของใต้เท้าฉินสร้างความตื่นตะลึงให้ทุกคน ถึงกับทำให้ทุกคนพลาดชมการแสดงศิลปะการจุดเครื่องหอมที่ยอดเยี่ยมไป” ในคำพูดเต็มไปด้วยความเสียดาย ตลอดทางมาแคว้นต้าโจวสิ่งที่เขาได้ยินมากที่สุดก็คือความสามารถขั้นเทพของมู่หวั่นชิว ขุนนางทุกพื้นที่พากันแนะนำว่า ‘ตอนท่านอ๋องเสด็จผ่านเมืองต้าเยี่ยต้องไปพบยอดคนท่านนี้ให้ได้ จึงจะไม่เสียทีสำหรับการมาในครั้งนี้’
ยังไม่เคยเห็นหน้าก็ได้ยินชื่อคนผู้นี้แล้ว โดยเฉพาะได้ยินว่าฝีมือพิณของมู่หวั่นชิวเป็นหนึ่งไม่มีสอง เอินชินอ๋องก็เกิดความรักชื่นชมในตัวนางโดยไม่รู้ตัว
ที่ไม่พอใจแผนยุแยงที่หลีจวินให้เขาเสียสละตัวเอง จนถึงขั้นรังเกียจและรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากนั้น เป็นเพราะเขาแอบกลัวรางๆ ว่าในสายตาของอัจฉริยะที่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นจะมองเขาเหมือนเป็นคนบ้าตัณหา ทำให้พลาดวาสนาอันดีไป
จะเคยคิดเสียเมื่อใดว่าคนเขาเป็นอนุภรรยามีสามีไปแล้ว เป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่หลีจวินเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับเสด็จพี่ของเขา เขาจะถือมีดไปแย่งรักมาไม่ได้
“เป็นเทพเหมือนที่คนนอกลือกันเสียที่ใด” ประสานกับสายตาชื่นชมของเอินชินอ๋องแล้ว หลีจวินก็รู้สึกว่าแผ่นหลังมีแต่เหงื่อ เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเขาไม่เคยได้ยินเสียงพิณของน้องห้า ถ้าเคยได้ยินคงไม่ลือกันเช่นนี้แน่นอน”
เอินชินอ๋องส่ายหน้า ไม่ได้พูดจา
นิ่งเงียบไปนาน เขาจึงเอ่ยปากพูด “เครื่องหอมของพี่รองรอให้ข้ากลับมาจากเมืองอันคังแล้วค่อยขนไปพร้อมกันเถอะ” จะยื่นมือไปช่วยตระกูลหลี เขาก็ต้องดูสภาพอำนาจภายในเมืองต้าโจวให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยวางแผน นี่เป็นคำสั่งของเสด็จแม่ก่อนที่เขาจะจากมา “คงราวๆ หนึ่งเดือน พี่รองไม่รีบร้อนกระมัง”
เขาทำเช่นนี้คงอยากจะนั่งเงียบรอดูความเปลี่ยนแปลงสินะ หลีจวินถอนใจอยู่ภายใน ปากก็พูดว่า “เดิมทีพี่ก็วางแผนเช่นนี้ ถ้าน้องห้าเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจะยิ่งทำให้อิงอ๋องกับหร่วนอวี้รู้ทันทีว่าหลงกลพวกเราเข้าแล้ว” ทั้งที่ลงน้ำมาแล้ว เอินชินอ๋องยังคิดจะเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไร
แคว้นเฉินต้องยืนอยู่ข้างตระกูลหลีกับองค์รัชทายาทเท่านั้น!
