overgraY
เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย
ฉีถานบอกว่าพ่อค้าขายจอกสุรานั้นอยู่บนเรือใหญ่กลางแม่น้ำชานเมืองหลวง เมื่อข้ากับหลิ่วถงอี่เร่งไปถึงฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เรือสำราญจุดไฟสว่างไสว
ฉีถานนั่งอยู่กลางโถงในเรือสำราญ มือถือจอกสุรามองนางระบำในชุดพื้นเมืองฝั่งตะวันตกร่ายรำ
ในห้องโถงนอกจากเขาแล้วยังมีอีกหลายคน บางคนข้าคุ้นหน้า เกือบทั้งหมดเป็นลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวง ฉีถานที่ทำท่าทางลึกลับเหมือนปลอมตัวมาตรวจราชการลุกขึ้นแล้ววิ่งมาทางนี้ ดึงชายแขนเสื้อข้าพร้อมพูดเสียงเบาหวิว “เสด็จอา ในที่สุดท่านก็มา อ้อ เสนาบดีหลิ่วท่านก็มาด้วย เสด็จอา คนที่นี่ไม่ทราบว่าท่านกับข้าคือใคร อย่าได้เปิดเผยตัวตนเชียวล่ะ”
ข้ารับคำ ในใจพลางคิดว่าเจ้าเด็กนี่ตะลอนทั่วเมืองหลวงทั้งวัน จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักใบหน้าของเจ้า ล้วนแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเจ้าเท่านั้น
ฉีถานนำข้าและหลิ่วถงอี่ไปนั่ง คนอื่นที่อยู่ที่โต๊ะแม้ไม่ได้แสดงท่าที แต่สายตากลับเหลือบมองมาทางนี้ตลอด
ไหวอ๋อง เสนาบดีหลิ่ว ยังมีไต้อ๋องสามคนเที่ยวเรือสำราญด้วยกัน เรื่องประหลาดนี้พรุ่งนี้ต้องรู้กันทั่วราชสำนักแน่นอน
ข้าพูดกับฉีถาน “จอกสุราที่เจ้าต้องการจะซื้ออยู่ที่ใด คงไม่ใช่ที่เจ้าถืออยู่กระมัง”
ฉีถานพูดยิ้มๆ “จะเป็นของที่อยู่ในมือของข้าได้อย่างไร นี่มิใช่เพื่อรอเสด็จ…รอท่านอากับคุณชายถงจึงยังไม่ให้เถ้าแก่สวี่นำออกมา” ก่อนหันไปพูดกับคนผู้หนึ่งที่นั่งด้านข้าง “เถ้าแก่สวี่ คนที่ข้ารอได้มาถึงแล้ว ท่านไปนำของออกมาได้”
เถ้าแก่ผู้นั้นอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปี หน้าผากแคบคางอูม ค่อนข้างอ้วน สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ ลักษณะท่าทางแลดูซื่อตรง เขารับคำครั้งหนึ่ง ก้มตัวโค้งมาทางนี้แล้วหมุนตัวเข้าไปในประตูด้านข้าง ครู่เดียวก็เดินถือกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา
เถ้าแก่สวี่นำกล่องไม้วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพวกข้า ค่อยๆ เปิดฝากล่องช้าๆ และระมัดระวัง ด้านในกลับมีกล่องเล็กอีกใบ เปิดออกอีกครั้ง ยังมีอีกกล่อง เปิดออกอีก ยังมีอีกกล่อง จนกระทั่งเปิดถึงกล่องที่ห้าถึงเผยให้เห็นผ้าแพรสีแดงเข้ม
ของเล่นนี่มีลูกเล่นการห่อเยอะเสียจริง
เถ้าแก่สวี่ประคองของที่มีผ้าแพรแดงห่อไว้ออกมาไว้ตรงหน้าฉีถาน คล้ายประคองไข่แดงดิบอันบอบบาง
ฉีถานถูมือรับมาแล้วค่อยๆ เปิดผ้าออก
จอกสุราขึ้นรอยด่างสนิมใบหนึ่งวางนอนอยู่บนผ้าแพรแดง บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของมัน
เห็นมันขึ้นสนิมเช่นนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นของที่โจวเหวินหวางเคยใช้จริงๆ
