ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 6 ตอนที่ 6
“พี่รอง!” เพิ่งเดินนำฉินเจี้ยนออกจากประตูร้านหลีจี้ หลีจวินก็ถูกเสียงดังกังวานหนึ่งเรียกรั้งไว้ เขาจึงชะงักฝีเท้า
เห็นเพียงองค์หญิงชิงหวั่นโผล่ออกมาจากหลังเสาอย่างรวดเร็ว มองเขาด้วยรอยยิ้ม
“องค์หญิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลีจวินกวาดมองด้านหลังตัวนางแวบหนึ่ง “องครักษ์ขององค์หญิงเล่า”
“ถูกข้าสลัดทิ้งไปหมดแล้ว!” องค์หญิงชิงหวั่นหัวเราะคิกคัก “ข้ามาที่ร้านหลีจี้หลายครั้งก็ไม่เคยพบพี่รอง ข้าเลยต้องมาดักรอที่หน้าประตูเช่นนี้…” เห็นหลีจวินขมวดคิ้ว นางก็พูดอีกว่า “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าพี่เป็น…”
ยังไม่ทันพูดจบ หลีจวินก็เอามือปิดปากนางทันที แล้วมองไปซ้ายขวา “เชิญองค์หญิงเข้าไปคุยกันในคฤหาสน์ดีกว่า” แล้วหันหน้าไปสั่งการฉินเจี้ยน “ส่งข่าวไปยังที่พักรับรอง องค์หญิงชิงหวั่นมาที่ร้านหลีจี้” พูดจบ หลีจวินก็หมุนตัวเดินเข้าประตูไป
ในที่สุดก็ได้พบเขาเสียที มองดูแผ่นหลังของหลีจวินแล้ว องค์หญิงชิงหวั่นก็รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง
“องค์หญิงรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือเหลียนจวิ้นอ๋อง” หลังจากนั่งลงแล้ว หลีจวินก็สั่งให้บ่าวยกน้ำชามาให้ ก่อนจะโบกมือให้ทุกคนออกไป
ด้วยเขาเป็นคนต้าโจว หากถูกพบว่าเข้าร่วมการเมืองภายในแคว้นเฉินจะก่อให้เกิดการแย่งชิงกันของสองแคว้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ขอแค่มีความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวก็จะถูกอิงอ๋องจับเป็นชนักในการสร้างเรื่องทันที ดังนั้นช่วงเวลาที่เขาไปแคว้นเฉินจะใช้ชื่อปลอมตลอด นอกจากฝ่าบาทและคนที่เชื่อใจได้ไม่กี่คนในแคว้นเฉินแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเหลียนจวิ้นอ๋องของแคว้นเฉินก็คือเขาหลีจวิน
แน่นอนว่าต้องปิดบังองค์หญิงชิงหวั่นที่ทำอะไรใจกล้าไม่มีเล่ห์เหลี่ยมผู้นี้ด้วยเช่นกัน
ได้รับการไหว้วานจากเอินชินอ๋องให้คุ้มครองนาง หลีจวินจึงเพียงแค่วางองครักษ์ไว้ข้างกายนางอย่างลับๆ ไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง
องค์หญิงชิงหวั่นอาศัยเหตุผลในการดมกลิ่นเครื่องหอมมาขอพบถึงคฤหาสน์หลายครั้ง ก็เป็นหลีฮูหยินออกหน้ามาต้อนรับเสมอ ในขณะที่หลีจวินก็เอาแต่หลบนาง อย่างไรเสียระหว่างที่พักรักษาตัวในวังหลังของแคว้นเฉิน เดิมคิดว่าขอเพียงองค์หญิงชิงหวั่นไม่เห็นเขา นางก็คงไม่รู้ว่าเขาก็คือเหลียนจวิ้นอ๋องของแคว้นเฉิน ด้วยไม่อยากให้คนอื่นล่วงรู้ความลับนี้เร็วเกินไป
