ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่สาม
พระราชวังงดงามอร่ามตาถูกอาบย้อมอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ทองอร่าม แลดูสูงส่งประหนึ่งแดนเทพแดนสวรรค์ กำแพงสีแดงกระเบื้องสีเขียวอันโอ่อ่า หลังคาซ้อนเป็นชั้นๆ ชายคาโค้ง ศาลาตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว แผ่นกระเบื้องเคลือบสีทอง รวมไปถึงพื้นที่ปูด้วยอิฐทองคำล้วนแผ่กลิ่นอายอันสูงส่งแห่งราชวงศ์ไว้อย่างชัดเจน
ตามกฎระเบียบแล้วนางข้าหลวงจะต้องพาพวกนางมายังภายในตำหนัก แล้วบอกให้แต่ละคนขานชื่อเสียงเรียงนามและบ้านเกิดตามลำดับ ทว่าสตรีลำดับที่หนึ่งยังไม่ทันอ้าปากกล่าวคำก็มีเสียงแหลมเล็กของบุรุษดังแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ!”
นางข้าหลวงพลันตระหนกรีบวิ่งเหยาะๆ ไปรับหน้าแล้วคุกเข่าถวายบังคม ส่วนเหล่าสาวงามที่ไม่เคยสัมผัสถึงธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวงต่างพากันฝีเท้าลนลาน ก่อนจะทรุดกายถวายบังคมโดยไม่สนว่าท่วงท่าจะถูกหรือไม่ตรงหน้ากงกง* ผู้มาถ่ายทอดราชโองการ ไม่ว่าใครต่างก็คาดไม่ถึงว่าราชโองการขององค์จักรพรรดิจะมาถึงเร็วปานนี้ เหล่านางข้าหลวงที่รับผิดชอบดูแลหญิงงามมาหลายปีล้วนไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจจึงพลันคล้ายตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้นำเหล่าสาวงามไปยังสวนดอกโบตั๋น ฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกผู้ที่ต้องพระทัยด้วยพระองค์เอง!” สั้นๆ ง่ายๆ เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงทั่วทั้งลาน แต่ละคนปีติเหลือล้น อย่างน้อยก็เลี่ยงความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสในช่วงของการฝึกอบรมไปได้ ทั้งยังได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิตามเสียงเล่าลือได้ในเร็ววัน
มีเพียงไป๋เสวี่ยฝูที่ยังคงคุกเข่าอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าไม่เผยอารมณ์มากนัก นางไม่เหมือนเช่นสตรีอื่นที่เฝ้ารอที่จะได้เข้าไปอยู่ในตำหนักในเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหัวใจของนางกลับยิ่งดิ่งลึกต่ำลงไปเรื่อยๆ ราวกับมีหินขนาดมหึมากดทับ
หลิวหมัวมัว** รับราชโองการแล้วหมุนตัวมาเอ่ยกับสาวงามทั้งหลาย “ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้าถือเป็นวาสนาของพวกเจ้า จำไว้ว่าเมื่อเข้าพบฝ่าบาทต้องคุกเข่า พระพักตร์มังกรมิอาจมอง หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามเงยหน้า เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะ!” สาวงามทั้งหมดขานรับพร้อมกัน
หลิวหมัวมัวนำทุกคนเดินออกจากตำหนักมุ่งสู่สวนดอกโบตั๋นที่กงกงเอ่ยถึง ระหว่างทางพบดอกท้อสีแดง ต้นหลิวสีเขียว อวลด้วยกลิ่นดอกไม้ สกุณาร้องเจื้อยแจ้ว ดอกตู้เจวียน* ที่เรียงรายเป็นแถบยิ่งดูงดงามประหนึ่งก้าวเข้ามาในแดนสวรรค์ บรรดาหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นทิวทัศน์งดงามระดับนี้ต่างก็มีสีหน้าตื่นตาตื่นใจ เสียงอุทานเบาๆ จึงดังขึ้นมาไม่ขาด
เดินต่อไปก็พบกับไม้ยืนต้นเก่าแก่เช่นต้นสนที่มีอายุเกือบร้อยปี กระเบื้องหลังคาสีเทาของศาลาสูงที่แกะสลักขึ้นจากหินเฮยเย่า** เปล่งประกายแวววับใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง นอกจากนี้อิฐก่อกำแพงยังทำขึ้นจากหยกเขียว ยามอากาศร้อนให้ความรู้สึกเย็นสบาย ยามอากาศหนาวยังแผ่กลิ่นอายอบอุ่น