เอินชินอ๋องนิ่งงันไป รู้ตัวว่าตนเองถูกหลีจวินดึงเข้าไปในแผนการด้วยแล้ว
เห็นเขาหน้านิ่งไม่พูดจา หลีจวินก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้ตอนน้องห้าออกเดินทาง ยังต้องช่วยข้าทำงานสักเรื่อง…”
ยังให้เขาช่วยอีกหรือ
เอินชินอ๋องสะดุ้ง เขาหดตัวไปด้านหลังทันที “พี่ลองพูดมาก่อนสิ ถ้าเป็นแผนแย่ๆ อะไรอีก ข้าจะไม่รับปาก!” อมลมเต็มแก้มแล้วพูดว่า “ช่วยท่านหนึ่งครั้ง ข้าก็ใจดีมากแล้ว” ถึงวันนี้เขาจึงพบว่าเห็นหลีจวินยิ้มสดใสทั้งวัน แต่ที่จริงคนผู้นี้เป็นมารร้ายคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อติดอยู่ในมือแล้วก็สามารถดูดเลือดเนื้อของเขาจนแห้งได้
หลีจวินยิ้มบางๆ “พี่แค่ให้น้องห้าพาคนผู้หนึ่งไปที่เมืองอันคัง”
“พาคนผู้หนึ่งไปด้วย?” เอินชินอ๋องตกตะลึงแล้วพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่ยาก พรุ่งนี้ท่านส่งมาแต่เช้าก็พอ”
“น้องห้าจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด…” หลีจวินสีหน้าจริงจัง เขาแนบข้างหูเอินชินอ๋องแล้วพูดว่า “น้องห้าจะส่งคนผู้นี้ไปถึงเมืองอันคังได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ล้วนเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของคนตระกูลหลี ก่อนที่เขาจะไปถึงเมืองอันคังอย่างปลอดภัย น้องห้าห้ามเปิดเผยความเกี่ยวพันกับพี่เป็นอันขาด!”
เห็นเขาพูดอย่างจริงจังเช่นนี้ เอินชินอ๋องจึงมีสีหน้านิ่ง “พี่รองวางใจได้ ข้าไม่ทำให้พี่ผิดหวังแน่นอน!”
ทั้งสองปรึกษารายละเอียดบางอย่างกันต่อ ก่อนที่เอินชินอ๋องจะเงยหน้าขึ้นถาม “อาการบาดเจ็บของพี่รองเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วพูดอีกว่า “ก่อนจากมาเสด็จพี่ยังกังวลว่าพี่เร่งเดินทางทั้งที่ยังบาดเจ็บจะทำให้ยิ่งกระทบกระเทือนเอาได้ เอาแต่บ่นว่าท่านจากมาเร็วเกินไป อยู่พักฟื้นต่ออีกสองสามวันก็ยังดี”
“พี่หายดีแล้ว ขอบคุณพี่บุญธรรมที่เป็นห่วง…” หลีจวินขยับแขนซ้ายให้เอินชินอ๋องดู “น้ำใจของพี่บุญธรรมข้ารู้ดี แต่ตระกูลหลียังอยู่ในความไม่สงบ พี่จะอยู่ต่อได้อย่างไร”
เอินชินอ๋องถอนหายใจ นึกอะไรขึ้นได้จึงก้มลงหยิบกล่องงามใบเล็กกะทัดรัดใบหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระบนพื้น “เสด็จพี่ให้เอา…”
กำลังพูดอยู่ก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากลานบ้าน หลีจวินจึงทำท่าให้เอินชินอ๋องเงียบเสียงในทันที เสียงเอินชินอ๋องชะงักไป จากนั้นจึงยื่นกล่องไม้ให้เขาแล้วชี้ไปที่หน้าต่าง ทำมือว่าไว้เจอกันวันหน้า หลีจวินพยักหน้าเข้าใจความหมาย รับกล่องไม้มาแล้วก็ลอยตัวออกไป
เห็นหลีจวินหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เอินชินอ๋องก็ส่ายหน้า ก่อนจะหยิบสุดยอดตำราเพลงพิณยัดใส่ท้องแขนเสื้อ ขยับไฟเทียน แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นอ่าน
ทางนี้เพิ่งจะนั่งลงก็ได้ยินเสียงดังแกร๊ก ประตูถูกผลักเปิดจากด้านนอก “เสด็จพี่ห้า เสด็จพี่ห้า…” องค์หญิงชิงหวั่นรีบร้อนเข้ามาพร้อมตะโกนพูดว่า “ข้าจะอยู่ที่ต้าเยี่ย!”