แต่พอคิดถึงรายงานลับขององครักษ์แล้ว นางในระยะนี้มักจะอยู่กับหลิ่วเฟิ่ง หลีจวินก็ตกใจจนเหงื่อผุดไปทั่วตัว
“ข้าแอบอ่านสารลับของเสด็จพี่ใหญ่!” องค์หญิงชิงหวั่นพูดอย่างภาคภูมิใจ “ข้ารู้นานแล้วว่าพี่รองที่เป็นเหลียนจวิ้นอ๋องก็คือคุณชายใหญ่ตระกูลหลีแห่งเมืองต้าเยี่ย ดังนั้นที่ข้ารับปากเสด็จพี่ใหญ่มาแคว้นต้าโจวครั้งนี้ก็เพื่อมาพบพี่รอง” พูดพลางสองแก้มของนางก็ขึ้นสีแดงเรื่อราวดอกท้อเดือนสาม
หลีจวินยกมือขึ้นบีบขมับ
“วันที่ท่านอ๋องห้าจากไป องค์หญิงหลบไปอยู่ที่ใด”
“ข้าก็หลบที่…” องค์หญิงชิงหวั่นชะงักเสียงพูดไป แล้วหัวเราะคิกคักไปทางหลีจวิน “นางไม่ให้ข้าบอกใคร ถ้าทางการรู้เรื่องนี้เข้านางจะถูกฆ่าล้างตระกูล…น่าเสียดาย ที่นี่คือแคว้นต้าโจว ถ้าเป็นที่แคว้นเฉินข้าไม่กลัวหรอก!” หลิ่วเฟิ่งใจดีช่วยให้นางได้อยู่ต่อในเมืองต้าเยี่ย นางจะเนรคุณไม่ได้
“องค์หญิงชิงหวั่นเชื่อฟังแม่นางหลิ่วเหลือเกิน” หลีจวินพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“พี่รองรู้แต่แรกแล้วหรือ” องค์หญิงชิงหวั่นเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงพูดอย่างตกใจ “พี่รองหลอกถามข้านี่!” แล้วถอนหายใจ “ในเมื่อถูกพี่รองเดาถูกแล้ว พี่รองก็ช่วยข้าปิดบังด้วย”
หลีจวินถอนหายใจพลางส่ายหน้า แล้วถามขึ้นทันใด “เรื่องที่ข้าคือเหลียนจวิ้นอ๋อง องค์หญิงชิงหวั่นได้บอกกับใครแล้วบ้าง” แม้เสียงพูดจะดูไม่จริงจัง แต่ในดวงตาหลีจวินกลับฉายความดุดันอยู่รางๆ
ในช่วงเวลาสำคัญอย่าโทษว่าเขาลงมือร้ายกาจก็แล้วกัน คนที่รู้เรื่องนี้ทุกคนล้วนต้องตาย!
“ข้าไม่ได้บอกใครเลย!” องค์หญิงชิงหวั่นส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด ดวงตาราวน้ำกระจ่างใสเห็นก้นบึ้ง
จ้องนางอยู่นาน หลีจวินจึงแอบโล่งอก
นางไม่ได้โกหก
“พี่รองกลัวว่าข้าจะปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปหรือ” ทันใดนั้นองค์หญิงชิงหวั่นก็เข้าใจเรื่องราว นางจึงยิ้มอย่างมีเลศนัย “จะให้ข้ารักษาความลับให้พี่รองก็ได้ แต่พี่ต้องจำไว้ว่าพี่ติดหนี้บุญคุณข้าครั้งหนึ่ง”
ติดหนี้บุญคุณ?
หลีจวินขมวดคิ้ว
เขาไม่กลัวจะติดหนี้บุญคุณ ตอนที่อยู่วังหลังของแคว้นเฉินเขาก็ได้ยินมาไม่น้อยว่าหญิงสาวคนนี้จัดการได้ยากจนขึ้นชื่อ อาศัยว่าเป็นที่โปรดปรานจากไทเฮา ยามทำสิ่งใดก็มักจะไร้กฎไร้เกณฑ์ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเฉินองค์ใหม่เจอนางแล้วก็ยังปวดหัว วันนี้หากยอมรับว่าติดหนี้บุญคุณนาง เกรงว่าหลังจากวันนี้ไปสิ่งที่เขาต้องเผชิญคงเป็นการขู่กรรโชกที่ไม่จบสิ้นแน่!
