overgraY
เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย
ห้องรับรองที่ฉีเจ่อกล่าวถึงคือห้องขนาดเล็กที่ถูกคั่นด้วยโถงรองซึ่งอยู่ด้านหลังโถงหลัก เดิมทีไว้ใช้รับรองแขกที่บางครารู้สึกเหนื่อยล้าก็สามารถพักผ่อนที่นี่ได้ ปกติแล้วข้าก็ชอบอยู่ที่ห้องนี้เช่นกัน
ก้าวข้ามประตูกั้นมา ฉีเจ่อก็มองไปรอบด้าน “ของประดับห้องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสักเท่าใด”
ข้ายืนเยื้องไปด้านหลังยิ้มแย้มรับคำ “เพราะกระหม่อมเป็นคนเกียจคร้าน”
ฉีเจ่อเอียงศีรษะเหลือบมองข้าครั้งหนึ่ง “ที่นี่มีเพียงท่านกับเรา มิต้องแทนตัวว่ากระหม่อมแล้ว ปิดประตูห้องเถิด”
ข้ารีบทำตาม ปิดประตูห้องทันที
ฉีเจ่อเอามือไพล่หลังมองข้า “เหอจ้งผู้นั้น เราได้เจอแล้วเมื่อตอนบ่าย อ่อนแอนุ่มนิ่ม มิน่าเสด็จอาถึงทะนุถนอม”
แผ่นหลังของข้าขนลุกชัน รีบตอบคำทันที “ฝ่าบาท เหอจ้งผู้นั้นมิใช่…”
ฉีเจ่อพูดว่า “พอเถิด ไม่ต้องปิดบัง ความชมชอบของท่านคิดว่าเราไม่รู้หรือ”
ข้าแก้ต่างอย่างจริงจัง “กระหม่อม…แม้…ค่อนข้าง…มีความชอบบางอย่าง แต่ก็เคร่งครัดระมัดระวัง ไม่นำคนกลับมาที่วังอ๋องเด็ดขาด ข้าเห็นเขาตกอับน่าสงสาร แต่มีความรู้ความสามารถ จึงคิดทำบุญทำกุศล ถึงให้เขามาอยู่วังอ๋อง หางานให้ทำประทังชีวิต ข้าไม่ได้ปกป้องเขา เพียงแค่พอคาดเดาได้ว่าอาจเป็นเพราะชายาเข้าใจเขาผิดถึง…”
ฉีเจ่อขมวดคิ้ว “ในวังอ๋อง หากชายาไม่พอใจเขา จะจัดการเขาอย่างไรก็ย่อมได้ เหตุใดต้องทำให้ตัวเองตั้งครรภ์เพื่อใส่ร้ายเขา”
ข้าถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “เกรงว่าชายาไม่ได้ต้องการเล่นงานแค่เขา ยิ่งต้องการเล่นงานข้าด้วย บางครั้งการกระทำกับความคิดของสตรีก็ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปคาดคะเน”
ฉีเจ่อหรี่ตา หัวเราะครั้งหนึ่ง “ไม่ว่าพูดเช่นไรเสด็จอาก็มีเหตุผลทั้งสิ้น ฉีหลี่เคยกล่าวว่าเพียงท่านเอ่ยปาก เหตุผลทั้งหมดก็อยู่ข้างท่านทั้งสิ้น”
ข้าก้มศีรษะ “กระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมพูดตามความจริงเสมอ”
ฉีเจ่อเดินช้าๆ สองก้าว ก่อนหันกลับมาหยุดตรงหน้าข้า “พูดตามความจริงเช่นนั้นหรือ คำพูดของท่านทำให้เราไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จเสมอ เฉกเช่นที่ท่านพูดว่าท่านชมชอบบุรุษ เมื่อครั้งที่เสด็จแม่เป็นแม่สื่อ เราเป็นเจ้าภาพให้ท่านแต่งกับชายา ท่านกลับยอมแต่ง ตามที่เราได้ยินมา ท่านมักเสเพลมีที่นี่คนหนึ่ง ที่นั่นคนหนึ่ง ที่เราเคยได้ยินชื่อก็มีไม่น้อย ทั้งสกุลจาง สกุลหลี่ คล้ายอวิ๋นอวี้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”
ได้ยินชื่อสุดท้ายนั้น ข้าพลันเงยหน้าพูด “ไม่…”
ฉีเจ่อพูดแทรกคำข้า “แต่หัวใจของเสด็จอาคล้ายจะไม่เคยมีผู้ใด ขนาดอวิ๋นอวี้ยังรั้งท่านไม่อยู่ หรือเสด็จอาจะหมายตาหลิ่วถงอี่ไว้อีกคน”