ขณะที่เดินผ่านสวนดอกไม้ สตรีผู้มีรูปโฉมงดงามดุจบุปผา ท่วงท่าเยือกเย็นสูงส่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าโดยมีกลุ่มขันทีและเหล่านางกำนัลห้อมล้อม โฉมสะคราญสวมอาภรณ์ไหมสีเหลืองสดระพื้น ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ประดับมุก ปิ่นทองระย้าฝังมรกตที่จอนผมเมื่อเทียบกับของไป๋อวี้ฉีแล้วยังนับว่าตระการตากว่ามาก
สตรีผู้นั้นหยุดเดินก่อนแย้มยิ้มบางเบา แม้มิใช่รอยยิ้มที่ออกมาจากใจ แต่ก็ยังทำให้แสงอาทิตย์เจิดจ้าหม่นแสงราวกับนางดึงดูดประกายแสงทั้งหมดไปแล้วปลดปล่อยออกมาผ่านรอยยิ้ม
โฉมสะคราญเลิศหล้าคงหมายถึงความงามเหนือปฐพีประเภทนี้กระมัง ไป๋เสวี่ยฝูคิดในใจเงียบๆ
ไป๋เสวี่ยฝูเหลือบเห็นแววตาอิจฉาที่ผุดขึ้นบนหน้าไป๋อวี้ฉีในทันใด คาดว่ากลิ่นอายสูงศักดิ์ของสตรีผู้นี้คงกระทบจิตใจนางเป็นแน่
“ถวายพระพรอวี้กุ้ยเฟย*** เพคะ!” หลิวหมัวมัวคุกเข่าก้มศีรษะลงจนต่ำที่สุด
เหล่าสาวงามถึงได้หลุดจากภวังค์ คุกเข่าลงอย่างอลหม่านอีกครั้งก่อนเอ่ยถวายพระพรเป็นเสียงเดียวกัน มีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ช้าไปครึ่งจังหวะ อาจเพราะอายุน้อยจึงเหม่อลอยจนหลงลืมถวายพระพร พอนางได้สติอวี้กุ้ยเฟยก็ได้เยื้องกรายมาที่เบื้องหน้านางพลางถากถางขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสียแล้ว “เป็นอย่างไร ข้าไม่มีคุณสมบัติพอให้เจ้าคุกเข่าหรือ”
เด็กสาวลนลานในทันที สองเข่าทรุดลงคุกเข่ากับพื้นหนักๆ “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!”
รอยยิ้มงามสะคราญล่มเมืองเลือนหายไปสิ้นก่อนจะแทนที่ด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง อวี้กุ้ยเฟยเดือดดาล ปิ่นทองระย้าที่จอนผมสั่นไหวรุนแรงชวนให้กังวลว่าอีกอึดใจหนึ่งจะหล่นลงมาหรือไม่
หลิวหมัวมัวที่แอบช้อนตามองใบหน้าของอวี้กุ้ยเฟยตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นผุดตามไรผม รีบร้อนขอประทานอภัย “พระชายาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันไร้สามารถ อบรมสั่งสอนไม่ดี…” องค์จักรพรรดิทรงเรียกเข้าเฝ้ากะทันหันเช่นนี้ นางไม่ทันได้อบรมก็บังเอิญพบอวี้กุ้ยเฟยเสียแล้ว แม้มีเหตุผลก็ไม่อาจพูดได้ ความผิดพันหมื่นล้วนเป็นของเหล่าบ่าวไพร่อยู่แล้ว
“ส่งเด็กสาวผู้นี้ไปเป็นทาสที่ฝ่ายซักล้าง!” น้ำเสียงของอวี้กุ้ยเฟยกังวานใสแต่กลับหนาวเหน็บเสียดกระดูก
ทันทีที่ได้ฟังเด็กสาวก็หน้าถอดสี หมอบลงแทบเท้าอวี้กุ้ยเฟยพลางร่ำไห้ขอร้อง “ขอพระชายาโปรดอภัยด้วยเพคะ! หม่อมฉันหาได้มีเจตนาล่วงเกินแต่อย่างใด เมื่อครู่หม่อมฉันถูกพระสิริโฉมของพระชายาดึงดูดไปชั่วขณะจึงลืมเลือนเรื่องถวายพระพรไป พระชายา…”
ฝ่ายซักล้างเป็นสถานที่สำหรับซักทำความสะอาดเสื้อผ้าของนายหญิงตำหนักต่างๆ เป็นงานที่หนักที่สุดในวังหลวง ฤดูร้อนยังพอทำเนา ทว่าเมื่อถึงฤดูหนาวที่น้ำค้างและหิมะต่างก็จับตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง น้ำจะเย็นจนเสียดกระดูกทีเดียว ปกติจะมีแต่พวกที่ขาดความเฉลียวฉลาดหรือทำผิดพลาดเป็นประจำเท่านั้นจึงจะถูกส่งไป
สาวงามทั้งหลายเมื่อถูกเพลิงโทสะของอวี้กุ้ยเฟยทำให้ขวัญหนีดีฝ่อจนแม้แต่หายใจแรงยังมิกล้าพากันก้มหน้างุดฟังเสียงร่ำไห้อันเศร้าสลดน่าเวทนาของเด็กสาว กลัวว่าคนต่อไปที่จะถูกส่งไปยังฝ่ายซักล้างจะเป็นตน