“องค์หญิงพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก…” ความคิดแล่นผ่าน หลีจวินจึงกระแอมเบาๆ “ข้าไม่ได้กลัวองค์หญิงจะปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป แต่ข้ากังวลว่าองค์หญิงจะนำภัยร้ายมาสู่แคว้นเฉินโดยไม่รู้ตัว”
“เป็นไปได้อย่างไร” องค์หญิงชิงหวั่นกะพริบตา
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้เล่า” หลีจวินเลียนแบบน้ำเสียงของนาง มองหน้าองค์หญิงชิงหวั่นแล้วพูดว่า “องค์หญิงลองบอกมาสิ ในเมื่อไม่กลัวความลับรั่วไหล แล้วเหตุใดเสด็จพี่ใหญ่ขององค์หญิงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเช่นนี้ด้วย”
เงยหน้าขึ้นคิดอยู่นาน องค์หญิงชิงหวั่นจึงพูดว่า “แน่นอนว่าคิดเผื่อพี่รองอย่างไรเล่า เสด็จพี่ใหญ่กลัวว่าพี่จะต้องโทษว่าเป็นกบฏของแผ่นดิน”
“ข้าเป็นเพียงชาวเมืองตัวเล็กๆ ทั้งไม่มีกองทหารในมือ จะต้องโทษว่าเป็นกบฏของแผ่นดินง่ายๆ ได้อย่างไร” หลีจวินส่ายหน้า “เป็นเพราะเสด็จพี่ใหญ่ขององค์หญิงกลัวว่าฮ่องเต้ต้าโจวจะรู้ว่ามีคนของต้าโจวช่วยเขาไว้แล้วจะถือโอกาสเป็นสิงโตอ้าปากขู่กรรโชก ให้เขาแบ่งพื้นที่ชดใช้แทนเงิน ถึงตอนนั้นถ้าเสด็จพี่ใหญ่ขององค์หญิงรับปากก็จะกลายเป็นคนบาปของแผ่นดิน แต่ถ้าไม่รับปากสองแคว้นก็จะเกิดการต่อสู้ทำสงครามกัน แคว้นเฉินเพิ่งจะผ่านการทำสงครามมา แต่ต้าโจวนั้นกลับมีกำลังทหารเสบียงเตรียมพร้อม ถ้าต้องทำสงครามกันจริงคงไม่ถึงหนึ่งปี องค์หญิงชิงหวั่นคงได้กลายเป็นองค์หญิงไร้แผ่นดินเป็นแน่…” เขาถอนหายใจ “ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเสด็จพี่ใหญ่กับไทเฮาขององค์หญิง เพื่อขอเป็นมิตรกับต้าโจว สุดท้ายจำต้องให้ท่านอภิเษกกับฝ่าบาทของข้า…” เขาส่ายหน้า “ถึงตอนนั้นเกรงว่าองค์หญิงชิงหวั่นต้องมาอยู่ต่างถิ่น น่าสงสารจริง!”
รับมือกับเด็กต้องใช้การขู่
หลีจวินพูดพลางทำท่าทางเห็นใจสงสาร
เป็นจริงดังคาด ใบหน้าขององค์หญิงชิงหวั่นขาวซีดในทันที หากนางไม่ได้ไร้เดียงสาจนถูกหลอกได้ง่าย สิ่งที่หลีจวินพูดว่า ‘ฮ่องเต้แคว้นต้าโจวจะฉวยโอกาสขู่กรรโชก’ นี้ก็เป็นวิธีที่นางเคยใช้บ่อยครั้ง
ทว่าครั้งนี้ที่นางติดตามเอินชินอ๋องเป็นทูตมาแคว้นต้าโจวนั้น ก็เพราะเสด็จพี่ใหญ่ของนางมีจุดประสงค์ในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อทำให้อำนาจทางการเมืองของแคว้นเฉินที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมีความมั่นคง หากไม่ใช่นางทำเป็นปล่อยเลยตามเลยเพื่อจะได้มาพบหน้าหลีจวิน นางคงไม่ยอมทำตามจุดประสงค์ของเสด็จพี่ใหญ่แล้วยอมมาต้าโจวแต่โดยดีเช่นนี้แน่
และด้วยเหตุนี้องค์หญิงชิงหวั่นจึงเชื่อในคำพูดส่งเดชเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างไม่มีข้อสงสัย
นิ่งเงียบไปนาน องค์หญิงชิงหวั่นจึงพูดบ่นว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าไม่บอกคนนอกเด็ดขาด”