คล้ายฉีถานกลัวว่ารอยนิ้วจะทำมันสกปรก จึงยกมันพลิกดูไปมาผ่านผ้าในมือ ข้ารับมาดูต่อ ฉีถานชี้บอกอยู่ด้านข้าง “ท่านอา ท่านดูรูปร่างภายนอกของจอกสุรานี้ แล้วดูลายนี้ จะต้องเป็นของโบราณราชวงศ์ซางแน่นอน ลองดูรอยสนิมนี่อีก สนิมเขียวชั้นหนาถึงเพียงนี้ ถ้าไม่มีอายุร้อยปีพันปีคงสะสมได้ไม่มากเท่านี้แน่”
แววตาของเขาเป็นประกาย คล้ายจะมองทะลุมือทะลุชุดข้าลึกเข้าไปถึงชั้นที่มีตั๋วเงินอยู่แล้วล้วงมันออกมา
ข้ายื่นจอกสุราส่งให้หลิ่วถงอี่เงียบๆ
หลิ่วถงอี่รับมาไว้ในมือ มองๆ ดูแล้วเอ่ยปาก “เถ้าแก่สวี่ ตามความเห็นข้าจอกนี้คล้ายมิใช่ของราชวงศ์ซาง”
ข้าคาดไว้ก่อนแล้ว จึงยิ้มออกมา
เถ้าแก่สวี่ทำหน้าตกใจ “คุณชายท่านนี้ ท่านอย่าได้พูดจาสะเปะสะปะ ข้าน้อยค้าขายสุจริตจริงใจ จะกล้านำของปลอมออกมาหลอกลวงทุกท่านได้อย่างไร”
ฉีถานก็แสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “หลิ่ว…คุณชายถง ท่านลองมองให้ละเอียด ของชิ้นนี้แค่มองก็รู้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีความเป็นมาหลายปี ถ้ามิใช่ของราชวงศ์ซาง แล้วจะเป็นของปีใดกัน”
หลิ่วถงอี่วางจอกสุราไว้บนโต๊ะ ก่อนพูดอย่างเรียบง่าย “ตามความเห็นของข้า เป็นของเมื่อปีที่แล้ว”
สีท้องฟ้ามืดสนิท ข้ากลับจวนอ๋องท่ามกลางแสงดาว
ฉีถานเซื่องซึมยิ่ง จอกสุรานั้นหลิ่วถงอี่วินิจฉัยว่าเป็นของปลอม ทั้งยังเป็นของปลอมชั้นเลวอีกด้วย หลิ่วถงอี่บอกว่าการทำของปลอมเช่นนี้ง่ายดายยิ่ง ก่อนอื่นทำแบบขึ้นมาตามวัตถุโบราณที่ต้องการปลอมแปลง แล้วหลอมทองแดงหนึ่งหม้อ เทลงแบบตามต้องการกี่ชิ้นก็ย่อมได้ จากนั้นก็โยนลงแช่ในน้ำมันสกปรก ฝังไว้ในดินเลนสองสามวัน ก่อนตากแดดอีกสองสามวัน ทำเช่นนี้สลับกันหลายๆ ครั้ง สุดท้ายเมื่อผ่านการฝังดินและแช่น้ำ หลังจากเจ็ดแปดเดือนผ่านไป ก็จะเกิดรอยด่างสนิมซึ่งเป็นร่องรอยของวัตถุโบราณแล้ว
คนในราชสำนักต่างทราบดี นอกจากสามเนื้อร้ายแล้ว ในราชสำนักยังมีอีกสองคม คมที่หนึ่งคือสายตาของเสนาบดีหลิ่ว คมที่สองคือปากของใต้เท้าอวิ๋น
สายตาของเสนาบดีหลิ่ววินิจฉัยเช่นนี้ ฉีถานรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก บรรดาคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่พลันเรียกคนของทางการให้นำตัวเถ้าแก่สวี่ไปยังจวนว่าการ ทั้งยังยึดสินค้าของเขาไปด้วย
หลิ่วถงอี่ไปดูด้วยความสนใจ ในลังสินค้าใหญ่หลายใบของเถ้าแก่สวี่ นอกจากกล่องไม้ที่เป็นของจริงแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นของปลอมลอกเลียนแบบทั้งสิ้น
ของปลอมถูกเหล่าขุนนางมือปราบโยนทิ้งไว้เต็มเรือ เงิน ทอง เหล็ก ทองแดง หยก หิน แก้ว วิบวับสว่างภายใต้แสงเทียนแลดูน่าชม เสียดายที่สีหน้าฉีถานไม่น่าชมตามไปด้วย
ข้ากล่าวว่าเด็กหนุ่มต้องพบเจอคลื่นมรสุมบ้าง พลาดพลั้งกันบ้างถึงยิ่งแข็งแกร่ง
หลิ่วถงอี่ยืนอยู่ด้านข้างทำทีประหนึ่งคนนอก หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาเล่น