แผ่นหลังของข้าเย็นเฉียบ จึงปรับน้ำเสียงให้ราบเรียบเสีย พูดขึ้นอย่างช้าๆ “ฝ่าบาท แม้กระหม่อมจะมีความชมชอบเช่นนั้น แต่ก็เป็นที่หอโคมเขียวทั้งสิ้น มิได้เห็นผู้ใดก็คิดไม่ซื่อต่อผู้นั้น ทำให้ความสัมพันธ์คลุมเครือ ใต้เท้าอวิ๋นกับเสนาบดีหลิ่วล้วนเป็นขุนนางที่ดีของฝ่าบาท เสาหลักของราชสำนักจะมาแปดเปื้อนเพราะคนอย่างกระหม่อมได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรชื่อเสียงของกระหม่อมก็กระฉ่อนแล้ว น้ำเน่าไม่กลัวแปดเปื้อน แต่หากทำลายชื่อเสียงของขุนนางที่ดี แม้จะตายเป็นเศษซากก็คงไม่อาจลบล้างความผิดได้แล้ว”
ในห้องเงียบสงัดไปชั่วครู่ ฉีเจ่อก็เอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “เราแค่พูดข่าวลือเหล่านั้นเพื่อล้อท่านเล่น ท่านจำต้องดูถูกตนเองถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ไหวอ๋องเป็นเสาหลักของราชสำนักเรา เป็นคนที่เราให้ความสำคัญ ท่านดูถูกตัวเองจนไม่เหลือค่าแล้วเราควรทำเช่นไรดีเล่า”
ข้าพูดว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตไปวันๆ มิได้กระทำประโยชน์ต่อฝ่าบาทต่อราชสำนัก ฝ่าบาทตรัสชมเกินไปแล้ว”
เงียบงันไปอีกครู่หนึ่ง ฉีเจ่อก็พูดว่า “เฉิงจวิ้น เราอยากถามท่านมาตลอดว่าที่อยู่ในใจของท่านคือสิ่งใด”
ข้าพูดชัดๆ ทีละคำ “ที่อยู่ในใจของกระหม่อมคือความซื่อสัตย์ต่อฝ่าบาทกับราชสำนัก”
ฉีเจ่อจ้องข้าครั้งแล้วครั้งเล่า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นเราถึงพูดว่าไม่รู้ควรเชื่อประโยคใดของท่านดี ก่อนหน้าท่านพูดว่าใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่กระทำประโยชน์อันใดต่อเรากับราชสำนัก ต่อมากลับพูดว่าในใจมีเพียงความซื่อสัตย์ต่อเรากับราชสำนัก”
ข้าพลันยิ้มน้อยๆ “แม้จะใช้ชีวิตไปวันๆ ไร้ประโยชน์ แต่ความซื่อสัตย์เต็มหัวใจ ซื่อสัตย์ใช่ว่าต้องมีคุณประโยชน์”
ฉีเจ่อสะบัดชายแขนเสื้อ “เอาเถิด ถือว่ามีเหตุผลยิ่ง เช่นนั้นเรื่องของชายาเราก็จะขอเกี่ยวข้องเพียงเท่านี้ เสด็จอาจัดการต่ออย่างเหมาะสมเถิด เหอจ้งผู้นั้นก็เช่นกัน ครอบครัวของท่าน ท่านก็พิจารณาดูแลเอง”
ข้าเปิดประตูห้อง รอจนฉีเจ่อผ่านประตูไปแล้วถึงตามไป รู้สึกกายใจค่อนข้างอ่อนล้า
‘สามขวบเห็นถึงโต เจ็ดขวบเห็นถึงชรา’* คำพูดนี้บอกไว้ไม่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย
ย้อนนึกถึงฉีเจ่อเมื่อยังเล็กทั้งเงียบเรียบร้อยยิ่ง ใครจะคิดว่าเวลานี้จะร้ายกาจเช่นนี้
คนจะเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไรในอนาคต ก่อนจะเปลี่ยนไปใครก็ไม่อาจคาดเดา
ในที่สุดฝ่าบาทก็ยกขบวนเสด็จกลับวังแล้ว ข้าส่งเสด็จถึงประตู เมื่อกลับเข้าด้านในวังก็รู้สึกเท้าล่องลอย
