ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 7 ตอนที่ 3
“ราชเลขาธิการกลับเลือดร้อนคัดค้านนโยบายเจรจาสงบศึกนี้ พูดอย่างหนักแน่นว่าการเจรจาสงบศึกจะเป็นการช่วยให้คนร้ายทำเลวได้ ประกาศจะทำศึกกับชาวทูเจวี๋ย เรื่องจะทำสงครามหรือเจรจาสงบศึกต่างก็โต้เถียงอย่างไม่มีใครยอมแพ้ มู่ซีได้รับจดหมายลับการสมรู้ร่วมคิดที่องค์ชายทูเจวี๋ยเขียนให้กับราชเลขาธิการด้วยตนเองเช่นนี้แล้วยังจะไม่เชื่อได้อีกหรือ เขาจึงรีบยื่นฎีกาแจ้งว่าราชเลขาธิการทรยศแผ่นดินสมคบศัตรู บอกว่าที่เขาเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทำศึก เพราะร่วมกับคนทูเจวี๋ยทำลายแคว้นต้าโจวทั้งในและนอก…”
หลิ่วอู่เต๋อส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงอ่านจดหมายลายมือขององค์ชายจากทูเจวี๋ยแล้วก็ตกพระทัยจนสีพระพักตร์เปลี่ยน เกรงจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนปล่อยให้ราชเลขาธิการหลบหนีไปเสียก่อน ฝ่าบาทจึงฆ่าล้างจวนราชเลขาธิการโดยไม่ได้สอบสวนเลย คนสองร้อยกว่าชีวิต บุรุษถูกฆ่า สตรีถูกขายเข้าหอนางโลมขุนนาง”
“แล้วเหตุใดท่านพ่อจึงช่วยพี่สามเอาไว้” หลิ่วเฟิ่งหน้าซีดขาว แววตาเศร้าสลด “ในเมื่อเป็นศัตรู ไยจึงไม่ฆ่าให้หมด ตัดรากถอนโคน!”
หากตอนนั้นท่านพ่อฆ่าหร่วนอวี้หรือไม่ได้ช่วยเขาเอาไว้ นางก็ไม่ต้องพบกับเขา
ตอนที่ยกเลิกงานแต่งงาน พวกเขาเคยมีปากเสียงกัน เคยหาเรื่องกัน หากสามารถลืมเลือนเขาได้นางก็คงลืมไปแล้ว ยังจะต้องถ่วงเวลามาถึงตอนนี้และไม่ยอมถอนหมั้นเพื่ออะไรอีก นี่เป็นเพราะรากแห่งความรักได้ฝังรากลึกนานแล้ว แต่ท่านพ่อกลับบอกนางว่าคนรักที่ตนเองรักมานานหลายปีเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ สิ่งนี้จะให้นางรับได้อย่างไร
หลิ่วเฟิ่งมองหน้าบิดาด้วยความเย็นชา รู้สึกว่าเขาโหดร้ายมาก
“ตอนนั้นพ่อก็อยากฆ่าเขา!” เห็นแววตาโอดครวญของลูกสาวแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็ถอนหายใจ “เป็นความผิดพลาดจนทำให้อาเฟิ่งต้องมีเคราะห์ในรักนี้ ตอนแรกที่จวนราชเลขาธิการถูกฆ่าล้าง เกรงว่าจะเหลือผลร้ายเอาไว้ พ่อจึงไปตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้ง ตอนกลับมาก็ได้พบอวี้เอ๋อร์ที่ขอทานไปทั่ว จากภาพวาดของสายลับ พ่อจำได้รางๆ ว่าเขาก็คือลูกชายคนเล็กของราชเลขาธิการ จึงพาเขากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เดิมคิดว่าหลังจากพากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วแล้วจะฆ่าทิ้งไม่ให้ใครรู้เสีย ใครจะรู้ว่ากลับถึงคฤหาสน์ก็ได้ยินรายงานจากสายลับว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่เล่าลือกันตกอยู่ในมือราชเลขาธิการ พอได้รับข่าวนี้แล้ว คิดถึงตอนที่ไปตรวจจวนราชเลขาธิการกลับไม่เจอตำราเล่มนี้ ตอนนั้นพ่อสงสัยว่าตำราเล่มนั้นจะอยู่ในตัวอวี้เอ๋อร์จึงเก็บเขาเอาไว้”
“แต่หลังจากท่านพ่อรู้แล้วว่าตำราเล่มนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวพี่สาม เหตุใด…”
เหตุใดยังไม่ฆ่าเขาอีก!
