“ทำไมคนเยอะเช่นนี้” ออกมาจากสำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียนแล้ว มู่หวั่นชิวก็ต้องตกตะลึง บนถนนมีเสียงแตรดังขึ้นเป็นระลอก เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม บนถนนจากสำนักคุ้มภัยเฮ่าเทียนไปจนถึงประตูเมืองทางใต้ก็มีคนมามุงดูเต็มไปหมด
“ใต้เท้าสวีมาขอฝนอีกแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินตามหลังมู่หวั่นชิวเขย่งเท้ามองเข้าไปข้างใน
“ขอฝน?” มู่หวั่นชิวตกใจ กำลังจะถามต่อ ก็ได้ยินเสียงแหลมตะโกนขึ้นที่ข้างกาย
“ลูกชายข้า!”
มู่หวั่นชิวหันหน้ามา เห็นหญิงชาวบ้านรูปร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่ง กำลังพยายามกระโจนเข้าไปข้างใน “เมืองผิงเฉิงมีเด็กตั้งมากมาย ทำไมใต้เท้าสวีถึงต้องมาเลือกพวกเจ้าด้วย!”
เสียงแหลมนั้นพลันถูกอุดไว้ “กลับไป ลูกของพวกเราถูกเลือกไปบูชายัญเจ้ามังกร นับว่าเป็นวาสนาจากในชาติก่อน” ชายหนุ่มผอมดำคนหนึ่งดึงตัวหญิงชาวบ้านเอาไว้ “ใต้เท้าสวีบอกไว้แล้ว ถ้าอวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สามารถขอฝนให้ชาวบ้านได้ จะมีชื่อถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์” ปากพูดไป แต่ใบหน้าชายผอมดำที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สิ้นหวัง
“ประวัติขี้หมูขี้หมาอะไรกัน มันใช้กินแทนข้าวได้หรือ!” หญิงชาวบ้านออกแรงสะบัดให้หลุดจากฝ่ายชาย ปากก็ตะโกนด่าทอเสียงสูง ทำให้ทุกคนหันมาสนใจ “ข้าแค่อยากให้อวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกายข้า เจ้าไม่เห็นเด็กชายเด็กหญิงพวกนั้นที่ถูกส่งไปหลายครั้งก่อนหน้านี้หรือ มีคนใดบ้างที่มีชีวิตรอดกลับมาบ้าง ฟังเหล่าหลิวคนบังคับรถพูดว่า พบศพของโก่วจื่อที่เพิ่งส่งไปเมื่อวันก่อนที่ปลายน้ำ ถูกแช่จนตัวขาวซีด!”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล จวนว่าการเจ้าเมืองก็บอกแล้วมิใช่หรือ ว่านั่นเป็นแค่ข่าวลือ” ฝ่ายชายปิดปากหญิงชาวบ้านเอาไว้อีกครั้ง
“ข้าไม่สน ข้าต้องการลูกของข้า!” หญิงชาวบ้านสะบัดตัวอย่างบ้าคลั่งจนหลุดพ้นจากชายผิวดำ แล้วหมุนตัวลงคุกเข่า พลางร้องขออย่างน่าเวทนา “พ่อตาหนู สวรรค์ไม่ส่งฝนมาให้ คนที่ได้รับภัยแล้งใช่ว่าจะมีแต่เราเพียงบ้านเดียว แล้วทำไมต้องให้ลูกๆ ของพวกเราไปบูชายัญด้วยล่ะ ข้าขอร้องเจ้าเถอะ เจ้าช่วยไปพูดดีๆ กับใต้เท้าสวี ขอลูกๆ คืนกลับมา นั่นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้านะ เจ้าจะใจร้ายทนเห็นพวกเขาไปเป็นอาหารเต่าเช่นนี้หรือ!”
ฝ่ายชายสีหน้าเหยเก เขาหันหน้ากลับไปทันที ก่อนจะประสานสายตากับใต้เท้าสวีในชุดขุนนางสีแดงสดที่อยู่ในขบวนขอฝนเข้าพอดี เขาตัวสั่นอย่างแรง ก่อนจะหันกลับไปปิดปากหญิงชาวบ้านเอาไว้แน่น แล้วออกแรงลากตัวนางกลับ “ลูกของพวกเราไปปรนนิบัติเจ้ามังกรต่างหากเล่า เจ้าก็อย่าได้พูดจาเหลวไหล ระวังจะถูกฟ้าผ่า!”
มู่หวั่นชิวมองไปยังขบวนขอฝนตามสายตาของชายผอมดำ
หน้าขบวนขอฝนที่ยิ่งใหญ่ คือขุนนางประจำเมืองที่มีระดับขั้นแตกต่างกัน ท่ามกลางเสียงฆ้องกลองนั้น มีคนตะโกนพูดนำขึ้นมา “ขอสวรรค์บันดาลฝนลงมาด้วย” ทุกคนต่างก็พูดตาม แล้วคุกเข่าลงโขกศีรษะ การเดินขบวนสามก้าว โขกศีรษะหนึ่งที ทำให้ขบวนเคลื่อนผ่านไปได้ช้าอย่างมาก
สายตาของมู่หวั่นชิวไปตกที่ตัวเด็กน้อยชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง หน้าตาน่ารัก อายุราวแปดเก้าขวบ ที่ถูกยกสูงอยู่กลางขบวน พลางแอบคิดว่า นี่ก็คือลูกชายหญิงของหญิงชาวบ้านคนนั้น อวี่เอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สินะ เป็นลูกฝาแฝดเสียด้วย เด็กน่ารักแบบนี้ ถ้าเป็นข้าถึงตายก็คงทำใจไม่ได้
เด็กน้อยทั้งสองไม่รู้ว่าการไปในครั้งนี้คือการไปตาย พวกเขาไม่มีท่าทีเศร้าโศกเสียใจเหมือนหญิงชาวบ้านผู้เป็นมารดา ใบหน้าเล็กที่ถูกทาแป้งหนาปั้นหน้าเครียด ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ตัวน้อย ทั้งยังดูจริงจังมาก ราวกับจะไปทำเรื่องอัศจรรย์บางอย่าง มีเพียงดวงตากลมโตที่ดำกระจ่างใสสองคู่ซึ่งฉายความประหลาดใจ ดวงตาแป๋วคอยแอบมองขบวนขอฝนที่ยิ่งใหญ่ เผยให้เห็นหัวใจที่ยังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่
“พี่จู้จื่อ” มู่หวั่นชิวพึมพำเรียก ดวงตาดำเช่นนี้ แววตากระจ่างใสไร้พิษภัยนี้ มีเพียงหม่าจู้เอ๋อร์เท่านั้นที่มี