หลีจวินพยักหน้า เขารู้สึกพอใจอย่างมาก “องค์หญิงรู้ความร้ายกาจก็ดีแล้ว จำไว้ว่าอย่าพูดจาส่งเดชเด็ดขาด โดยเฉพาะกับแม่นางหลิ่ว…” เขามองหน้าองค์หญิงชิงหวั่นด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่รู้ว่าช่วงที่อยู่เมืองต้าเยี่ยนี้ องค์หญิงชิงหวั่นเคยได้ยินหรือไม่ อีกไม่กี่วันแม่นางหลิ่วกับใต้เท้าหร่วนผู้บัญชาการกองรถศึกจะแต่งงานกันแล้ว”
“ข้ารู้…” องค์หญิงชิงหวั่นพยักหน้า “แม่นางหลิ่วยังเชิญข้าให้อยู่เมืองต้าเยี่ยร่วมงานแต่งงานของนางด้วย”
“องค์หญิงชิงหวั่นรู้หรือไม่ว่าใต้เท้าหร่วนกับอิงอ๋องเป็นศิษย์พี่น้องสำนักเดียวกัน”
องค์หญิงชิงหวั่นส่ายหน้า
“เรื่องนี้ถ้าถูกแม่นางหลิ่วรู้เข้า ใต้เท้าหร่วนก็จะรู้ ใต้เท้าหร่วนรู้แล้ว ฝ่าบาทก็ต้องรู้ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็…” หลีจวินเสียงชะงักไป
“ข้ารู้หมดแล้ว…” องค์หญิงชิงหวั่นรำคาญใจ “เรื่องนี้ข้าจะไม่บอกแม่นางหลิ่วเด็ดขาด”
เห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว หลีจวินจึงรู้สึกโล่งอก เขามองไปที่กาน้ำหยด “เวลาไม่เช้าแล้ว คนในที่พักรับรองคงจะร้อนใจกันแล้ว ข้าจะให้คนส่งองค์หญิงกลับไปก็แล้วกัน” พูดแล้ว หลีจวินก็ยืนขึ้นมา
ให้นางกลับไปหรือ
จะได้อย่างไร กว่านางจะสลัดองครักษ์ที่เฝ้าหน้าร้านหลีจี้มาได้นั้นยากมาก พูดคุยได้ไม่กี่ประโยคก็จะจากไปได้อย่างไร ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว องค์หญิงชิงหวั่นก็กลอกตาอย่างครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าไปหอธูปใหญ่มาหลายแห่ง เหตุใดเครื่องหอมของตระกูลหลีจึงถูกปลดลงจากชั้นวางจนหมดเล่า”
“แม่นางหลิ่วว่าอย่างไรบ้าง” หลีจวินย้อนถาม
ฟังสายลับบอกว่าขณะที่นางไปหอธูปใหญ่ทุกแห่งนั้นล้วนมีหลิ่วเฟิ่งไปด้วยราวกับเป็นนางกำนัลประจำกายนาง
“นางบอกว่า…” คำพูดของหลิ่วเฟิ่งไม่น่าฟังอย่างมาก องค์หญิงชิงหวั่นเม้มปาก แล้วพูดในทางอ้อมว่า “นางบอกว่าหลังจากปรมาจารย์กู่ตายไป ตระกูลหลีก็ไม่มีเครื่องหอมที่ดีออกมาอีก การค้าจึงได้ตกต่ำอย่างมาก”
“อ้อ…” หลีจวินพยักหน้า “องค์หญิงชิงหวั่นรู้แล้ว ไฉนยังมาถามข้าอีก”
“เอ่อ…” องค์หญิงชิงหวั่นหน้าแดงขึ้นมาทันที
ที่นางถามเช่นนี้ เพราะอยากจะเตือนสติหลีจวินว่านางรู้ถึงความลำบากของตระกูลหลี อยากให้เขาทำเหมือนหลิ่วเฟิ่งที่มาขอร้องนาง เอาใจนาง เช่นนี้นางก็สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจแล้ว
ใครจะรู้ว่าหลีจวินกลับไม่เดินไปบนทางที่นางวางแผนไว้ คำพูดไม่กี่คำก็ถามจนนางพูดอะไรไม่ถูก
ลูกตากลอกกลิ้งไปหลายรอบ องค์หญิงชิงหวั่นจึงพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้เกินจริงไปบ้าง”
หลีจวินมองหน้าพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้พูดจา
“เอ่อ เรื่องนั้น…” องค์หญิงชิงหวั่นสีหน้าเก้อเขิน “ข้าเองก็ลองดมกลิ่นเครื่องหอมดูแล้ว เครื่องหอมของแม่นางหลิ่วเหนือกว่าของตระกูลหลีอยู่เพียงเล็กน้อย ดมดูแล้ว ทั้งกลิ่นและรูปแบบแทบจะเหมือนออกมาจากคนคนเดียวกัน ดังนั้น…” นางเม้มปากมองหลีจวิน “หากตระกูลหลีลดราคาเครื่องหอมลงบ้าง คงจะขายออกไปได้”