พูดได้เพียงครึ่งเดียวหัวใจหลิ่วเฟิ่งก็บีบตัวจนเจ็บ คำว่า ‘ฆ่าเขา’ เพียงแค่คิดจะพูดก็พูดไม่ออกเสียแล้ว
“ถ้ารู้แต่แรกว่าอาเฟิ่งจะชอบเขา พ่อก็คงคิดจะฆ่าเขาอีกครั้งไปแล้ว แต่เพราะตอนนั้นเลี้ยงดูเขามาได้เกือบสองปี เขาน่ารัก เชื่อฟัง และฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าเรื่องใดเพียงชี้แนะก็เข้าใจทำให้พ่อตัดใจไม่ลงจริงๆ” หลิ่วอู่เต๋อถอนใจ รู้สึกเสียใจที่ไม่ทำเช่นนั้นในตอนแรก “ต่อมาเห็นอาเฟิ่งก่อเรื่องราวมากมาย ในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจจะฆ่าเขา ใครจะรู้ว่าเขากลับถูกอู๋ซวีจื่อที่ท่องเที่ยวมาถึงเมืองต้าเยี่ยหมายตาเข้าเสียได้ จะขอรับเป็นศิษย์ในสำนัก พ่อเองก็ได้ยินสายลับบอกมาว่าอิงอ๋องปิดชื่อแซ่ฝึกยุทธ์อยู่ในสำนักของอู๋ซวีจื่อ เห็นอู๋ซวีจื่อชอบอวี้เอ๋อร์เช่นนี้ พูดว่าเขาเป็นคนมีฝีมือเหมาะจะฝึกวรยุทธ์ ปีนั้นพอดีแม่ทัพจูป่วยตายไป คิดว่าคนที่รู้เรื่องนี้ล้วนตายหมดแล้ว พ่อจึงตัดสินใจส่งเขาไปอยู่ในสำนักอู๋ซวีจื่อที่เขาอวิ๋นสยา หวังว่าภายหน้าจะอาศัยเขาเข้าหาอิงอ๋องแล้วจะได้สร้างความรุ่งเรืองให้ตระกูล ใครจะรู้ว่า…” คิดถึงตระกูลหลิ่วที่เพิ่งสูญเงินสามล้านตำลึงไป คิดถึงอิงอ๋องซึ่งสูญเสียอำนาจบารมีแล้ว หัวใจของเขาก็เหมือนถูกมีดกรีดทีละแผลจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา พูดต่อไปอีกไม่ไหว
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงผ่อนลมหายใจ “ตอนนี้อาเฟิ่งรู้ทุกอย่างหมดแล้วก็ลืมเขาไปเถอะ”
“พี่สามเคยถูกคนงานคนนั้นทำให้หลงใหล ทำให้อาเฟิ่งเสียใจหลายครั้ง หากลืมได้อาเฟิ่งคงลืมไปนานแล้ว!” ผ่านไปครู่ใหญ่หลิ่วเฟิ่งจึงพูดขึ้นมาอย่างเศร้าสลด นางทรุดลงคุกเข่า “ท่านพ่อก็ให้ลูกได้สมหวังเถอะ ผ่านไปนานหลายปีแล้ว หากท่านไม่พูด พี่สามก็ไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้แน่นอน…” คิดถึงว่าตนเองเติบโตมาพร้อมกับหร่วนอวี้ เห็นความบ้าคลั่ง ดื้อรั้นฉายอยู่ในดวงตาหร่วนอวี้ทุกครั้งที่พูดถึงความแค้นตระกูล หลิ่วเฟิ่งก็อดกลัวไม่ได้ นางส่ายหน้าอย่างแรง ก่อนจะพูดหลอกตนเองว่า “ท่านพ่อกับอาเฟิ่งไม่พูด พี่สามก็ไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้ ต่อไปอาเฟิ่งจะไม่เอาแต่ใจอีก มีใจให้เขาเพียงผู้เดียว ไถ่โทษให้กับท่านพ่อ!”
“อาเฟิ่งเลอะเลือนเสียจริง!” หลิ่วอู่เต๋อสีหน้าเปลี่ยนไป “ถ้าอิงอ๋องได้อำนาจ เรื่องอัครเสนาบดีมู่ถูกใส่ร้ายก็จะจมอยู่ใต้ก้นทะเล อวี้เอ๋อร์ย่อมไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่” เขาส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง เสียงพูดค่อยๆ แผ่วลง “ตอนที่ตระกูลหร่วนถูกฆ่าล้างตระกูล ทางการค้นไม่เจอหลักฐานอื่นที่ท่านพ่อของอวี้เอ๋อร์ติดต่อกับชาวทูเจวี๋ย เมื่อใคร่ครวญถึงนิสัยของราชเลขาธิการแล้วมู่ซีก็รู้ว่าตนเองฆ่าผิดคน แต่เมื่อทำผิดไปแล้ว โดยเฉพาะคดีนี้ฝ่าบาททรงตัดสินด้วยพระองค์เอง เขาจะพลิกคดีง่ายๆ ได้อย่างไร ต่อมาอวี้เอ๋อร์ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น พอออกมาก็ติดตามอิงอ๋องไปเป็นขุนนางในราชสำนัก เพราะเห็นเงารางๆ ของใต้เท้าราชเลขาธิการบนใบหน้าเขา แวบแรกที่อัครเสนาบดีมู่เห็นก็จำได้ว่าเขาเป็นลูกอดีตราชเลขาธิการ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงตัดรากถอนโคนไปด้วยแล้ว แต่ว่าอัครเสนาบดีมู่เป็นคนเถรตรง ด้วยรู้สึกละอายใจต่อใต้เท้าราชเลขาธิการ แต่ไม่รู้ว่าอวี้เอ๋อร์กับอิงอ๋องเป็นศิษย์สำนักเดียวกันจึงตั้งใจดูแลเขาเป็นพิเศษ ผลปรากฏว่าทำให้อวี้เอ๋อร์ได้ช่องว่าง…”