ข้าเขยิบเข้าไปดู ที่แท้เป็นหินหยกก้อนมน ในเนื้อสีขาวมีลายสีแดงเข้ม แวววาวน่ารัก ข้าเดาว่านี่คงจะเป็นวัตถุดิบของสินค้าปลอมที่เถ้าแก่สวี่ทิ้งไว้ ถ้าย้อมสีอีกสักเล็กน้อยก็สามารถย้อมเป็นหินเลือดนกก้อนหนึ่ง แกะสลักปลอมเป็นตราประทับขึ้นชื่อของราชวงศ์ก่อนได้
หลิ่วถงอี่มองมัน แล้ววางมันกลับไป อีกครู่ของปลอมเหล่านี้คงถูกบรรดามือปราบนำกลับจวนว่าการเพื่อใช้เป็นหลักฐานตอนตัดสินคดี
ฉีถานถูกจอกสุราทำร้ายสาหัส หลังออกจากเรือสำราญก็บอกว่ามีธุระ คงจะไปหาที่ดื่มสุราแล้ว
ข้านั่งรถม้าคันเดียวกับจวนหลิ่วถงอี่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมาก รถม้าคันนั้นไปส่งข้ากลับวังอ๋องก่อน ที่หน้าประตูวังอ๋อง ข้าลงจากรถ กล่าวขอบคุณหลิ่วถงอี่ “วันนี้รบกวนเสนาบดีหลิ่วยิ่งแล้ว”
หลิ่วถงอี่ลงมายืนข้างรถ แย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องเกรงใจมากไปแล้ว” ในสายลมยามดึก รอยจีบชุดยาวสีหยกของเขาไหวน้อยๆ คล้ายคลื่นน้ำทะเลสาบ
ข้าหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าเขา “ของเล็กน้อยนี้ หวังว่าเสนาบดีหลิ่วจะยินดีรับไว้”
หลิ่วถงอี่มองของสิ่งนั้นพลางเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ที่ข้าทำคงเรียกว่าขโมยดอกไม้ถวายพระ* หวังว่าเสนาบดีหลิ่วจะเมตตา อย่าได้แจ้งศาลสถิตยุติธรรมมาจับ ข้าคิดว่าหินก้อนเล็กเท่านี้ไม่อยู่ในกองของปลอมเหล่านั้นคงมิเป็นไร”
ปลายหางตาของหลิ่วถงอี่โค้งลงเล็กน้อย “ท่านอ๋องไม่เพียงให้ข้าทำเป็นคนหูหนวกตาบอด ทั้งยังให้ข้ารับสินบนอีกด้วย”
ข้าพูดอย่างเหงาหงอย “เสนาบดีหลิ่วไม่รับหรือ”
ปลายหางตาของหลิ่วถงอี่โค้งมากขึ้นอีกนิด หยิบหินเล็กก้อนนั้นไปจากมือของข้า แล้วยกชายแขนเสื้อขึ้น “ขอบคุณท่านอ๋อง ข้าน้อยขอลา”
ข้ามองเขาก้าวขึ้นรถม้า รถม้าจากไปไกลในสีของราตรี หนึ่งคืนนี้แทบเท่ากับสิบปีที่ผ่านมาของข้า
ที่แท้ท่าทีเคร่งขรึมคร่ำครึในยามปกติของหลิ่วถงอี่มิใช่ความจริงทั้งหมด
ข้ามองไม่ผิดจริงๆ
ถ้าเป็นบัณฑิตเคร่งตำราจริง จะขึ้นเป็นเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร
ข้าย่างก้าวผ่านลมเย็นอันอ่อนโยนยามราตรีเข้าไปในวัง เพิ่งเข้าประตูไปก็รู้สึกไม่ถูกต้อง
ข้างประตูมีคนตบเท้าพูดกับข้าว่า “โอ้ไหวอ๋อง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ข้าก็ต้องชะงักไป
ไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง ดึกดื่นปานนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร…ข้าซอยเท้าเดินเข้าสู่ห้องโถงหลัก ตลอดทางค่อยๆ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ข้าคิดไว้นั้นเป็นไปได้จริงๆ
ข้าจัดแจงเสื้อผ้าก้าวเข้าสู่โถงหลัก กำลังจะคุกเข่า คนด้านหน้าก็เอ่ยเสียงที่คุ้นเคย “ในที่สุดเสด็จอาก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องมากพิธี พบเราที่บ้านของท่านเองไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกฎเกณฑ์”