ข้ายืนอยู่ข้างนอกประตูห้องที่คุมขังชายาไว้ อยากจะเข้าไป แต่ก็กลัวว่านางเห็นข้าแล้วจะยิ่งคลุ้มคลั่งจนยากจะจัดการ ดังนั้นจึงเดินจากไป อ้อมไปยังห้องเล็กหลังวังที่ขังเหอจ้งไว้ เพิ่งเดินถึงข้างระเบียงทางเดินก็คิดได้ว่านางกำนัลในวังหลายคนเป็นคนของชายาและค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อนาง เป็นไปได้ที่พรุ่งนี้อาจมีคนหนึ่งคนใดไปบอกกับนางว่าเมื่อวานท่านอ๋องไม่ได้ไปเยี่ยมชายาแต่ไปยังห้องของเหอจ้ง ไม่แน่อาจไร้หนทางจัดการยิ่งกว่าเดิม
ข้าจึงหมุนตัวกลับไป พลันคิดได้อีก หรือจะไม่ต้องไปเยี่ยมใครเลยสักคนดี
แต่แปดเก้าในสิบส่วนเป็นไปได้ว่าเหอจ้งจะถูกชายาใส่ร้าย ได้ข่าวมาว่าหลังจากเขาเข้าวังมาก็ทุ่มเทชีวิตทำงาน ไม่ได้เงินสักเท่าไร มาวันนี้ทั้งโขกกำแพงทั้งกัดลิ้นจนน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ไม่ไปเยี่ยมเลยก็จะดูไร้เมตตาจนเกินไป
จะเยี่ยมเหอจ้งก็ต้องเยี่ยมชายาก่อน
ข้าเดินถึงประตูห้องชายา คิดขึ้นได้อีกแล้วว่าถ้าพรุ่งนี้นางกำนัลบอกกับชายาว่าเมื่อวานท่านอ๋องเยี่ยมท่านแล้วก็รีบไปเยี่ยมเหอจ้งทันที ก็คล้ายจะอันตรายอยู่เหมือนกัน
ข้าลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่หน้าประตูห้องชายา หัวหน้าพ่อบ้านเฉาที่อยู่ข้างกายข้าพูดขึ้นว่า “ในใจท่านอ๋องนึกถึงชายามาโดยตลอด บ่าวดูออก ท่านอ๋องกับชายาขัดเคืองกันมาจนถึงขั้นนี้ ในใจของบ่าวรู้สึก…” พลางใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา
“ใช่แล้ว มีคนกล่าวไว้ ได้เป็นสามีภรรยาคือวาสนาที่ร่วมสร้างกันมาแต่ชาติก่อน เพียงแต่วาสนาของข้ากับชายาเมื่อชาติก่อนคงไม่ได้สร้างกันดีพอ” ข้าตอบก่อนยกมือขึ้นพูดกับหัวหน้าพ่อบ้านเฉาว่า “เปิดประตู”
ข้าเดินเข้าไปในห้อง ชายานอนอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าด้านใน หน้าเตียงมีนางกำนัลเฝ้าอยู่สี่คน ป้องกันไม่ให้นางคิดสั้นอีก
เหล่านางกำนัลทำความเคารพข้าแล้วก็ถอยจากไปอย่างรู้ความ หัวหน้าพ่อบ้านเฉายังปิดประตูให้ข้าอย่างเอาอกเอาใจอีกด้วย
ข้ามองชายา ได้แต่ถอนใจไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่พูดก็คงไม่ดี ข้าใคร่ครวญอยู่ค่อนวันจึงพูดว่า “วันนี้ชายาคงได้ระบายโทสะบ้างแล้วกระมัง”
ชายาแค่นหัวเราะครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ท่านอ๋องไม่ถามข้าหรือว่าลูกเป็นของใคร”
ข้าไม่พูดจา นางก็แค่นหัวเราะพูดต่อ “ปกติแล้วท่านอ๋องวางท่าเหลือเกิน มาวันนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าถึงพบว่าท่านเป็นลูกเต่าอ่อนปวกเปียก ถึงข้าตายก็จะไม่บอกว่าพ่อของเด็กคือใคร”
ข้าพูดว่า “ประโยคนี้ของเจ้าเท่ากับบอกข้าว่าเจ้าใส่ร้ายเหอจ้ง”
สีหน้าชายาแปรเปลี่ยน ก่อนจะเชิดหน้าพูดต่อ “ตอนนี้มีแต่ท่านกับข้า มิใช่โถงใหญ่ของสำนักราชวัง แม้ข้าจะบอกท่านแล้ว แต่ก็จะยังลากเหอจ้งให้ตายไปกับข้าด้วย”
