หลิ่วอู่เต๋อส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “แต่ถ้าองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ คงจะพลิกคดีให้อัครเสนาบดีมู่เป็นคนแรก แล้วก็ขุดหาที่มาของเรื่องราว มีความเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบเรื่องในอดีตนั้นพบ” ในแววตาฉายความดุร้าย “แผนการในตอนนี้มีเพียงอวี้เอ๋อร์ต้องตายเท่านั้น! ทำให้องค์รัชทายาทตรวจสอบเบื้องหลังของอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อีกจึงจะปิดบังเรื่องนี้ได้ ปกป้องชีวิตตระกูลหลิ่วของเรา!” หลิ่วอู่เต๋อมองลูกสาวอย่างเศร้าสลด “อาเฟิ่งจะล้างตระกูลหลิ่วเพราะความรักของตนเองอย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่ออย่าพูดอีกเลย!” หลิ่วเฟิ่งฟุบลงบนหัวเข่าหลิ่วอู่เต๋อแล้วร้องไห้โฮ
“เมื่อควรตัดแต่ไม่ตัดก็ต้องรับผลร้ายเช่นนี้ ตอนแรกถ้ามู่ซีไม่สนใจความละอายใจที่เคยมีนั้น ถ้าตอนนั้นที่พบชาติกำเนิดของอวี้เอ๋อร์และฆ่าเขาไปเสีย จะทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างไร” หลิ่วอู่เต๋อขยี้ผมหลิ่วเฟิ่งเบาๆ “อาเฟิ่งอยากให้ตระกูลหลิ่วของพวกเราเป็นตระกูลมู่ที่สองหรือ” เขาถอนหายใจเอื่อย “พ่อแก่แล้ว อวี้เอ๋อร์อยากได้ชีวิตของพ่อก็ช่างเถอะ พ่อไม่เสียดาย แต่อาเฟิ่งยังเด็กนัก หากต้องอยู่คนเดียวอย่างลำบากบนโลกนี้แล้วปล่อยให้เขารังแกไป พ่ออยู่ในปรโลกก็ยากจะตายตาหลับได้” ในน้ำเสียงฉายความเศร้าอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้หลิ่วเฟิ่งร้องไห้จนพูดไม่ออก
ตอนหลิ่วอู่เต๋อทำการค้าที่ชายแดนทูเจวี๋ย เขาถูกชาวทูเจวี๋ยจู่โจมจนบาดเจ็บถึงจุดให้กำเนิดชีวิต จำต้องไร้บุตรคนที่สองไปชั่วชีวิต มีหลิ่วเฟิ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เพื่อให้กิจการตระกูลที่สร้างมากับมือมีคนสืบทอด เขาจึงรับเลี้ยงลูกชายไว้ห้าคน บอกว่าเลี้ยงลูก แต่แท้ที่จริงแล้วอยากให้หนึ่งในนั้นเป็นลูกเขยของตนเอง
ในจำนวนห้าคนนี้ เดิมทีคนที่เขาหมายตาไว้คือลูกคนที่สองหลิงเทา ซึ่งเป็นคนสุภาพอ่อนโยน มีความรักในตัวหลิ่วเฟิ่ง แต่ว่าหลิงเทาเป็นศิษย์ที่อัครเสนาบดีมู่ภูมิใจ หลังจากอัครเสนาบดีมู่ถูกให้ร้ายแล้วเขาจึงพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ถูกลดขั้นหนึ่งขั้น ส่วนหร่วนอวี้ที่ติดตามอิงอ๋องกลับรุ่งเรืองขึ้น หลิ่วอู่เต๋อจึงเปลี่ยนมาเลือกเขาแทน
แม้จะเลือกหร่วนอวี้ แต่เขาก็ยังแอบติดต่อหลิงเทาอยู่เสมอ ด้วยกังวลว่าหากอิงอ๋องสิ้นอำนาจแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้หลิงเทาปีนไปหาองค์รัชทายาทได้
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ใช้งานจริงๆ
วิธีที่ควรใช้ล้วนใช้หมดแล้ว เห็นหลิ่วเฟิ่งร้องไห้ ไม่ยอมรับปาก สุดท้ายหลิ่วอู่เต๋อก็ขบกรามแน่น “ก็ได้ ในเมื่ออาเฟิ่งเป็นตายก็จะแต่งงานกับอวี้เอ๋อร์ เช่นนั้นพ่อจะเอาชีวิตนี้ให้อวี้เอ๋อร์แลกกับชีวิตทั้งตระกูล!” เขาทำท่าทางเหมือนทหารหาญที่ตัดแขนตนเอง
“ท่านพ่อ…” หลิ่วเฟิ่งเรียกอย่างเศร้าสลด “อาเฟิ่งรับปาก อาเฟิ่งรับปากแต่งงานกับพี่รอง!”