ข้าโค้งกาย “ถวายพระพรฝ่าบาท มิทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาจึงไม่ทันได้ต้อนรับ ขอฝ่าบาทโปรดอภัย”
ฮ่องเต้หลานของข้าที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางโถงหลักเอ่ยอย่างรำคาญ “เสด็จอา ท่านยืดลิ้นของท่านให้ตึงแล้วพูดกับเราดีๆ สิ”
ข้าได้แต่ยืดตัวตรง แย้มยิ้มพูดว่า “ฝ่าบาท กลางดึกเช่นนี้ เสด็จมาได้อย่างไร”
ประโยคนี้นับว่าสามารถทำให้ฝ่าบาทพอใจได้เล็กน้อย ทรงพิงพนักเก้าอี้ รับถ้วยน้ำชาที่ขันทีถวาย “วันนี้ยามหัวค่ำเราได้ยินมาว่าวิกฤตในครอบครัวของเสด็จอาค่อนข้างรุนแรง ชายาท่านแขวนคอตายแต่ไม่สำเร็จ ผู้ต้องสงสัยอีกคนเอาศีรษะโขกกำแพงกัดลิ้น เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เสด็จแม่มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงไร้กำลังพอจะมาข้องเกี่ยว พอออกจากวังแล้วเสด็จอาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เราจึงได้แต่มาดูที่วังของเสด็จอาด้วยตนเอง ดูแลเรื่องภายในวังแทนเสด็จอา มิรู้ว่าเสด็จอาจะรังเกียจว่าเรายุ่มย่ามเกินไปหรือไม่”
ที่แท้ระหว่างเวลาที่ข้าเข้าวังจนกลับมา ในวังอ๋องวุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ
ข้าพลันทูลว่า “เรื่องในครอบครัวกระหม่อมต้องรบกวนถึงฝ่าบาท กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาททรงเห็นใจกระหม่อม กระหม่อมซาบซึ้งในพระกรุณาหาที่สุดมิได้”
ฉีเจ่อหลุบตา ใช้ฝาถ้วยปัดใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำชา “ทั้งมิกล้า ทั้งซาบซึ้งในพระกรุณา เสด็จอาหักโหมร่างกายเช่นนี้ต้องดูแลสุขภาพร่างกายด้วย เราได้ยินมาว่าหัวค่ำวันนี้เสด็จอากับเสนาบดีหลิ่วไปเที่ยวเรือสำราญด้วยกัน ฟังบทเพลงบรรเลงบนแม่น้ำ มิรู้ว่ายามนี้ยังเพลิดเพลินอยู่หรือไม่”
ข้ายืนอยู่กับหลิ่วถงอี่ตรงหน้าประตูวังอ๋อง คิดว่าคงมีคนด้านในสังเกตเห็นอยู่ไม่น้อย
ข้าทูลว่า “เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ บ่ายวันนี้ไต้อ๋องต้องการซื้อวัตถุโบราณ กระหม่อมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงเชิญเสนาบดีหลิ่วไปช่วยตรวจสอบให้”
ฉีเจ่อพูดว่า “อืม เมื่อครู่ฉีถานยังมาโอดครวญกับข้า เขาบอกว่าเหตุใดเสด็จอาต้องรบกวนเสนาบดีหลิ่ว ทำให้วันนี้เขาต้องติดค้างบุญคุณหลิ่วถงอี่ พานถูกทำให้ขายหน้าด้วย”
ในห้องโถงมีคนมากมาย เมื่อครู่ข้ารีบเข้ามา ทันแค่กวาดสายตามองสองครา ไม่ได้มองชัดเจนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้มีใครบ้าง