น่าเสียดาย เมืองต้าเยี่ยถูกหร่วนอวี้และจั่วเฟิงควบคุมไว้ ใครจะกล้าซื้อเครื่องหอมของตระกูลหลีอีกเล่า หลีจวินพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าที่องค์หญิงชิงหวั่นพูดวางท่าเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่
แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่เขาเข้าใจนางดี หญิงผู้นี้จะไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย นางยอมช่วยพูดให้ตระกูลหลีอย่างนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน เขาใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจะดีกว่า อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงองค์หญิง แม้จะรังแกตระกูลหลีอย่างเปิดเผย เขาก็ฆ่านางไม่ได้
เหตุใดเขายังไม่เอ่ยปากขอร้องนางอีก
พูดมากมายเพียงนี้แล้ว เห็นอีกฝ่ายยังคงมีท่าทางสบายใจไม่พูดอะไร มือใต้แขนเสื้อขององค์หญิงชิงหวั่นก็กำแน่นแล้วคลาย คลายแล้วกำแน่น ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม “พี่รองอยากได้กิจการนำเข้าเครื่องหอมของแคว้นเฉินหรือไม่”
กิจการนำเข้า?
หลีจวินตกตะลึง แล้วก็สบายใจในทันที หญิงคนนี้คิดจะเอากิจการนำเข้ามาเครื่องหอมแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสัญญากับแม่นางหลิ่วแล้วมิใช่หรือ ไยยังมาถามข้าอีกว่าอยากได้กิจการนำเข้าเครื่องหอมหรือไม่”
ช่วงหลายวันนี้พวกนางตัวติดกันไม่ห่าง เขาสงสัยว่านางจะรับปากตระกูลหลิ่วไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง คงเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก ทุกเรื่องถือความกตัญญูมาก่อน ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นเฉินดีต่อเขาอย่างไร ก็ต้องเชื่อฟังคำของมารดา องค์หญิงชิงหวั่นเองก็ถือเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของไทเฮา
ที่สำคัญที่สุดเครื่องหอมของร้านอี้เหอยังเหนือกว่าตระกูลหลีหนึ่งขั้น หากถูกองค์หญิงชิงหวั่นทรมานเช่นนี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ ทำให้ตระกูลหลิ่วสมหวัง!
“เปล่าเลย!” องค์หญิงชิงหวั่นพูดโต้กลับโดยไม่ต้องคิด คำพูดออกไปจึงพบว่าตนเองหลงกลอีกแล้ว นางจึงขบกรามแน่น แอบคิดว่ามิน่าเล่าเสด็จพี่ใหญ่จึงบอกว่าความเจ้าเล่ห์ของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมากนัก เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง ต่อไปจะพูดอะไรกับเขา ข้าต้องระวังให้มากกว่านี้แล้ว
“อ้อ…” หลีจวินพยักหน้าเข้าใจ “ที่แท้องค์หญิงก็แค่เปรียบเทียบสินค้า คิดว่าขอเพียงสินค้าของตระกูลหลีลดราคา จึงจะมีโอกาสได้ใบสั่งนำเข้าจากแคว้นท่านหรือ”
เห็นเขาพูดในที่สุด องค์หญิงชิงหวั่นจึงพยักหน้าอย่างแรง “อืม ขอเพียงข้าขอร้องเสด็จแม่ แคว้นเฉินก็จะนำเข้าเครื่องหอมของตระกูลหลีต่อไป…” ความหมายก็คือนางสามารถควบคุมความคิดของเสด็จแม่ได้
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่หลีจวินกังวลที่สุด เขาจึงพยักหน้าไปตามน้ำ “องค์หญิงอยากให้ข้าทำอะไร”
แน่นอนว่าแต่งงานกับนางอย่างไรเล่า!