วาจาของเด็กสาวกระทบใจอวี้กุ้ยเฟยเบาๆ ก่อนบังเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ สตรีล้วนมีความถือดีซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ต่างก็ชอบฟังคำหวานหูด้วยกันทั้งนั้น ขณะเดียวกันเด็กสาวก็มีไหวพริบปฏิภาณดี ในชั่วเวลาคับขันกลับจับความนึกคิดของอวี้กุ้ยเฟยไว้ได้
อาภรณ์หรูหราขยับเล็กน้อย อวี้กุ้ยเฟยคลี่ยิ้ม ก่อนโน้มกายลงมากระซิบเบาๆ เหนือศีรษะของเด็กสาว “จริงหรือ ข้างดงามอย่างนั้นเชียวหรือ หากเปรียบเทียบกับพวกนางเล่า” แขนเรียวยกขึ้น ปลอกหุ้มเล็บสีทองระยับชี้ตรงไปยังบรรดาหญิงงามที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า
เด็กสาวกลับรู้จักพูดจา น้ำเสียงค่อยๆ สงบลง “พระชายาประหนึ่งดอกโบตั๋นเฉิดฉายภายในสวนดอกโบตั๋น ส่วนพวกนางนั้นคือดอกตู้เจวียนที่ขึ้นตามรายทาง ล้วนงดงามทว่าหาได้อยู่ในระดับชั้นเดียวกันเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยอดหัวเราะออกมามิได้พลางยืดกายขึ้นมายิ้มหยัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกโบตั๋นในสวนดอกโบตั๋นจะถูกเปลี่ยนออกทุกปี เมื่อดอกไม้โรยราใบไม้แห้งเฉาก็จะถูกย้ายออกไปจากสวน ดอกโบตั๋นเฉิดฉายเช่นข้าช้าเร็วก็ต้องถูกย้ายออกไปสักวัน” เสียงของนางแผ่วเบาทั้งยังแฝงความโศกเศร้า เป็นสตรีขององค์จักรพรรดิย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมอันทุกข์ระทมนี้ไปได้
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์มาก็ไม่มีสนมชายาจากตำหนักใดที่ได้รับความโปรดปรานไปตลอดชีวิต ส่วนตัวนางถึงแม้จะถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยตำแหน่งฝ่ายในขั้นหนึ่ง ทว่าปกติกลับได้เห็นพระพักตร์องค์จักรพรรดินับครั้งได้ แล้วจะได้รับการโปรดปรานถึงร้อยปีได้อย่างไร
เด็กสาวตะลึงงัน ถูกวาจาของอวี้กุ้ยเฟยทำให้อับจนคำพูดในที่สุด เหงื่อเย็นผุดชุ่มไรผมข้างหน้าผากทั้งยังหยาดรินลงมาไม่ขาดสาย ด้วยความลนลานพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่หมอบอยู่แทบเท้าอวี้กุ้ยเฟยร้องไห้โฮ
อวี้กุ้ยเฟยกลับมิได้ทำให้นางลำบากอีก เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เด็กสาวพลันปีติยินดีโขกศีรษะกับพื้นติดๆ กันพลางกล่าว “ขอบพระทัยกุ้ยเฟย ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ!” นางย่อมคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อวี้กุ้ยเฟยจะเมตตายกโทษให้นางในคราวนี้
หญิงสาวคนอื่นก็คิดไม่ถึงเช่นกัน หินที่กดทับอยู่กลางใจร่วงหล่นลงพื้นเงียบๆ ตราบใดที่อวี้กุ้ยเฟยไม่เปล่งวาจา พวกนางก็ปลอดภัยชั่วคราว
อันที่จริงอวี้กุ้ยเฟยก็มิได้หวังจัดการใครถึงตาย เพียงอยากใช้โอกาสนี้อวดบารมีกับทุกคน ทำให้เหล่าสาวงามประจักษ์ว่านางเป็นผู้ปกครองตำหนักใน ให้รับรู้ถึงอำนาจอันน่าเกรงขามของอวี้กุ้ยเฟยเสียบ้าง!
อวี้กุ้ยเฟยในยามนี้ราวกับเป็นนกยูงที่สูงศักดิ์ตัวหนึ่งซึ่งกำลังเผยด้านทระนงที่สุดออกมา และกำลังวางอำนาจบาตรใหญ่ด้วยการหลุบตาลงมองกลุ่มนกกระจอกตัวเล็กที่อยู่แทบเท้า กระโปรงยาวระพื้นปลิวสะบัด ขณะที่ทุกคนไม่กล้าหายใจแรง อวี้กุ้ยเฟยก็เยื้องกรายผ่านหน้าไปอย่างสง่างาม
ก่อนไปอวี้กุ้ยเฟยก็ได้ดึงปิ่นทองระย้าฝังมรกตลงมาจากเรือนผม แล้วปักเข้าไปในมวยผมของเด็กสาว
เด็กสาวที่ว่าง่ายเชื่อฟังแบบนี้เรียกมาเก็บไว้ใช้งานข้างกายใช่จะเป็นเรื่องไม่ดี
กระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างของอวี้กุ้ยเฟยอีก หลิวหมัวมัวจึงกล้าเอ่ยเรียกพวกนางลุกขึ้น จากนั้นจึงสั่งให้เร่งฝีเท้าด้วยกลัวว่าจะไม่ทันเวลาเสด็จขององค์จักรพรรดิ