ข้าพูดว่า “ข้ารู้แจ้งอยู่แก่ใจก็พอ”
ชายากล่าวว่า “ท่านอ๋องยังบอกว่าไม่เคยมีสัมพันธ์เกินเลยกับเหอจ้งอีก ดูท่านร้อนใจสิ”
ข้าพูดว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ ข้าเองก็จนปัญญา เพียงแต่เหตุใดเจ้าจำต้องกระทำกับตัวเองเช่นนี้ด้วย”
ชายาเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยวาจา
ข้าหันหลังกลับ “เรื่องนี้ฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตให้ข้าตัดสินใจแล้ว ปล่อยเจ้ามาถึงขั้นนี้ ข้าเองก็มีส่วนผิด ข้าจะหาทางออกที่ดีให้กับเจ้า”
เมื่อข้าเปิดประตูก็ได้ยินชายาพูดอยู่เบื้องหลัง “ที่จริงก่อนข้าจะแต่งเข้าวังอ๋องข้าก็เกลียดท่านแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ข้าทำเช่นนี้เพียงเจ็บใจในชะตาชีวิตของข้า เหตุใดข้าต้องมีชะตาชีวิตเช่นนี้ด้วย”
ข้าเปิดประตู พูดในท้ายที่สุด “ดังนั้นเจ้าจึงทำชีวิตของตัวเองให้น่าเวทนากว่าเดิมเช่นนั้นหรือ”
สภาพของชายาเช่นนี้ ข้าหมดปัญญาจะพูดอะไรกับนางอีกจริงๆ จึงเดินก้าวออกจากประตูห้องไป
เมื่อออกมาแล้วข้าก็ไปยังห้องที่คุมขังเหอจ้งไว้
เหอจ้งนอนอยู่บนเตียงเช่นกัน บ่าวหลายคนเฝ้าอยู่ในห้อง เมื่อเห็นข้าเข้ามาก็คำนับแล้วถอยออกไป หัวหน้าพ่อบ้านเฉาปิดประตูให้ข้าอีกครั้ง
ข้าไม่รู้ว่าเหอจ้งตื่นหรือสลบอยู่ เดินไปถึงข้างเตียงพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เป็นชายาใส่ร้ายเจ้า เจ้าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ขออภัยอย่างยิ่ง”
ศีรษะของเหอจ้งที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวหลายทบขยับเล็กน้อย น้ำตาสองสายไหลจากหางตาของเขาช้าๆ
ข้าพูดต่อว่า “แม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีหลักฐาน แต่พรุ่งนี้จะต้องมีคำตอบให้เจ้าแน่นอน”
เมื่อข้าออกมาจากห้อง หัวหน้าพ่อบ้านเฉาก็ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะสืบสวนอย่างไรกันดีขอรับ”
ข้าพูดว่า “นำตัวนางกำนัลของชายาไปแยกขังไว้คนละห้อง บอกกับพวกนาง ถ้าบอกตัวชายชู้ของชายาออกมา ข้าจะฆ่าแค่ชายผู้นั้น ไม่ฆ่าชายา ถ้าไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะให้ชายาเดินทางไปยมโลก”
หัวหน้าพ่อบ้านเฉาไปจัดการทันที ก่อนไปยังไม่ลืมกล่าวว่า ‘ท่านอ๋องปราดเปรื่องยิ่ง’
วันต่อมาเรื่องนี้ก็น้ำลดหินโผล่** ชายชู้ของชายาคือองครักษ์ผู้หนึ่งในวังอ๋อง คนผู้นี้เป็นคนคุ้มกันในจวนขุนนางหลี่ เมื่อข้าแต่งงาน ขุนนางหลี่ก็มอบเขาให้กับข้า ข้าเดาว่าเขาคือสายสืบที่ไทเฮาวางตัวไว้ในวัง จึงรับตัวไว้ ให้เขาเป็นองครักษ์ฝ่ายใน