นับจากวันนั้นที่เห็นเขาอยู่ท่ามกลางทหารนับพันนับหมื่นเด็ดหัวพระปิตุลารอง ช่วยพวกนางเอาไว้ นางก็ชอบเขาโดยไม่อาจหักห้ามใจได้อีก เดินทางรอนแรมมาถึงเมืองต้าเยี่ยแคว้นต้าโจว แน่นอนว่าเพื่อแต่งงานกับเขา รอให้ได้แต่งงานทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเสียก่อน จากนั้นนางค่อยพาเขาไปแคว้นเฉินเพื่อขออภิเษกจากเสด็จแม่และเสด็จพี่ใหญ่ ถึงตอนนั้นดูซิว่าพวกเขาจะยังปฏิเสธหรือไม่
แต่มาถึงเมืองต้าเยี่ยเกือบครึ่งเดือนแล้ว วันนี้กลับเพิ่งได้พบเขา ความร้อนใจขององค์หญิงชิงหวั่นแค่คิดก็พอรู้ได้ หากยังดึงเวลาต่อไป เกรงว่าเสด็จพี่ห้าของนางก็คงกลับมาแล้ว
ตอนที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในวังหลังแคว้นเฉิน นางก็คิดหาทุกวิธีเพื่อจะกำหนดการแต่งงานนี้ขึ้น ใครจะรู้ว่านางยังไม่ทันคิดออก เขาก็จากแคว้นเฉินมาโดยไม่ห่วงอาการบาดเจ็บบนร่าง รอจนนางรู้ข่าว เขาก็ใกล้จะถึงชายแดนแคว้นเฉินแล้ว
หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป นางก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
แต่ต่อให้ใจกล้าเพียงใด ทำเรื่องเกินพอดีเพียงใด อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นหญิง จะให้นางขอบุรุษคนหนึ่งแต่งงานเช่นนี้ นางก็ยังไม่กล้าพอที่จะพูด นางกลอกตาไปมาแล้วเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เงื่อนไขน่ะหรือ ข้ายังคิดไม่ออก แต่ว่า…” เสียงพูดชะงักไป “พี่รองอยากให้ข้าช่วย อันดับแรกต้องดีกับข้าจึงจะถูก”
หลีจวินพยักหน้า “องค์หญิงชอบอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าจะให้คนส่งไปยังที่พักรับรอง”
องค์หญิงชิงหวั่นส่ายหน้า “ข้าพักที่ที่พักรับรองมาพอแล้ว ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิด นับตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าจะย้ายมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลี”
ได้ใกล้ชิดกันทุกวัน นางต้องมีวิธีทำให้เขาเอ่ยปากขอแต่งงานแน่นอน
“ไม่ได้!” หลีจวินส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “องค์หญิงมีฐานะสูงส่ง อยู่ที่ตระกูลหลีถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าตายคงยากจะอธิบายได้”
หากให้นางย้ายมาคฤหาสน์ตระกูลหลี แล้วถูกหร่วนอวี้กับจั่วเฟิงหาช่องว่างได้ นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ตอนนี้พวกเขาเองก็กำลังเตรียมพร้อม สายตาจับจ้องตระกูลหลีอยู่
องค์หญิงชิงหวั่นจะสนใจคำคัดค้านของเขาได้อย่างไร พูดอย่างเอาแต่ใจว่า “เช่นนั้นพี่ก็คุ้มครองข้าให้ดีทุกฝีก้าวสิ!”
พูดจบ นางก็ยิ้มอย่างซุกซนให้หลีจวิน หมุนตัวแล้วเดินจากไป
เช้าวันต่อมานางก็ยืดอกย้ายเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลี
ด้วยความจนใจ หลีจวินจึงจำต้องระดมพลองครักษ์ทั้งหมดของตระกูลหลีคุ้มครองความปลอดภัยขององค์หญิงชิงหวั่นอย่างเต็มที่