ข้ากล่าวว่า “ที่จริงไต้อ๋องกลับไปก่อนกระหม่อมก้าวหนึ่ง เขาบอกว่าจะไปดื่มสุรา กระหม่อมจึงได้แต่กลับมาพร้อมกับรถม้าของเสนาบดีหลิ่ว ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาถึงเรือนของกระหม่อมก่อน ทั้งยังทูลฟ้องกับฝ่าบาท หากวันหน้าเขาไม่มีเงินแล้วมาเอากับอาอย่างกระหม่อม กระหม่อมจะไม่ให้ยืมแน่” ข้ามองซ้ายขวา “เจ้าเด็กไต้อ๋องไปไหนเสียแล้ว กระหม่อมขอคิดบัญชีกับเขาก่อน” กวาดสายตามองไปก็เห็นแต่องครักษ์และขันที ไม่เห็นฉีถาน
ฉีเจ่อช้อนตามอง เผยให้เห็นรอยยิ้ม “ฉีถานรู้ว่าเราอยู่ที่วังไหวอ๋อง เกรงว่าเราจะรอท่านนาน ถึงตั้งใจเร่งมาบอกกล่าวกับเราก่อน แต่บอกไปบอกมากลายเป็นบ่นโดยไม่เจตนา พอเขาพูดออกมาตัวเองก็เสียใจภายหลัง กลัวเสด็จอาจะกลับมาสั่งสอนเขา จึงกลับไปก่อนแล้ว ก็ตอนที่เสด็จอาพูดคุยกับเสนาบดีหลิ่วที่ประตูหน้า เขาก็ไปทางประตูหลัง เสด็จอาอย่าโทษเขาเลย”
ข้าแย้มยิ้มตาม “ฝ่าบาทตรัสช่วยเช่นนี้ แม้เมื่อครู่กระหม่อมอยากจะคิดบัญชีกับเขาอย่างไร ถึงตอนนี้ก็คงไม่อยากแล้ว”
ฉีเจ่อพูดว่า “เสด็จอา ขณะนี้เวลานี้ เราก็ไม่รู้ว่าควรชมท่านว่าใจกว้างระงับอารมณ์ได้ดีหรือไม่ ฉีถานไม่ทราบเรื่องราว ระหว่างทางเขาได้ข่าวว่าเรามาที่วังอ๋องก็คิดว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน จึงเร่งร้อนมาบอกกล่าวแทนท่าน ส่วนทางด้านเสด็จอาช่วยเหลือหลานเรียบร้อยแล้ว อาศัยรถของเสนาบดีหลิ่วค่อยๆ กลับมา ลงจากรถแล้วยังไม่ลืมสนทนากันอีกสักครู่”
ไม่เพียงสนทนากัน ยังมอบสิ่งของให้กันด้วย ไม่รู้ว่าคนเล่าได้แปลงหินน้อยก้อนที่ข้ามอบให้หลิ่วถงอี่เป็นสิ่งของล้ำค่าอันใดแล้ว
ค่ำวันนี้ข้าได้ใกล้ชิดกับหลิ่วถงอี่เพียงเล็กน้อยก็ดีใจจนลืมตัว พอดีกับที่ฉีเจ่อมายังวังอ๋อง ช่างบังเอิญนัก
แม้ข้าจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่กระทำการตรงไปตรงมาไร้ข้อปิดบัง ข้ามองฉีเจ่อพร้อมกล่าวอย่างเปิดเผย “เนื่องจากคนที่กระหม่อมรบกวนคือเสนาบดีหลิ่ว จึงต้องยกย่องสักเล็กน้อย กระหม่อมไม่ค่อยสนิทสนมกับเขาจึงคิดสนทนากันมากขึ้นเพื่อให้คุ้นเคยกัน”
ฉีเจ่อเหลือบตามองข้า วางถ้วยชาในมือกลับไปไว้ในถาดที่ขันทีทูนยกอยู่
ข้ารีบพูดต่อ “กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาวังอ๋อง มิเช่นนั้นจะต้องกลับมาเร็วยิ่งกว่าม้านำสาส์นสงครามเสียอีก”
ฉีเจ่อโบกมือปัด “พอเถอะ ยิ่งพูดต่อไปหัวข้อสนทนาคงไปไกลเกินสิบหมื่นแปดพันลี้** แล้ว เสด็จอา หมอหลวงได้ตรวจดูชายาแล้ว นางไม่เป็นอะไรและฟื้นคืนสติแล้ว เราถามนางหลายประโยค นางก็พูดบ้าง”
ดูจากท่าทีของฉีเจ่อแล้วข้าก็มองออก สิ่งที่ชายาพูดและกระทำจะต้องไม่น้อยไปกว่าเมื่อเช้าแน่
ฉีเจ่อพูดว่า “เสด็จอา ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป เราจัดการเรื่องครอบครัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ท้ายที่สุดก็ยังต้องฟังความเห็นจากเสด็จอา”
ข้าเอ่ยอย่างลังเล “กระทบถึงฝ่าบาทแล้ว…ตามหลักสมควรให้สำนักราชวังมาจัดการ แต่…กระหม่อมยังคิด…”
ฉีเจ่อเลิกคิ้ว “ยังคิดให้จบลงภายในวังอ๋อง?”