เมื่อไปจับตัวคนผู้นั้น เขาก็หนีไปแล้ว หลังจากชายาตั้งครรภ์เคยขอให้เขาพาตัวเองหนีไปด้วยกัน คนผู้นั้นกลับมอบยาให้ชายาแท้ง จึงกล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วชายาถูกเขาทำให้สะเทือนอารมณ์ แต่ไม่คิดโทษคนรัก ดังนั้นจึงโทษชะตาชีวิตของตนเอง ชะตาชีวิตทำให้นางกับคนรักของนางมีฐานะแตกต่างกัน ไม่อาจมีจุดจบที่ดี และแล้วก็พานแค้นคนที่บังคับนางแต่งงานจนทำให้ชีวิตนางเป็นเยี่ยงนี้รวมทั้งข้า
ความจริงนี้ทำให้ข้าค่อนข้างเจ็บปวด เดิมทีข้าเคยคาดเดา หรือชายาจะเปลี่ยนใจมารักข้าอยู่นานแล้ว ผู้ชายเช่นข้าควรจะทำให้นางฝากหัวใจไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่นางเป็นคุณหนูในห้องหอ ไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าก็คร้านจะไปสังเกต สุดท้ายนางรักจนเกิดเป็นความแค้น เมื่อวานเห็นท่าทีที่นางแค้นเคืองข้าและใส่ร้ายเหอจ้ง กล่าวตรงๆ ก็คือรู้สึกหึงหวง ถ้าไม่ได้มีรักลึกซึ้ง จะมีแค้นรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร
ใครจะคิดว่าความจริงเป็นเช่นนี้ นอกจากข้าจะตกตะลึงแล้วก็อดเศร้าสลดไม่ได้
แต่เหตุใดต้องใส่ร้ายเหอจ้งด้วย
หลังจากชายาได้ข่าวว่าองครักษ์หนีไปแล้วก็คลุ้มคลั่งอีกครั้ง แต่แตกต่างจากเมื่อวาน นางทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ชี้หน้าข้าแล้วพูดว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากเข้าวังอ๋องข้าจะตัดขาดจากเขา เคยคิดจะยอมท่าน แต่ท่านกลับชมชอบบุรุษ ในเมื่อท่านชอบบุรุษไยต้องมาแต่งงานกับข้า ข้าแค้นท่าน ข้าต้องการให้ท่านอยู่ไม่สู้ตาย ข้าต้องการให้ท่านทุกข์ทรมานไม่ว่าชอบใครก็ตาม”
อ้อมค้อมเสียนานก็ยังเป็นความผิดของข้าอยู่ดี
ถึงเวลานี้แล้วข้าก็คร้านจะถือสาชายาอีก จึงพูดตามใจนาง “เอาเถิด ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เจ้าคบชู้กับองครักษ์ ใส่ความผู้อื่น ลอบตั้งครรภ์กับชายชั่ว ทำลายชื่อเสียงของวังอ๋องและของข้า ถึงแม้ชื่อเสียงของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องทำลายแล้วก็ตาม…เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษเจ้าอย่างไรดี”
ชายากัดริมฝีปาก พลันร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล
ข้าถอนหายใจพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะหาสำนักชีให้เจ้าไปสวดมนต์กินเจ ทำจิตใจให้สงบ ปลดเปลื้องปมในใจ แล้วคลอดลูกอย่างปลอดภัย” ข้าพูดอย่างมีเมตตา “ไม่ว่าอย่างไร เด็กก็ไม่มีความผิด”
เวลานี้ข้ารู้สึกว่าแม้จะกลายเป็นเต่า แต่ก็เป็นเต่าที่มีวงแหวนประกายแสงบนศีรษะ
ช่วงบ่าย อวิ๋นอวี้มาที่วังไหวอ๋องทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนชุดขุนนาง เขานั่งอยู่ในศาลาในสวน ยิ้มแย้มพูดว่า “ท่านอ๋องเป็นเทพเต่า จิตใจกว้างขวางยิ่งนัก”
ข้าแทบประคองสีหน้าไว้ไม่ได้ “ใต้เท้าอวิ๋น ข้าประสบวิกฤตครอบครัว จิตใจบอบช้ำสาหัส โปรดเห็นใจสักเล็กน้อย”