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพู ผมดำขลับมวยเป็นทรงองค์หญิง ดวงตางดงามกระจ่างสดใส เทียบกับชุดเต็มยศเมื่อตอนกลางวันแล้ว ยามนี้กลับมีความสดใสน่ารักมากขึ้น
เห็นว่าเป็นนาง เอินชินอ๋องก็กุมขมับทันที
ชิงหวั่นผู้นี้เป็นคนที่จัดการยากจนขึ้นชื่อ บทจะเอาแต่ใจแม้แต่เขาที่เป็นพี่ชายก็ยังปวดหัว
เห็นเขาไม่พูดจา องค์หญิงชิงหวั่นจึงเข้ามาใกล้ตรงหน้า จับแขนเขาเขย่าไปมา “ข้าไม่ไปเมืองอันคังแล้ว ข้าจะอยู่ที่ต้าเยี่ย รอเสด็จพี่ห้ากลับมาค่อยกลับแคว้นเฉินพร้อมกัน” แล้วพูดอีกว่า “เสด็จพี่ห้ารักข้าที่สุดอยู่แล้ว”
“น้องหญิงลืมแล้วหรือ” เอินชินอ๋องวางหนังสือลง “ก่อนมาเจ้ารับปากเสด็จพี่ใหญ่ว่าอย่างไร จะเชื่อฟังพี่ทุกอย่างมิใช่หรือ”
องค์หญิงชิงหวั่นพูดบ่นเสียงดัง “ข้ารู้แล้ว ให้ข้าตามเสด็จพี่ห้ามาที่แคว้นต้าโจวเพื่อเป็นทูต เสด็จแม่เองก็อยากจับข้าแต่งงานกับตาเฒ่าเลอะเลือนอย่างฝ่าบาทแคว้นต้าโจวนั่น!”
ที่พานางมาด้วยนี้แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมไมตรีด้วยการแต่งงานจริงอยู่ แต่ไม่ใช่กับฮ่องเต้หนานตี้ เป็นเหล่าบุตรชายของเขาต่างหาก
ได้ฟังคำพูดไม่ปิดบังนี้แล้ว เอินชินอ๋องก็ใช้มือปิดปากนางไว้แล้วพูดเสียงดุ “น้องหญิงห้ามพูดจาเหลวไหล เสด็จแม่ไม่ได้คิดเช่นนี้” การแย่งบัลลังก์ของต้าโจวยังไม่ปิดฉากลง แม้จะมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็คงไม่กำหนดในครั้งนี้เลย ครั้งนี้เพียงต้องการให้เหล่าบุตรชายของฮ่องเต้หนานตี้ได้เห็นหน้าองค์หญิงชิงหวั่นก่อนเท่านั้น
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น…” เห็นเขามีสีหน้าเย็นชา องค์หญิงชิงหวั่นจึงพ่นหัวเราะออกมาพูดบ่นว่า “ข้ารับปากแม่นางหลิ่วแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเป็นแขกที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เสด็จพี่ห้าจะเลือกวาณิชนำเข้าเครื่องหอมมิใช่หรือ ข้าอยู่ที่นี่ช่วยพี่เลือกได้” พูดพลางองค์หญิงชิงหวั่นก็พูดเป็นนัยว่า “ข้ายังสามารถหาโอกาสช่วยเสด็จพี่ห้าพิชิตสาวงามได้ด้วย” งานเลี้ยงต้อนรับตอนกลางวัน ความรู้สึกที่เอินชินอ๋องมีต่อหลิ่วเฟิ่งทุกคนล้วนเห็นกันทั่ว
พูดจบ องค์หญิงชิงหวั่นก็มองเอินชินอ๋องด้วยดวงตากลมโตอันงดงามในทันที
เหนือความคาดหมาย เอินชินอ๋องหน้าดำคล้ำในทันที เขาตบโต๊ะอย่างแรง สะเทือนจนพื้นดังก้อง องค์หญิงชิงหวั่นถอยหลังไปสองก้าว ในดวงตามีม่านน้ำปกคลุมทันใด
ผ่านไปครู่ใหญ่เอินชินอ๋องจึงผ่อนหายใจออกมา เขาพูดอย่างใจเย็นลง “พรุ่งนี้ยามเฉินออกเดินทางตรงเวลา น้องหญิงรีบพักผ่อนเถอะ”
องค์หญิงชิงหวั่นเม้มปาก หมุนตัวแล้ววิ่งตึงๆๆ ออกไป