ข้าถอนหายใจ “หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น…หน้าตาของกระหม่อม…ก็คงเหลืออยู่ไม่มาก หากเรื่องถึงสำนักราชวัง คงไม่หลงเหลือสักส่วนแล้ว”
ฉีเจ่อนั่งพิงเบาะผ้าต่วนสีเหลืองลายมังกรที่ขันทีเตรียมเพิ่มบนเก้าอี้ “เสด็จอาคิดจะจัดการชายากับเหอจ้งเช่นไร”
“ชายาตั้งครรภ์จริงๆ แต่นอกจากคำพูดของนางแล้ว ก็ไร้หลักฐานพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับเหอจ้งคนทำบัญชี กระหม่อมรู้สึกว่ายังต้องหาหลักฐาน อีกทั้งกระหม่อมรู้สึกว่ามารดาผิด แต่บุตรบริสุทธิ์…” ข้าตอบ
ฉีเจ่อพูดว่า “อืม มีเหตุผล เวลานี้ไม่อาจตัดสินว่าในครรภ์ของชายาเป็นลูกของใคร เช่นนั้นจัดแจงให้ชายาพักในสถานที่เงียบสงบ รอให้นางคลอดลูกแล้วค่อยพิสูจน์ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จอาหรือไม่ค่อยว่ากัน”
ข้าปวดศีรษะ ยิ่งพานทำให้กระดูกสันหลังหนักอึ้ง ไม่อาจไม่ทูลว่า “เรื่องนี้มิต้องพิสูจน์แล้ว…กระหม่อมแน่ใจ…เด็กในครรภ์ของชายามิใช่ลูกของกระหม่อม…”
เดิมทีในห้องโถงก็เงียบอยู่แล้ว หลังจากข้าพูดประโยคนี้ก็คล้ายจะยิ่งสงัด
สีหน้าของฉีเจ่อค่อนข้างยากหยั่งถึง ครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก “ในเมื่อเสด็จอามั่นใจ เห็นแก่ที่เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ท่านขอร้องแทนนางเรายอมอภัยได้ แต่เราไม่เข้าใจ เหอจ้งเป็นเพียงบัณฑิตที่รับไว้ในวังอ๋อง ถ้ามิใช่เกิดขึ้นจริง เหตุใดชายาถึงบอกว่าเป็นเขา แล้วเหตุใดเสด็จอาถึงยืนยันจะสืบสวนอีก ไม่เชื่อคำพูดของชายาเช่นนั้นหรือ” ทรงมองข้าจากบนลงล่างรอบหนึ่ง “หรือไม่ก็จับเหอจ้งไปขังไว้ที่สำนักราชวังก่อน”
ข้าถอนหายใจอีกครั้ง “กระหม่อมรู้สึกว่าคำพูดของชายาน่าสงสัยอยู่หลายประการ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น กระหม่อมไม่อยากตัดสินรวบรัด หากชายชู้เป็นอีกคนกลับไม่ได้รับโทษ กระหม่อมคงทนไม่ได้แน่นอน”
ฉีเจ่อยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ย่อมทนไม่ได้ เสด็จอาพูดได้มีเหตุผล” สายตาเฉียบคมคล้ายจะมองทะลุใบหน้าของข้า
ครู่หนึ่งฉีเจ่อพลันลุกขึ้นยืน “เสด็จอา ท่านตามเราไปที่ห้องรับรองด้านใน คนอื่นไม่ต้องตามมา เราต้องการสนทนากับไหวอ๋องตามลำพัง”
* ขโมยดอกไม้ถวายพระ เป็นสำนวนจีน หมายถึงการใช้ของของคนอื่นไปประจบเอาใจอีกคนหนึ่ง
** สิบหมื่นแปดพันลี้ เป็นสำนวน แปลว่าห่างไกลหรือแตกต่างกันมาก