อวิ๋นอวี้พูดว่า “ไม่เป็นกระไรหรอก อาการสาหัสของท่านอ๋อง ค่อยหาหนุ่มน้อยหน้ามนสองคนมาปลอบประโลมแล้วกัน ค่อนคืนนี้ก็คงหาย” ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ได้ข่าวมาว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเสด็จมาที่วังไหวอ๋อง”
“ใช่ ตอนนั้นข้ากับไต้อ๋องและเสนาบดีหลิ่วไปดูของโบราณด้วยกัน มิทันได้รับเสด็จ ตอนนี้ยังรู้สึกละอายนัก พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็คิดขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกับใต้เท้าอวิ๋น เมื่อวานฝ่าบาท…ตรัสถามข้าบางอย่าง เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของข้า…กับท่าน”
อวิ๋นอวี้เลิกคิ้ว “อ้อ” วางแขนไว้บนที่เท้าแขน แววตาเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย สีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยน พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเมื่อครู่ “ฝ่าบาทตรัสว่าระหว่างข้ากับท่านไหวอ๋องเป็นอย่างไร”
ข้าพูดว่า “ฝ่าบาททรงสงสัยว่า…ข้ากับใต้เท้าอวิ๋นมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น ความชมชอบของข้าเป็นที่รู้กันทั่ว ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้แสดงว่ามีคนเคยตั้งข้อสังเกต เวลานี้กำลังอยู่ในช่วง…ใต้เท้าอวิ๋นจะหลบเลี่ยงสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าเกรงว่าจะกระทบกระเทือนชื่อเสียงของท่าน”
อวิ๋นอวี้ไม่พูดจา จ้องมองข้า สักครู่ก็พูดยิ้มๆ “ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องหลบเลี่ยง ชื่อเสียงของข้าคือขุนนางชั้นเลวบุตรชายของขุนนางชั่วช้า ไม่ได้น้อยหน้าไหวอ๋องเลยแม้แต่น้อย ข้าก็นิสัยเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น นอกจากท่านอ๋องกลัวว่าถูกข้าทำให้เดือดร้อน คิดหลบเลี่ยงข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่มาแล้ว”
ข้ามองตอบสายตาของเขา ได้แต่พูดยิ้มๆ “ใต้เท้าอวิ๋นมักพูดจนผู้คนไม่อาจโต้ตอบ ข้าไหนเลยจะกล้าไม่ให้ท่านมา ในเมื่อท่านไม่ถือสา เช่นนั้นก็ทำตัวเช่นเดิม”
อวิ๋นอวี้ไม่ได้ตอบกลับหลายประโยคอย่างหาได้ยากยิ่ง เพียงยืนขึ้น มองดอกโบตั๋นหลายดอกนอกศาลา ก่อนเอียงหน้าเล็กน้อยเหลือบมองมาทางข้า “ฝ่าบาทก็ตรัสไว้ไม่ผิด ข้ากับท่านอ๋อง เมื่อพูดถึงเรื่องที่ไม่ชัดเจนก็พอมีอยู่บ้าง”
คำพูดนี้ของเขาถึงกับทำให้มือข้าที่ถือถ้วยชาอยู่สั่น “ใต้เท้าอวิ๋น ข้าขออภัยท่านเป็นหมื่นครั้งแล้ว วันนี้ขออภัยอีกครั้ง ครั้งนั้นเป็นข้าดื่มสุรามากไปจึงจำคนผิด หวังว่าใต้เท้าอวิ๋นจะใจกว้างให้อภัย”