“ดี…” หลิ่วอู่เต๋อผ่อนลมหายใจอย่างแรง ดวงตาฉายประกายสดใส
กำลังจะเอ่ยปากปลอบใจสักสองสามประโยคก็รู้สึกว่าแผ่นหินใต้ฝ่าเท้าสั่นเบาๆ หลิ่วอู่เต๋อสะดุ้ง
“ใคร!” เขาเงยหน้าขึ้นทันใด
“ท่านพ่อ…” หลิ่วเฟิ่งหยุดร้องไห้แล้วเช่นกัน
ปล่อยตัวหลิ่วเฟิ่งแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็รีบเดินออกจากห้อง
นอกประตูมีลมพัดเอื่อยพร้อมกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาเข้าจมูก ยังจะมีเงาคนเสียที่ใด
องครักษ์ชุดดำสี่คนยืนตัวตรงอยู่ที่ปากประตูเรือนซึ่งไกลออกไป เห็นเขาเดินมาจึงพากันโค้งคำนับ “คารวะนายท่าน”
“เมื่อครู่ในเรือนนี้มีใครเข้ามาหรือไม่” ปากพูดถาม แต่สายตาหลิ่วอู่เต๋อกลับกวาดมองไปทางยอดไม้บนหลังคา
“ไม่มีขอรับ” องครักษ์ส่ายหน้า สายตาก็มองไปยังบนหลังคาที่ว่างเปล่าเช่นกัน “บ่าวทำตามที่นายท่านสั่ง เฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอด”
เพราะต้องปรึกษาเรื่องแผนทำร้ายหร่วนอวี้ องครักษ์หลายคนที่หลิ่วอู่เต๋อเลือกมาจึงล้วนเป็นยอดฝีมือ หากมีคนลอบเข้ามาจริง พวกเขาไม่มีทางไม่รู้อะไรเลย คิดถึงตรงนี้หลิ่วอู่เต๋อก็แอบสบายใจ
แต่เมื่อคิดถึงแรงสะเทือนที่รับรู้ได้เมื่อครู่นี้ เขาก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมารางๆ อีกครั้ง
“ท่านพ่อ…” กำลังมองไปโดยรอบ หลิ่วเฟิ่งก็วิ่งออกมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นางไม่เป็นวรยุทธ์และด้วยอารมณ์อ่อนไหวจึงไม่ได้รับรู้ถึงแรงสะเทือนเมื่อครู่
เห็นนางร้องไห้จนตาบวมแดง เกรงว่าจะถูกองครักษ์เห็นพิรุธเข้า หลิ่วอู่เต๋อจึงรีบดึงนางเดินกลับไปข้างใน “ข้างนอกลมแรง อาเฟิ่งเข้าเรือนไปคุยกันเถอะ”
สองพ่อลูกกำลังเดินอยู่ก็มีสาวใช้รีบวิ่งมาตาม “เรียนนายท่าน คุณหนูใหญ่ ปรมาจารย์กู่มีเรื่องด่วนขอพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
กู่ฉิน?
ตอนนี้นางมาวุ่นวายอะไรด้วย
สองพ่อลูกสบตากัน หลิ่วอู่เต๋อจึงเอ่ยปากพูด “ไป พ่อจะไปกับอาเฟิ่ง”
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 17 มีนาคม)