กล่าวถึงเมื่อครั้งนั้น ช่างเป็นความผิดเล็กน้อยครั้งหนึ่งในช่วงเวลาหลายปีที่ข้าเชยชมบุปผา ข้าจำได้ว่าครั้งนั้นฉีหลี่เป็นเจ้าภาพ บอกว่ามีของดีจะให้ทุกคนได้ชม วันนั้นฉีถานมายังวังไหวอ๋องเพื่อยืมเงินข้า คนส่งเทียบเชิญตามมาถึงวังไหวอ๋องมอบเทียบเชิญให้แต่ฉีถาน กลับไม่เชิญข้า
ข้าจึงพูดล้อเล่นกับฉีถานว่าไม่รู้ฉีหลี่ได้ของหายากอะไรมาถึงหวงไม่ยอมให้อาคนนี้ได้เห็น และอาศัยความมีอายุมากกว่าไปพร้อมกับฉีถาน เมื่อถึงวังของฉีหลี่ พระโอรสองค์อื่น อวิ๋นอวี้ หวังซวน เหล่าหลานๆ ของข้าและคนหนุ่มที่เคยเล่นด้วยกันต่างอยู่กันทั้งสิ้น ข้าพูดกับฉีหลี่ว่า ‘มีของดีอะไรไม่กล้าให้อาเห็น’ ฉีหลี่มองข้าโดยไม่พูดอะไรพร้อมปรบมือ
ครู่หนึ่งนางระบำผมสีทองตาสีเขียวร่างอรชรอ้อนแอ้นสวมอาภรณ์เปิดเปลือยก็มาถึงด้านหน้าที่นั่ง แล้วเริ่มยักย้ายส่ายเอวเต้นระบำ ท่าระบำแตกต่างจากระบำของแคว้นของข้า ส่ายอกเปลือยขา กระโปรงผ่า โปรยเสน่ห์ยั่วเย้า หลานของข้าและเหล่าเด็กหนุ่มที่เหลือมองจนตาค้าง สีหน้ามัวเมาลุ่มหลง
ข้าอดสะท้อนใจไม่ได้ เด็กเหล่านี้ถูกอบรมเข้มงวดตั้งแต่เด็ก มิค่อยได้เปิดหูเปิดตา
ฉีหลี่มองข้าที่เฉยชาพูดว่า ‘เสด็จอา ท่านคงทราบแล้วว่าเหตุใดหลานถึงไม่เชิญท่าน’
ยังดีที่ฉีเฝ่ยรู้จักกตัญญูต่อผู้ใหญ่ จึงใช้คนให้พาข้ารับใช้หน้าตาหมดจดมาเทสุราให้ข้า เสียดายที่ส่วนมากอายุยังน้อย ข้ามิใคร่ชอบพวกที่ยังไม่โตเต็มที่ ในบรรดาข้ารับใช้มีเพียงคนเดียวซึ่งอายุมากหน่อยที่พอถูกใจข้าบ้าง ข้าดึงมือเขามานั่งสักครู่ นางระบำส่ายเสียจนข้ามึนศีรษะ ข้าจึงย้ายไปดื่มสุราที่ศาลาเงียบสงบในสวน เพียงให้ข้ารับใช้ที่ถูกใจผู้นั้นอยู่ด้านข้าง หลังเที่ยงอากาศอบอุ่น ดื่มสุราไปไม่กี่จอกรู้สึกเพลียเล็กน้อย จึงหลับพักผ่อนในศาลาชั่วครู่
ขณะกำลังนอนหลับมึนๆ งงๆ อยู่นั้น ได้ยินคนตะโกนข้างหูว่า ‘ท่านไหวอ๋อง ท่านไหวอ๋อง’ เสียงเข้ามาในหู จั๊กจี้จนใจคันยุบยิบ ข้านึกว่าเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่รับใช้ผู้นั้น จึงยกมือขึ้นโอบข้างกาย คว้าชายแขนเสื้อได้ก็ดึงเข้าหาตัวมากอดหอม
ไม่ไกลออกไปมีเสียงร้อง ‘ไอ้หยา แย่แล้ว เสด็จอากอดผิดคนแล้ว’
ข้าลืมตาขึ้น ถึงรู้ว่าเข้าใจผิดใหญ่โตมาก คนที่ถูกข้าดึงมากอดแนบอกนั้นคืออวิ๋นอวี้
ถึงจะหน้าหนาอย่างข้า ขณะนั้นหน้าก็ร้อนขึ้นมาได้ ยังดีที่อวิ๋นอวี้ตั้งรับสถานการณ์ได้ ยืนขึ้นลูบผมแล้วพูดยิ้มๆ ‘ไหวอ๋องหลับจนมึนงงแล้ว คิดว่าข้าน้อยเป็นคนงามผู้ใดหรือ’
ข้าลุกขึ้นยืน รีบกล่าวขอโทษ ‘ขออภัย ขออภัย’
อวิ๋นอวี้อมยิ้ม ‘มิเป็นไร มิเป็นไร เมื่อครู่เป็นข้าน้อยเดินเข้าไปใกล้เกินไป’
ฉีหลี่ยืนอยู่ข้างศาลาใช้พัดเคาะฝ่ามือพร้อมพูดว่า ‘ครั้งหน้าเสด็จอาจะดึงใคร อย่าลืมลืมตาก่อนแล้วค่อยดึง’
เรื่องนี้ถูกฉีหลี่ปากแตรเห็นเข้า คิดว่าต่อไปคนที่รู้แล้วนำไปพูดล้อเล่นกันเองคงมีไม่น้อย ย้อนนึกถึงตอนนั้น ขนาดสายตาของฉีเจ่อที่มองข้ายังแปลกๆ อาจเพราะเขาเองก็ทราบเรื่องนี้เมื่อวานถึงพูดจาเช่นนั้น
อวิ๋นอวี้พูดขึ้นช้าๆ “เอ่ยถึงเรื่องนั้น ข้าควรจะกล่าวขอบคุณท่านอ๋องที่รักเอ็นดู” ข้ากระแอมครั้งหนึ่ง ยกถ้วยขึ้นจิบชา
อวิ๋นอวี้ยืนมองดอกไม้ พูดต่อว่า “ท่านอ๋องส่งชายาไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชี แล้วเหอจ้งผู้นั้นเป็นเช่นไรแล้ว”
ข้าพูดว่า “เขาถูกใส่ร้าย ควรชดเชยให้มาก ข้าฝากให้ฉีหลี่หาสถานที่อย่างสำนักบัณฑิต รอจนเขาพักฟื้นหายจากอาการบาดเจ็บแล้วก็จะส่งตัวเขาไป อาศัยช่วงเวลานี้กระทำเรื่องเพิ่มชื่อเสียงอันดีงามให้ไหวอ๋องบ้าง คงมีประโยชน์อย่างยิ่ง”
อวิ๋นอวี้หมุนกายกลับมา “การกระทำของท่านอ๋องคล้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดตัวนั้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
มือข้าชะงัก วางถ้วยลง
อวิ๋นอวี้พูดว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล รอบๆ นี้ไร้ผู้คน”
ข้าพูดว่า “ใต้เท้าอวิ๋น คำพูดบางอย่างไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด”
อวิ๋นอวี้ยิ้ม “รับบัญชาท่านอ๋อง เพียงแต่ท่านอ๋องไม่รู้สึกว่าเรื่องของชายามีเงื่อนงำบ้างหรือ นางกระทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตเหมือนตั้งใจทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋อง ขนาดชีวิตยังกล้าสละได้ ไม่แน่ว่าอาจได้รับการชี้แนะจากที่ใด ส่วนเหอจ้ง…”
“ข้ารู้แล้ว อย่างไรก็ตามควรนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว”
อวิ๋นอวี้จึงกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว ข้าน้อยขอลา” เมื่อเดินถึงข้างกายข้า เขาก็หยุดฝีเท้าลง พูดด้วยเสียงที่เบาลง “คืนมะรืนที่หอเยวี่ยหวา ท่านอ๋องอย่าได้พะวงชื่อเสียงจนไม่มา บิดากับใต้เท้าหวังฝากข้ามาบอกท่านเป็นพิเศษ ยังมีหลิ่วถงอี่ ท่านอ๋องอยู่ห่างไว้สักหน่อยจะดีกว่า ข้าทราบว่าท่านอ๋องเข้าใกล้เขาต้องมีแผนการอยู่ แต่ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ตึงมือยิ่ง เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อท่านอ๋อง”
ข้าพูดว่า “อืม ข้าเข้าใจดี จะระมัดระวังยิ่งขึ้น”
อวิ๋นอวี้จากไปช้าๆ ข้ามองแผ่นหลังเขาเดินไปไกล หายไปที่มุมของทางเดินแคบ
อวิ๋นอวี้นะอวิ๋นอวี้ ประสบความสำเร็จแต่ยังเยาว์วัย ตำแหน่งสูงส่ง เฉกเช่นดอกโบตั๋นที่เบ่งบานไร้ผู้เทียบเทียม ในวัยขนาดเขานี้สิ่งที่เขาครอบครองถือว่าหาได้ยากยิ่งในแผ่นดินแล้ว
เหตุใดถึงคิดไม่ตก ต้องร่วมกับบิดาวางแผนกบฏด้วย
* สามขวบเห็นถึงโต เจ็ดขวบเห็นถึงชรา เป็นสำนวน หมายถึงพฤติกรรมในตอนเด็กส่อแววว่าโตขึ้นมาจะเป็นคนเช่นไร
** น้ำลดหินโผล่ เป็นสำนวน หมายถึงความผิดความชั่วร้ายที่ปกปิดไว้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน